บทที่ 590 กลับสู่ขั้นสามอีกครั้ง
นิ้วของพระอรหันต์ตู้ฉิงชี้ผ่านอากาศไปยังตะปูตอกวิญญาณสองตัวตรงแผ่นหลังสวี่ชีอันราวกับกระบี่
ปลายนิ้วดีดสายฟ้าสีทองออกมา และเชื่อมไปที่ตะปูตัวหนึ่งที่อยู่ตรงเส้นลมปราณตู
สวี่ชีอันเจ็บแผ่นหลังราวกับถูกคนเอากระบี่แทง
ความเจ็บปวดเช่นนี้เพิ่งจะเริ่มต้น
แขนผอมแห้งของพระอรหันต์ตู้ฉิงมีกล้ามเนื้อพองขึ้นมาฉับพลัน เอ็นสีเขียวปูดขึ้นบนหลังมือ ขณะที่เขาปล่อยพลังดึงนั้น ตะปูตอกวิญญาณก็ค่อยๆ นูนออกมา
สิ่งนี้ทำให้ปากแผลของสวี่ชีอันฉีกขาด ทำให้ตะปูตอกวิญญาณอีกหกตัวที่เหลือตอบสนองและต่อต้านไปด้วยกัน
“อูย…”
สวี่ชีอันทำเสียงอู้อี้ทีหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่มืดลงเป็นพักๆ ต่อมเหงื่อขับออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าเจ็บปวดจนดูดุร้าย
ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาดีกว่าครั้งก่อนมาก ไม่ใช่ว่าความเจ็บปวดลดลง แต่หลังจากจิตเดิมฟื้นฟูแล้ว ความอดทนต่อความเจ็บปวดก็เพิ่มขึ้น
แต่การสูญเสียของพระอรหันต์ตู้ฉิงไม่ได้ด้อยไปกว่าแขนขาดของเสินซูเลย
ร่างผอมแห้งของเขาพองจนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระดับเทพอารักษ์ท่านหนึ่งเลย แสงสีทองแต่ละลำพร่างพรายไปทั่วร่างของเขา สายฟ้าสีทองตรงปลายนิ้วเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับประกายไฟฟ้าที่ถูกเปิดถึงอัตรากำลังสูงสุด
นอกจากนี้แสงทรงกลดด้านหลังศีรษะของเขาก็ไม่นุ่มนวลอีกต่อไป มันเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าทรงพลัง
สว่างจ้าจนแสบตา!
ชั่วขณะนี้ ชั่วเวลานี้ หากมีคนบังเอิญมองมาทางหอดูดาว จะมองเห็นกลุ่มแสงที่ดูราวกับแสงแดดจ้าปรากฏบนหลังคา
ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานห้านาที ในที่สุดก็มีเสียง “ติ๊ง!” ดังขึ้นสองที ตามด้วยตะปูตอกวิญญาณสองตัวที่ร่วงลงพื้น
ขณะที่ตะปูตอกวิญญาณร่วงลงพื้น กลิ่นอายของพระอรหันต์ตู้ฉิงอ่อนลงฉับพลัน ร่างกายกลับมาผอมแห้งราวกับถูกดูดน้ำออก เขาหลับตาที่เหนื่อยล้าทั้งคู่ลงและพนมมือนิ่งเงียบ
หลังจากถอดตะปูตอกวิญญาณที่ผนึกอยู่ในเส้นลมปราณตูแล้ว พลังปราณในจุดตันเถียนก็ราวกับน้ำอัดลมที่ถูกเขย่าในขวดโค้กอย่างบ้าคลั่ง
พุ่งทลายอย่างกำเริบเสิบสาน พริบตาเดียวก็พุ่งทะลุเส้นลมปราณตู แล้วทะลักออกมา
“ฮึ่ม…”
สวี่ชีอันแผดเสียงแหงนหน้าขึ้นฟ้า ลำคอระเบิดเสียงสิงโตคำรามสำนักพุทธออกมา
พลังปราณทะลักออกจากลำคอ ดวงตา และจุดไป่ฮุ่ยของเขา พุ่งสูงทะลุเมฆาเหนือน่านฟ้าหอดูดาว เมฆขาวเป็นชั้นๆ พังทลายในพริบตา
หอขนาดใหญ่ของสำนักโหราจารย์สั่นสะเทือนเล็กน้อย ราวกับแผ่นดินไหวระลอกหนึ่ง
อานุภาพของทหารขั้นสามน่าหวาดกลัวเช่นนี้เอง
ในเมืองหลวง สายตาแต่ละคู่พากันมองเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชาวยุทธ ข้าราชการ ทหารในยุทธภพ ขุนนางระดับสูง ยอดฝีมือนิกายมนุษย์ และอื่นๆ ผู้บำเพ็ญทั้งหมดต่างสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของหอดูดาว
ตำหนักอันเสิน จักรพรรดิหย่งซิ่งเพิ่งเสวยพระกระยาหารค่ำเสร็จ ได้ยินเสียงสิงโตคำรามราวกับฟ้าที่ร้องครั่นครืนระเบิดออกมาจากที่ไกลๆ เสียงดังมาถึงในวังผิดเพี้ยนไปจากของจริงเล็กน้อย
“เสียงมาจากที่ใด”
จักรพรรดิหย่งซิ่งที่รายล้อมไปด้วยขันทีในพระตำหนักตะบึงออกไปทางสำนักโหราจารย์ทันที
เขาเบิ่งตามองจากใต้ชายคาไปทางสำนักโหราจารย์ จะเห็นว่าตะวันในยามสายัณห์แดงราวกับโลหิต ท้องฟ้าเหนือหอดูดาวไม่มีเมฆขาวเลยสักก้อน แต่บริเวณรอบๆ กลับมีชั้นเมฆเกาะตัวเป็นระลอกคลื่น
คล้ายกับถูกพลังบางอย่างพัดพาออกจากจุดศูนย์กลางในฉับพลัน และซ้อนกันเป็นชั้นๆ รอบด้าน
“อาจเป็นท่านโหราจารย์ที่บำเพ็ญบรรลุในฉับพลัน”
ขันทีหนุ่มที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ หากเกิดขึ้นในสถานที่อื่นจะต้องระมัดระวังและสืบสาวราวเรื่องอย่างจริงจัง แต่เกิดขึ้นในสำนักโหราจารย์ แค่มองดูความสนุกก็พอแล้ว
อย่างไรเสียก็ไม่มีคนก่อกวนสำนักโหราจารย์
จักรพรรดิหย่งซิ่งมีสีหน้าผ่อนคลายลง เขาพยักหน้าเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักพลันขมวดคิ้ว และสั่งขันทีข้างกายว่า
“เจ้าไปเรียกผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังที่เข้าเวรมาหน่อย”
ในฐานะรัชทายาทของจักรพรรดิหยวนจิ่ง มีโอรส ‘แข็งแกร่ง’ ไม่กี่คนที่ทนทรมานผ่านระดับหลอมจิตมาได้ ตอนนี้เขามีตบะระดับหลอมปราณแล้ว
แม้จะถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์ และหมั่นเพียรในข้อราชการจนสูญเสียตบะ
แต่เขาที่เป็นชาวยุทธ พลังปราณในระบบของตนเองยังคงสามารถแยกแยะได้
พลังปราณคือพลังเฉพาะของทหาร แม้จะบอกว่าระบบอื่นพอถึงระดับสูงก็พอที่จะฝืนหลอมปราณได้ แต่เป็นการเพิ่มวิธีเสริมบางอย่างมากกว่า
ช่วงเวลาสั้นๆ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังก็พาทหารรักษาการณ์เข้ามาอย่างรีบร้อน
จักรพรรดิหย่งซิ่งยืนอยู่ใต้ชายคา ก้มมองผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังที่อยู่ล่างบันได
“การเคลื่อนไหวของสำนักโหราจารย์ในเมื่อครู่ใช่คลื่นพลังปราณหรือไม่”
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังกุมมือคารวะกล่าว
“เป็นคลื่นพลังปราณพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้า และถามราวกับคิดอะไรอยู่
“การเคลื่อนไหวไม่เบา คิดว่าระดับขั้นคงไม่ต่ำ”
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด
จักรพรรดิหย่งซิ่งจ้องมองเขา ก่อนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและสอบถามด้วยน้ำเสียงอึมครึม “ข้าถามเจ้าอยู่นะ”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อาจประเมินคร่าวๆ ได้ คลื่นพลังปราณเมื่อครู่มากมายมหาศาล ไม่ใช่สิ่งที่ชาวยุทธ์ขั้นสี่สามารถเทียบได้”
ในสถานะผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังที่เป็นชาวยุทธ์ขั้นสี่ มีกำลังและอำนาจที่เหมาะสมในการวินิจฉัย
‘ไม่ใช่สิ่งที่ชาวยุทธขั้นสี่สามารถเทียบได้…’ ดวงตาจักรพรรดิหย่งซิ่งราวกับเปล่งประกายแสงแหลมคมบางอย่าง ทว่าเขาสามารถเก็บซ่อนได้ดี จากนั้นออกคำสั่ง
“รีบไปสอบถามสถานการณ์ที่สำนักโหราจารย์”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ไล่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระราชวังไปแล้ว จักรพรรดิหย่งซิ่งก็หันหน้าไปทันที เขาไม่เก็บซ่อนความเร่งรีบและความตื่นเต้นไว้ในใจอีก รีบกล่าวเร่งรัด
“รีบไปตำหนักเส้าอิน เชิญหลินอันมาพบข้า”
ขันทีอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวเตือน “ฝ่าบาทต้องการย้ายไปห้องทรงพระอักษรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ขณะนี้เลยช่วงเวลาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้ว ตามกฎของวังหลวง องค์หญิงไม่ควรมาตำหนักประทับของจักรพรรดิ
จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักหน้ากล่าว “ให้นางรีบมาที่ห้องทรงอักษร”
…
สวนเต๋อซิน
บนหลังคาที่มืดมิด ฮว๋ายชิ่งที่สวมกระโปรงยาวสีขาวยืนอยู่บนมุมชายคาที่งอนขึ้นไป นางมองไปทางหอดูดาว
“เขากลับมาแล้วหรือ”
ฮว๋ายชิ่งพูดกับตัวเองเบาๆ ดวงตางดงามเปล่งประกายดีใจที่สังเกตได้ยาก
ประเดี๋ยวเดียวก็ร่อนลงจากหลังคาเบาๆ นางเรียกหัวหน้าองครักษ์ในสวนเต๋อซินมาและรับสั่งว่า
“ไปแจ้งผู้ตรวจและอ่านฎีกาจักรพรรดิหน่อย ข้าจะออกจากวัง”
…
‘ฟังดูแล้วช่วงนี้เจ้าฆ้องเงินสวี่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง…’ หลี่หลิงซู่ฟังไปพักหนึ่งก็ไม่สนใจอะไรเป็นพิเศษ ฟังศิษย์น้องพูดคุยเล่นกับโหรอาภรณ์ขาวที่คุณธรรมสูงส่งผู้นี้อยู่
“ก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไร ก็แค่เดินไปเรื่อยเปื่อย ดูนั่นดูนี่ ค่อนข้างน่าเบื่อ” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว
“อืม ไม่เลว!” ฉู่หยวนเจิ่นก็คล้อยตามไปด้วย
‘เหตุใดต้องหาเรื่องกลุ้มใจ ไยต้องทำเช่นนั้น!’
‘หากเจ้ารู้ว่าเขาก่อความวุ่นวายขนาดใหญ่ในวัดที่เหลยโจว ชิงเจดีย์พุทธะต่อหน้าเทพอารักษ์ไป หากเจ้ารู้ว่าเขาควบคุมยอดฝีมือขั้นสี่ในยงโจวกลุ่มหนึ่งและวางแผนจับพระอรหันต์กับท่านราชครู…ท่านจะยังอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่’
หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกว่า เพื่อความแข็งแรงทั้งกายใจของหยางเชียนฮ่วน ปิดบังไว้ไม่บอกจะดีกว่า
“ใช่สิ เหตุใดศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักโหราจารย์ต่างพกกระดาษและพู่กันติดตัวด้วย”
หลี่เมี่ยวเจินเบนหัวข้อสนทนา
นางเองก็สงสัยปรากฏการณ์เช่นนี้เหมือนกัน แต่ก่อนไม่เป็นเช่นนี้
หยางเชียนฮ่วนทำเสียงขึ้นจมูกกล่าว “เพราะว่าเจ้าใบ้ซุนเสวียนจีกลับมาแล้ว”
‘ซุนเสวียนจี?’
หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นรวมทั้งเหิงหย่วนได้ยินแค่ชื่อเสียงเลื่องลือของซุนเสวียนจี รู้ว่าเขาเป็นศิษย์คนรองของท่านโหราจารย์
แต่ไม่เข้าใจว่าการพกกระดาษและพู่กันเกี่ยวอะไรกับศิษย์รองคนนี้ด้วย
หลี่หลิงซู่กลับเข้าใจในบัดดล เขาเข้าใจความหมายของหยางเชียนฮ่วนโดยฉับพลันและกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็สมควรพกกระดาษและพู่กัน อืม ข้าเองก็ต้องเตรียมไว้สักชุด”
พวกหลี่เมี่ยวเจินทั้งสามต่างใช้สายตาเค้นถามมองไปยังเทพบุตร พวกเขาไม่เคยเจอซุนเสวียนจีมาก่อน แต่ดูแล้วหลี่หลิงซู่ไม่ได้แปลกหน้ากับศิษย์รองของท่านโหราจารย์ผู้นี้เลย
หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยความลำบากใจเล็กน้อย
“พูดเรื่องถูกผิดของผู้อื่นลับหลัง ไม่ใช่นิสัยของวิญญูชน อืม…ศิษย์พี่ซุนไม่ชอบพูด มีอุปสรรคด้านภาษาเล็กน้อย”
หลี่เมี่ยวเจินเข้าใจในบัดดล “ศิษย์พี่ซุนมีอุปสรรคด้านภาษารุนแรงมาก แม้กระทั่งกลายเป็นคนใบ้คนหนึ่ง”
หลี่หยวนเจิ่นกล่าวเสริม “พูดคุยกับศิษย์พี่ซุนเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเจ็บปวดมาก”
เหิงหย่วน “อมิตตาพุทธ!”
หลี่หลิงซู่ไม่สามารถระงับอารมณ์ทางสีหน้าได้ เขามองดูทั้งสามด้วยความตะลึงและงงงวย “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไร!”
หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่นและไต้ซือเหิงหย่วนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รู้สึกทอดถอนใจแบบ ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ ‘สมกับเป็นสำนักโหราจารย์จริงๆ’
จากนั้นฉู่หยวนเจิ่นก็แอบส่งสายตากับไต้ซือเหิงหย่วน
หลี่เมี่ยวเจินหัวเราะเยาะคนอื่นทั้งที่ตนเองก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง