ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 591

สรุปบท บทที่ 591 องค์หญิง (2): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 591 องค์หญิง (2) – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 591 องค์หญิง (2) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 591 องค์หญิง (2)

สวี่ผิงเฟิงสามารถขโมยโชคชะตาได้ สิ่งที่เขาพึ่งพิงคือพลัง ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ ของเทียนกู่ กล่าวคือสวี่ผิงเฟิงยังมีปรมาจารย์กู่ขั้นสูงอยู่ข้างกาย หรือมีอาวุธเวทชั้นสูงที่มีพลังประสานรับกัน

สวี่ชีอันเข้าใจในฉับพลัน

ท่านโหราจารย์กล่าวต่อ

“แต่โหรมีข้อบกพร่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิต พอสูญเสียดินแดน พลังก็จะเสื่อมถอย ไร้คู่ต่อสู้ที่กล่าวถึงนั้นไม่ได้หมายความว่าไร้คู่ต่อสู้โดยสิ้นเชิง ต่อให้อยู่ในอาณาเขตของต้าฟ่ง ข้าเองก็ไม่อาจโจมตีคู่ต่อสู้ให้พ่ายแพ้พร้อมกัน และสังหารขั้นหนึ่งได้มากกว่าหนึ่งคนได้ ท่านโหราจารย์รุ่นแรกก็ทำไม่ได้

“ด้วยเหตุนี้ การช่วยเหลือของพระโพธิสัตว์สำนักพุทธในปีนั้นคือตรึงรุ่นแรกเอาไว้ พวกเราถึงตีเข้าถึงเมืองหลวงได้”

สถานการณ์ของต้าฟ่งในตอนนี้เกือบจะเหมือนในปีนั้น…สวี่ชีอันเข้าใจอย่างฉับพลัน

“ดังนั้นสวี่ผิงเฟิงคิดจะเลียนแบบวิธีการของจักรพรรดิอู่จงในตอนนั้น”

อีกทั้งยังสำเร็จแล้วด้วย สำนักพุทธรับบทเป็นเครื่องมือมนุษย์อีกครั้ง

โหรคือระบบที่ถูกโชคชะตาสาปแช่ง…สวี่ชีอันคิดปลงอยู่ในใจ

ตอนที่พ่อลูกแบไพ่ในมือในตอนนั้น เขารู้จากปาก ‘คนไม่เอาไหน’ ว่าสาเหตุที่โหรรับศิษย์นั้นก็เพื่อไม่ให้ระบบถูกตัดขาด

แต่การแสวงหาทิศทัศน์ที่สูงยิ่งขึ้นคือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต นี่ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ศิษย์แทงข้างหลังอาจารย์รุ่นแล้วรุ่นเล่า วนซ้ำเช่นนี้ไปชั่วลูกชั่วหลาน

แม้ทหารจะหยาบคาย แต่คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ความจริงทหารเป็นสุขและอิสระที่สุด

ไม่พูดถึงลัทธิเต๋ากับโหร หากอยากเข้าระบบสำนักพุทธก็ต้องรักษาศีลเป็นเวลาสามปีก่อน ข้อบังคับผูกมัดคนมากเกินไป

พลังของเผ่าพันธุ์กู่มาจากเทพเจ้ากู่ ไม่ใช่ระบบที่ตกทอดกันมา

ตอนนี้ดูแล้วปรมาจารย์พ่อมดเหมือนจะไม่มีข้อบกพร่องมากนัก

“หากสวี่ผิงเฟิงอยู่อวิ๋นโจวละก็ นับว่าไร้คู่ต่อสู้หรือ”

สวี่ชีอันดึงหัวข้อสนทนากลับมา

ท่านโหราจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แค่ส่งนักรบขั้นสองสองคนขึ้นไปตรึงเขาไว้ แล้วค่อยส่งกำลังทหารไปโจมตีเพื่อชิงอวิ๋นโจวกลับมา ก็สามารถทำลาย ‘ระดับไร้คู่ต่อสู้’ ของเขาได้แล้ว”

ดังนั้นเขาเลยต้องการสร้างพันธมิตรกับสำนักพุทธ…สวี่ชีอันพยักหน้า ที่จริงแล้วคำพูดของท่านโหราจารย์ในครั้งนี้ กำลังบอกวิธีเอาชนะโหรอยู่

หลังจากคุยเรื่องหลักเสร็จ สวี่ชีอันก็พูดขึ้นมา

“ข้าคิดว่าภารกิจปลดผนึกเสินซูยากเกินไป ไม่อาจสำเร็จได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามเดือน”

เขาสอบถามอย่างอ้อมค้อม “มีวิธีไหนสามารถปลดตะปูผนึกวิญญาณที่เหลือได้โดยเร็วบ้าง”

ท่านโหราจารย์ตอบไม่ตรงในสิ่งที่ถาม “รวบรวมปราณมังกรคือภารกิจสำคัญของเจ้าในตอนนี้ เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องไปสนใจ”

สวี่ชีอันพยักหน้ากล่าวเสียงต่ำ

“ยังมีอีกเรื่อง ศพโบราณที่อยู่ในวังใต้ดินนอกเมืองยงโจวศพนั้น ถูกคนทำลายเมื่อไม่นานมานี้”

ท่านโหราจารย์ตอบรับ “อืม” แล้วก็ทอดสายตามองออกไปไกลๆ โดยไม่พูดอะไรอีก

สวี่ชีอันชินกับการปฏิบัติต่อกันของโหรนานแล้ว จึงไม่ได้ซักถามต่อ แค่พูดถึงก็พอแล้ว

“ได้ยินว่าไฉ่เวยจะสอนศิษย์แล้วหรือ”

เขาไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็หาอะไรมาถามจนได้

โหราจารย์ไม่ตอบ

“ศิษย์พี่ซุนกลับมาหรือยัง หลังศึกนอกเมืองยงโจวก็ไม่เห็นเงาของเขาเลย”

ท่านโหราจารย์ตอบอย่างไม่พอใจ

“ไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็ไปเถอะ”

เอาแต่พูดหัวข้อสนทนาที่ทำให้คนรู้สึกไม่เบิกบานอยู่ใจอยู่ได้

“ท่านโหราจารย์ ข้าใช้ปราณมังกรมาอุ่นเลี้ยงดาบไท่ผิง นานแค่ไหนถึงบรรลุระดับเทียบเท่าดาบสยบดินแดน” สวี่ชีอันยังมีคำถามที่อยากจะถาม จึงไม่ยอมไป

“ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจเป็นไปได้ แต่พอที่จะทำให้มันเปลี่ยนแปลงในขั้นต้น และกลายเป็นกึ่งอาวุธเวทได้” ท่านโหราจารย์ตอบ

สวี่ชีอันถามอีกสองสามคำถาม ล้วนได้รับคำตอบจากโหราจารย์อย่างละเอียด

ลั่วอวี้เหิงมองดูสีท้องฟ้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มสวยงาม

“สวี่หลาง ตามข้ากลับไปบำเพ็ญคู่ที่อารามรัตนะเถิด”

…สวี่ชีอันตอบรับ “อืม” ไปหนึ่งที

ขณะนี้ฉู่ไฉ่เวยโผล่ออกมาจากหัวบันได นางกระโดดโลดเต้นในชุดกระโปรงเหลือง สาวน้อยตาโตน่ารักยังคงร่าเริงเหมือนที่ผ่านมา

“เจ้ากลับมาแล้ว!”

นางมองไปที่สวี่ชีอันด้วยรอยยิ้มและพูดออกมาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ

“หลินอันกับฮว๋ายชิ่งมาสำนักโหราจารย์ อยากจะพบเจ้า”

ลั่วอวี้เหิงหรี่ดวงตาคู่งาม

สวี่ชีอันมองท่านราชครูผู้ยิ่งใหญ่แวบหนึ่ง ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

“ฟู่!”

โหราจารย์หัวเราะเบาๆ ‘ให้เจ้าไปเจ้าดันไม่ยอมไป ถึงตายก็ไม่สาสมแก่บาป’

ใต้หอดูดาว

หลี่หลิงซู่พูดอย่างเหลือเชื่อ

“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่หยางมีอดีตที่น่าเวทนาเช่นนี้ สวี่ชีอันฉกฉวยโอกาสของท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างไม่มีความเป็นมนุษย์เอาเสียเลย”

“เพื่อช่วยเหลือเขา ท่านโหราจารย์ถึงกับละทิ้งศิษย์สืบทอดของตัวเองอย่างกับรองเท้า คับแค้นใจยิ่งนัก!”

‘สำนักโหราจารย์นี้ไม่อยู่ก็ได้…’ หยางเชียนฮ่วนถอนหายใจ

“สิ่งที่พี่หลี่พบเจอทำให้ผู้คนรู้สึกรันทดใจเช่นกัน ต่อไปอยู่ต่อหน้าเขาก็โงหัวไม่ขึ้นแล้ว”

“อย่า อย่าพูดอีกเลย…”

หลี่หลิงซู่ถูเท้าทั้งคู่กับพื้นอย่างแรง

ทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

หยางเชียนฮ่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด “กรรมต้องตามสนองเขาแน่”

หลี่หลิงซู่ออกแรงพยักหน้า “ไม่เชื่อก็ลองแหงนหน้าดูสิว่าสวรรค์เคยละเว้นใครบ้าง”

ผ่านไปไม่กี่อึดใจเขาก็พูดอย่างโมโห “เขามีชายาอ๋องสยบแดนเหนือเป็นคู่คิดรู้ใจก็ช่างเถอะ คาดไม่ถึงแม้แต่ท่านราชครูก็ต้องบำเพ็ญคู่กับเขา”

‘?’ เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ลอยผ่านสมองของหยางเชียนฮ่วนไป

“ลั่วอวี้เหิงบำเพ็ญคู่กับสวี่ชีอันหรือ”

เหิงหย่วนขยับปากและหันไปมองหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่ด้านหลังทีหนึ่ง ในภาวะปกตินางสุภาพเรียบร้อยมาก

แต่หลังจากได้หวนกลับมาพบศิษย์พี่หลี่หลิงซู่อีกครั้ง นางก็ใจจืดใจดำขึ้นเยอะ

หลี่หลิงซู่แหงนหน้ามองเหมียวโหย่วฟางที่ไม่ได้เดินชิดผนัง

“เจ้ารู้สึกลื่นบ้างหรือไม่”

เหมียวโหย่วฟางตีลังกาบนบันไดไปหนึ่งรอบ “ไม่ลื่นนี่”

‘เจ้าหมอนี่แสดงเก่งจริงๆ…’ ฉู่หยวนเจิ่นมองเหมียวโหย่วฟางทีหนึ่ง

หลี่หลิงซู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “ข้าไม่เดินแล้ว พวกเจ้าขึ้นไปก่อน”

เขามองรอบๆ อย่างระแวดระวัง สงสัยว่าหลี่เมี่ยวเจินลอบทำร้ายเขา แต่เขาไม่มีหลักฐาน

“ศิษย์พี่ของข้าท่านนี้เจ้าชู้เป็นนิสัย เจ้าชู้ไม่เลือกหน้า บางครั้งต้องให้เขารู้ถึงความน่าหวาดกลัวและอันตรายของยุทธภพสักหน่อย”

หลี่เมี่ยวเจินถ่ายทอดเสียงบอกเหตุผลของนาง

เหิงหย่วนคิดๆ ดูแล้ว ก็เห็นด้วยกับคำพูดของนาง

หลี่หยวนเจิ่นคิดว่ามีบางส่วนไม่ถูกต้อง จึงถ่ายทอดเสียงกล่าว

“เจ้าไม่รู้สึกว่าสวี่ชีอันก็เจ้าชู้ประตูดินหรือ”

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวด้วยความประหลาดใจ “มีเช่นนี้ด้วยหรือ”

หลี่หยวนเจิ่น “…”

หลังจากใช้สายตาส่งทั้งสี่จากไปแล้ว หลี่หลิงซู่ถึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

“จงหลีคือโหรขั้นห้า เรียกว่านักพยากรณ์ โหรระดับขั้นนี้จะถูกเคราะห์ร้ายรุมเร้าเชื่อมโยงถึงผู้คนรอบข้าง”

จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลัง

หลี่หลิงซู่หันไป มองเห็นแผ่นหลังคนคนหนึ่ง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าพฤติกรรมหันหลังศีรษะให้นั้นค่อนข้างคุ้นเคย ขณะเดียวกันก็เข้าใจในฉับพลัน

ประเดี๋ยวเดียวก็พูดด้วยความไม่พอใจ “เช่นนั้นเหตุใดถึงมีแต่ข้าที่ล้มลงมา…”

ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดและแสดงสีหน้าราวกับกินหนูที่ตายแล้ว

ครั้งนี้หลี่หลิงซู่กลับสู่ผิวดินโดยไม่มีอันตรายใดๆ พริบตาที่ผลักประตูใหญ่เชื่อมผิวดินนั้น หยางเชียนฮ่วนก็ถูกส่งมาพร้อมกัน และปรากฏตัวอยู่ด้านหลัง ยังคงหันหลังให้เขาอยู่

“พวกเขาไปไหนแล้ว”

หลี่หลิงซู่ค้นพบว่าเหมียวโหย่วฟางรออยู่ตรงทางเข้าจึงถามขึ้นมา

เหมียวโหย่วฟางบอกว่า

“เมื่อครู่ได้ยินโหรในห้องโถงใหญ่กับนักบวชหลี่พูดว่า ดูเหมือนองค์หญิงทั้งสองจะมาแล้ว”

เขายักไหล่และกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าเป็นแค่สามัญชน ไม่กล้าพบบุคคลยิ่งใหญ่ระดับนั้น”

……………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง