ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 593

บทที่ 593 น้องสาวจะคิดร้ายได้อย่างไรเล่า

พูดอย่างตรงไปตรงมา ตามภาพของสวี่ชีอันในขณะนี้ เขาพอมีการเตรียมใจอยู่บ้าง และใช่ว่าเขาจะทำอะไรไม่ถูกเลย

อย่างแรก ฉากเปิดใจจะถึงในไม่ช้าก็เร็ว

ระบบของต้าฟ่งคือระบบผัวเดียวเมียเดียวหลายเมียน้อย ในฐานะผู้ชายที่คล้อยตามระเบียบ สวี่ชีอันจึงคิดว่าตนเองก็ต้องปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม

แต่เขารู้ว่า ระบบก็ส่วนระบบ คนก็ส่วนคน

หากระบบสามารถแก้ไขทุกอย่างได้ ไฉนบ้านตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยจึงมีการแก่งแย่งทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

ยิ่งกว่านั้น ปลาน้อยในบ่อน้ำไม่มีสักตัวที่มีหนวดงาม

อย่างที่สอง บุคลิก ‘รัก’ และอารมณ์ของลั่วอวี้เหิง เป็นไปได้มากว่าจะเกิดก่อนสนามรบทางความสัมพันธ์

ณ ยงโจว ขณะที่ราชครูขอให้เขาขีดเส้นให้ชัดเจนกับสตรีอื่น สวี่ชีอันก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว พร้อมด้วยวิเคราะห์ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบต่อตนเองสามสี่ข้อ

ข้อได้เปรียบของสวี่ชีอันคือ

หนึ่ง ความสัมพันธ์ของปลาน้อยแต่ละตัวกับเขาล้วนไม่ถึงขั้นพูดคุยเรื่องการสมรส ซึ่งนี่จะลดระดับความรุนแรงของสนามรบทางความสัมพันธ์ที่ทุกคนล้วนฉีกมันจนไม่อาจปะติดปะต่อ

สอง ภาพลักษณ์ของเขาดีมาก

ทุกคนล้วนรู้ว่าฆ้องเงินสวี่คือแขกประจำของสำนักสังคีต คณิกายี่สิบสี่คนของสำนักสังคีตเล่นผีผ้าห่มกับเขาไปแล้วมากกว่าครึ่ง

ความรู้สึกที่ส่งผ่านให้ผู้อื่นก็คือ เขาไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไป

เพราะอย่างนั้น ทุกคนจึงยอมให้เขาในด้านความเจ้าชู้และความมักมากในกามารมณ์

ข้อเสียเปรียบของสวี่ชีอันคือ เป็นเพราะความสัมพันธ์ของปลาน้อยกับเขาล้วนไม่ถึงขั้นพูดคุยเรื่องการสมรส ดังนั้นเป็นไปได้มากที่พวกนางจะกระโดดออกจากบึงปลา

แต่หลังรู้จักตัวตนของเขาก็ยังเกิดความรู้สึกที่ดีต่อเขาได้ ความเป็นไปได้ที่จะกระโดดออกจากบึงปลาจึงน้อยลง

ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือถ่ายโอนพลังความโกรธของลั่วอวี้เหิง

เพราะมีเพียงนาง ที่จะป่าวประกาศว่าตนเองเป็นผู้ชายของนาง และผลักไสสาวงามชวนหลงคนอื่นๆ อย่างไร้ราคา

ปลาน้อยตัวอื่นจะไม่ทำเรื่องที่ข่มบังคับกันอย่างนี้ เนื่องจากความสัมพันธ์ไม่ถึงขั้น

ในการคาดการณ์ของสวี่ชีอัน ไม่มีวิธีการที่จะยอมลำบากครั้งเดียวเพื่อให้สบายไปตลอด เวลาจึงเป็นตัวไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่ดีที่สุด

สิ่งที่เขาต้องทำคือ ยุติเรื่องขัดแย้งโดยอาศัยการเดินเกมที่ลงตัวภายในความขัดแย้งและการวิวาทในทำนองเดียวกันคราแล้วคราเล่า

สิ่งที่ฆ้องเงินสวี่คิดได้สำหรับตอนนี้ วิธีการที่ดีที่สุดคือการเรียกสวี่หลิงเยวี่ยมา

นางเหมาะเล่นบทเจือโคลนตม[1]มาก

น้องสาวจะไม่พูดจาก่อความเกลียดชัง แต่ตนเองที่เป็นคนมีมรสุมกลางใจพูดอะไรก็ผิดไปหมด

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่มีจิตสังหารซุ่มซ่อนอยู่ทั่วและความคิดที่ไม่อาจเปิดเผยกำลังถาโถม

เฮ้อ…สวี่ชีอัน เขาเดินไปยังริมประตูด้วยความเด็ดขาด แล้วเปิดประตูห้อง

น้องสาวผู้งดงามต้องใจคนยืนอยู่หน้าประตู แต่ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้กลับมาด้วย เขาหลบจากมรสุมลูกนี้ด้วยความรู้เท่าทัน

“หลิงเยวี่ย เจ้ามาได้อย่างไรหรือ”

สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มของความเป็นพี่ชาย

สวี่หลิงเยวี่ยมองเขาแวบหนึ่งด้วยความสับสน แล้วกวาดมองโดยรอบด้วยดวงตาผ่องใสที่รินไหลดั่งคลื่นน้ำ

สิ่งที่สวี่หลิงเยวี่ยเห็นเป็นอย่างแรกคือภาพด้านหลังของลั่วอวี้เหิง นางสวมชุดขนนกและผูกแถบแพรไหมไว้ที่เอวอันเพรียวบาง

ราชครูไม่ได้หันกลับมา นางกำลังมองเหล่าสตรีริมโต๊ะอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยความเย็นชา เสมือนว่าหากใครกล้าแข็งข้อ นางจะลงมือปราบในทันที

สายตาของสวี่หลิงเยวี่ยแวบผ่านราชครูไปยังสตรีคนอื่นๆ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้เยือกเย็นราวน้ำค้างกำลังถือถ้วยชา สายตานางทอดต่ำ ไม่เอ่ยปากแม้แต่คำเดียว ส่วนจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินผู้มีคุณธรรมทัดฟ้าเหล่มองข้าง นางมองไปยังอีกด้าน บางทีก็กัดฟัน ส่วนองค์หญิงหลินอันแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยตระการตา ดวงตาแดงก่ำ กำลังจ้องราชครูอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว

ส่วนฉู่ไฉ่เวยผู้สดใสร่าเริงขมวดคิ้วอย่างพบได้ไม่บ่อยนักและคงอยู่ในความสงบ

“ได้ยินว่าพี่ใหญ่กลับมาแล้ว ท่านแม่รอแล้วรอเล่า แต่รออย่างไรท่านก็ไม่กลับบ้าน นางอดห่วงไม่ได้ ก็เลยให้ข้ามาดู” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวล

อาสะใภ้ก็ไหว้วานเจ้าเป็นมนุษย์เครื่องมือรึ…สวี่ชีอันกระแอมในทันทีทันใดแล้วเอ่ยว่า

“ดีเลย ข้าจากเมืองหลวงมาหลายวัน ควรจะกลับไปเยี่ยมสักหน่อยเสียแล้ว”

“เอ่อ เอ่อ…ทุกคน ข้าขอตัวก่อน”

“ห้ามไป!”

“เจ้าไปไหนไม่ได้”

“เจ้ากล้าไปก็ลองดู”

“…”

เหล่าสตรีในห้องพากันแสดงท่าที

จริงด้วย ราชครูบังคับให้ข้าขีดเส้นแบ่งกับพวกนาง พวกนางเองก็อยากให้ข้าแสดงท่าที ในเวลาแบบนี้ ข้านิ่งไว้เป็นการดีที่สุดอย่างเห็นได้ชัด แล้วค่อยแก้ไขปัญหาทีละอย่างเป็นการส่วนตัว

…สวี่ชีอันมองสวี่หลิงเยวี่ยแวบหนึ่ง คนหลังไม่ได้สนใจเขาและคงความเงียบไว้

ลั่วอวี้เหิงแววตาเย็นชา นางเอ่ยด้วยการยกยิ้มมุมปากเป็นรัศมีที่น่าอันตรายว่า

“สวี่หลาง หากเจ้าอ้างสี่อ้างแปดอีก ข้าจะโกรธแล้ว”

สายตาของหลินอันและคนอื่นๆ เฉียบคมในชั่วพริบตา พร้อมจ้องสวี่ชีอันโดยไม่กระดิก

โธ่ ราชครูหนอราชครู ที่ข้าหนีเรื่องนี้ หลักๆ ก็เพราะไม่อยากให้เจ้าหมดที่ยืนในสังคมไปอย่างสูญสิ้น สวี่ชีอันทอดถอนใจในความคิด อยากพูดอะไรบางอย่างพอดี แต่สวี่หลิงเยวี่ยชิงพูดไปก่อนแล้ว

“สวี่หลาง”

นางแสดงอาการตกใจอย่างถึงที่สุดแล้วเอ่ยว่า “ราช ราชครู ท่านกับพี่ใหญ่ข้า…”

ในที่สุดลั่วอวี้เหิงก็หันกลับมา นางมองตรงไปยังสาวกลงนามนิกายมนุษย์ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยความเย็นชาว่า

“สวี่ชีอันเป็นคู่บำเพ็ญของข้า”

ช่วงที่สวี่ชีอันจากเมืองหลวงมานี้ สวี่หลิงเยวี่ยได้เป็นสาวกลงนามของนิกายมนุษย์แล้ว ซึ่งนี่ก็เพื่อเลี่ยงการถูกเร่งเร้าให้แต่งงาน

ขณะที่สตรีคนอื่นๆ กำลังมองเขา สวี่ชีอันกำลังมองสวี่หลิงเยวี่ยอยู่

สถานการณ์ตรงหน้าคือลั่วอวี้เหิงบีบบังคับผู้อื่น แต่ปลาน้อยไม่ยอมจำนน จึงร่วมมือกันขัดขืน

ข้างหนึ่งไม่ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กับเขา อีกข้างหนึ่งก็รอเขาแสดงท่าที

สิ่งที่หลิงเยวี่ยต้องทำคือผ่อนปรนท่าทีข่มบังคับผู้อื่นของราชครู ทำให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างลงตัว ขอเพียงราชครูล้มเลิกด้วยตนเอง ข้าก็จะมีความมั่นใจในการง้อพวกนางเป็นการส่วนตัว…

สวี่ชีอันกำลังไตร่ตรองในใจ สายตาที่มองไปยังสวี่หลิงเยวี่ยมีความคาดหวัง

ใครจะรู้ว่าสวี่หลิงเยวี่ยกำลังเม้มปากโดยไม่เอ่ยสักคำ

นางไม่พูดจา ยายตัวร้ายคงทนไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยยิ้มเยาะว่า

“ผู้นำเต๋าเป็นราชครูต้าฟ่ง เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเสด็จพ่อข้า กลับบำเพ็ญคู่กับคนรุ่นหลังอย่างสวี่หนิงเยี่ยน หากแพร่ออกไปจะไม่กลัวผู้คนเย้ยหยันหรือ”

นี่เป็นการเหน็บแนมลั่วอวี้เหิงว่าเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนแบบกลายๆ อายุมากกว่าเป็นโข กลับชอบพอคนรุ่นหลังวัยหนุ่ม

หลินอัน จังหวะตอบคำถามนี้เจ้าคงต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว…สวี่ชีอันมุมปากกระตุกอย่างแรง จริงด้วย การพูดยั่วยุเป็นเรื่องที่นางถนัดที่สุด

จงหลีเอ่ยเบาๆ ว่า “นางแค่กำลังใช้ประโยชน์สวี่ชีอัน นางไม่มียางอายหรอก”

หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเพียงไม่ชอบท่าทางข่มบังคับผู้อื่นของราชครูจริงๆ”

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยด้วยความเย็นชาว่า “ตัวข้ากับใต้เท้าสวี่มีความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ต่อกัน แต่ประหลาดใจเล็กน้อยว่าเหตุใดราชครูจึงต้องบังคับให้เขาลบล้างความสัมพันธ์กับพวกข้า”

ฉู่ไฉ่เวยเองก็คิดว่าไม่เป็นธรรมอย่างมาก จึงเอ่ยว่า

“ข้ากับสวี่หนิงเยี่ยนมีความสัมพันธ์แบบมิตรสหาย เหตุใดต้องบังคับเขาให้ตัดการติดต่อกับข้า จริงๆ เลย ราชครูพาลเกินไปเสียแล้ว”

ฮว๋ายชิ่งยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยว่า “คิดดูแล้วคงไม่เชื่อใจสิท่า แม้หลินอันจะทึ่ม แต่คำที่พูดยังพอมีหลักการอยู่บ้าง”

ขณะที่ในหัวของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยคำว่า ‘แม่เจ้า’ เขาก็ต้องป้องกันลั่วอวี้เหิงไม่ให้บันดาลโทสะลงมือไปด้วย

ขณะที่บรรดาสตรีงามรู้ใจทะเลาะเบาะแว้งกัน ในฐานะผู้ชายแล้วไม่ง่ายเลยที่จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างออกหน้าออกตา แต่จะให้พวกนางตบตีกันไม่ได้

ลั่วอวี้เหิงเอ่ยด้วยการยิ้มตอบโต้อย่างโมโหสุดขีดว่า “พวกคนต่ำช้าปากคอเราะร้าย ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น เช่นนั้นก็อย่าตำหนิที่ข้าไม่เกรงใจ”

หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยน กลายเป็นสีหน้ากึ่งหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด

หลินอันฝืนเอ่ยว่า “ท่าน ท่านว่าอย่างไรนะ”

ราชครูผู้คลั่งรักเอียงศีรษะมองสวี่ชีอันโดยไม่สนใจนาง แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า

“สวี่หลาง ในเมื่อเจ้าไม่ยอมทิ้งคนต่ำช้าพวกนี้ เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงตัดสินใจแทนเจ้าเสียแล้ว”

“จงหลีเป็นนักพยากรณ์ เช่นนั้นก็สงบอยู่ใต้หอเก็บดาวยี่สิบปี เรื่องนี้ข้าจะหารือกับโหราจารย์ด้วยตนเอง”

“ส่วนหลินอันก็ถึงช่วงอายุที่ควรออกเรือนแล้ว จักรพรรดิเสี่ยวซิงเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ไม่นาน รากฐานยังไม่มั่นคง ข้าจะไปหาเขาแล้วบอกว่าสวี่หลางเป็นคู่บำเพ็ญข้าตรงๆ ดูว่าเขาจะยอมผิดใจข้าหรือไม่”

ลั่วอวี้เหิงมองฮว๋ายชิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วเอ่ยว่า “หลังเว่ยเยวียนตาย เจ้ายังพอมีที่พึ่งในราชสำนักอีกหรือไม่”

นางหมุนตัวกลับมามองหลี่เมี่ยวเจินแล้วเอ่ยว่า “เทพธิดาปิงอี๋กำลังตามหาเจ้า วันนี้ข้าคงต้องจับตัวเจ้าส่งเป็นของขวัญให้นิกายสวรรค์”

จงหลีห่อตัว

หลินอันกัดฟัน

ฮว๋ายชิ่งหน้าหมอง

หลี่เมี่ยวเจินสั่นโกรธ

จากนั้นพวกนางพากันมองสวี่ชีอัน

…สวี่ชีอันเอ่ยแสดงท่าทีในทันใดว่า “ราชครู อย่ากล่าวคำพูดขู่ขวัญผู้อื่นเลย”

ลั่วอวี้เหิงรู้สึกน้อยใจมาก ขณะที่พวกคนต่ำช้าเหน็บแนมนางเมื่อครู่ สวี่ชีอันกลับมองอยู่ข้างๆ อย่างเมินเฉย

ขณะนี้เอง สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยอย่างนุ่มนวลผ่อนปรนว่า

เหตุใดราชครูต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟด้วย

“แม้พี่ใหญ่ข้าจะไปที่สำนักสังคีตบ่อยๆ เที่ยวสตรีทุกค่ำคืน แต่ข้าก็รู้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม จะไม่ผิดต่อราชครูเป็นอันขาด”

ขอบคุณน้องสุดท้อง…สวี่ชีอันจิตใจสับสน รู้สึกว่านางกำลังเหน็บแนมตนเองอย่างทิ่มแทงภายใต้ความนุ่มนวล แต่ไม่อาจตอบโต้ได้เสียอย่างนั้น

สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยต่อว่า

“ข้ารับรองกับราชครูได้ พี่ใหญ่กับองค์หญิงทั้งสองท่านบริสุทธิ์ต่อกัน ช่วงที่ผู้นำหลี่มาอาศัยจวนสกุลสวี่ พวกนางได้ผูกสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ตามมารยาทเพื่อเป็นมิตรต่อกัน ไม่มีความเสน่หาระหว่างชายหญิงเป็นแน่แท้”

ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังแอบเหน็บข้าว่าขี้อิจฉาหรือ”

สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยว่า “ศิษย์มิบังอาจ ศิษย์ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ศิษย์เพียงรักษาความบริสุทธิ์ของพี่ใหญ่ตามสมควรในฐานะน้องสาวเท่านั้น แล้วก็หวังไม่ให้เกิดการทำร้ายความรู้สึกอันเนื่องมาจากความเข้าใจผิดระหว่างพี่ใหญ่กับราชครู”

การพูดของนางครั้งนี้เป็นไปได้สวย ทั้งเป็นการพูดเพื่อฮว๋ายชิ่งและคนอื่นๆ และยังเป็นการยอมรับความสัมพันธ์ของลั่วอวี้เหิงกับสวี่ชีอันอย่างเป็นนัย

ไม่ว่าใครก็ล้วนทำตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยที่ไม่ล่วงเกินกัน

ว่าแล้วเชียว หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ได้เชิงแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มากปัญญา จึงไม่ลดตัวมาโต้เถียงกับลั่วอวี้เหิง

แต่ลั่วอวี้เหิงผู้คลั่งรักไม่เล่นด้วย จึงเอ่ยด้วยความไม่ชอบใจว่า

“เรื่องนี้เจ้าไม่มีส่วนพูด”

สวี่หลิงเยวี่ยหน้าซีด เกิดหยดน้ำตาปริ่มวาวในดวงตา แล้วก็ร้องไห้เบาๆ

‘นี่เจ้าร้องไห้หรือ’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง