ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 594

สรุปบท บทที่ 594 เจ็ดยอดกู่พัฒนาร่าง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 594 เจ็ดยอดกู่พัฒนาร่าง – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 594 เจ็ดยอดกู่พัฒนาร่าง ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 594 เจ็ดยอดกู่พัฒนาร่าง

ยังไม่ถึงยามเหม่า จักรพรรดิหย่งซิ่งลุกจากเตียงมาเปลี่ยนเสื้อผ้าภายใต้การปรนนิบัติของขันที ขณะนี้สีของท้องฟ้าดำขลับ เปลวไฟจากเทียนไขในห้องสุสานสว่างไสว

ขันทีจ้าวเสวียนเจิ้นผู้คอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายจักรพรรดิหย่งซิ่งตั้งแต่ตำหนักบูรพา ได้เจริญรอยตามนายท่านจวบจนได้นั่งตำแหน่งขันทีกุมตราลัญจกรตราบเท่าทุกวันนี้

“เมื่อคืนหลินอันไม่ได้กลับตำหนักหรือ”

จักรพรรดิหย่งซิ่งกางแขนทั้งสองข้างออก เปลี่ยนให้ตนเองเป็นเหมือนที่แขวนชุด เพื่อให้เหล่าขันทีสะดวกในการเปลี่ยนฉลองพระองค์จักรพรรดิให้เขา

“ข้าน้อยให้คนคอยจับตาดูอยู่ที่ประตูตำหนัก หากองค์หญิงหลินอันกลับตำหนักให้รายงานทันที ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวคราว คงจะอยู่ที่สำนักโหราจารย์ จึงยังไม่กลับ”

พอจ้าวเสวียนเจิ้นกล่าวจบ เขาเห็นจักรพรรดิหย่งซิ่งขมวดหัวคิ้ว จึงกล่าวเสริมในทันทีว่า

“องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเองก็ยังไม่กลับ”

หัวคิ้วของจักรพรรดิหย่งซิ่งคลายออกในทันใด แล้วพยักหน้าอย่างช้าๆ พร้อมเอ่ยว่า

“ดูท่าคงจะพักที่สำนักโหราจารย์แล้ว เอ่อ เมื่อคืนลมหนาวเข้ากระดูก องค์หญิงทั้งสองร่างกายบอบบาง ไม่เหมาะที่จะกลับมาจริงๆ มิเช่นนั้นจะเป็นหวัดเอาเสียง่ายๆ ”

นายท่านและข้ารับใช้อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี เมื่อครู่จ้าวเสวียนเจิ้นอ่านความกังวลของฝ่าบาทได้อย่างง่ายดาย เพราะอย่างนั้นจึงกล่าวเสริมด้วยประโยคที่ว่า “องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเองก็ยังไม่กลับตำหนัก” เพื่อสงบจิตสงบใจฝ่าบาท

จริงเสียด้วย พอได้ยินว่าฮว๋ายชิ่งยังไม่กลับตำหนัก ฝ่าบาทก็วางใจ ไม่เป็นกังวลว่าองค์หญิงหลินอันจะถูก ‘รังแก’

จ้าวเสวียนเจิ้นผู้มีอายุอานามพอๆ กับจักรพรรดิหย่งซิ่งลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า

“ข้าน้อยรู้ว่าฝ่าบาทเห็นใจชาวบ้านที่ไม่มีถ่านในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ แต่ก็อยากขอให้ฝ่าบาทอย่าลืมอุ่นใจของบรรดาพระสนมด้วย”

จักรพรรดิหย่งซิ่งเอียงมองขันทีกุมตราลัญจกรครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเยาะว่า

“เจ้าลูกหมา เจ้ารับเงินจากพวกสนมมาเท่าไร”

จ้าวเสวียนเจิ้นตอบตามความจริงว่า

“ห้าร้อยตำลึง เก็บเข้าท้องพระคลังหมดแล้ว”

ที่จริงแล้วจักรพรรดิหย่งซิ่งใช่ว่าจะไร้ความสามารถเลย เขารู้ว่าท้องพระคลังว่างเปล่า ขาดตำลึงบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย จึงวางแผนรวบรวมทรัพย์สินมากมายเป็นการส่วนตัว

หนึ่งในนั้นมีข้อหนึ่งซึ่งก็คือการใช้ประโยชน์จากขันทีในตำหนักขู่เข็ญเอาเงินสินบนจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่

ทว่าน่าเสียดาย อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงจักรพรรดิฝึกหัดที่ฝึกมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน เทียบกับผู้รับตำแหน่งก่อนหน้าที่ดำเนินงานมาสี่สิบปี วิธีการรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบช่างเป็นวิธีการที่อ่อนหัดเสียจริง

จักรพรรดิหย่งซิ่งพยักศีรษะด้วยความพอใจ ก่อนตอบกลับคำพูดของจ้าวเสวียนเจิ้นว่า

“ตั้งแต่ข้าขึ้นครองราชย์มา ข้ามักจะจัดการภาระงานในหน้าที่ถึงกลางดึกจนนั่งหลับคาโต๊ะเพราะทำงานอย่างหนักเป็นประจำ”

จ้าวเสวียนเจิ้นก็เข้าใจ ฝ่าบาทในช่วงนี้ทรงงานหนักถึงขนาดไม่ได้ไปเยี่ยมบรรดาพระสนมตำหนักในเป็นเวลานาน

จักรพรรดิหย่งซิ่งทอดถอนใจในฉับพลันแล้วเอ่ยว่า

“หากเรื่องนี้ไม่ลุล่วง ก็ต้องมีส่วนให้สมุหราชเลขาธิการหวางกับว่าที่ลูกเขยของเขาพลอยแบกรับชื่อเสียไปด้วย”

เขาเตรียมยื่นขอบริจาคในการประชุมราชสำนักวันนี้ ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่จักรพรรดิและสมุหราชเลขาธิการหวางที่เป็นผู้ริเริ่ม แต่รับผิดชอบโดยสวี่ซินเหนียนผู้เป็นซู่จี๋ซื่อประจำสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน

เพื่อเป็นการตอบแทน เขาจึงรับปากสมุหราชเลขาธิการหวางว่าจะเลื่อนตำแหน่งให้สวี่ซินเหนียน

เมื่อถึงยามเหม่า เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารเดินผ่านประตูอู่และสะพานจินสุ่ยไปเข้าร่วมงานประชุมราชสำนักอย่างเป็นระเบียบ

ภายในหนึ่งเดือนที่จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ความรู้สึกนึกคิดที่รับรู้ได้จากบรรดาขุนนางในเมืองหลวงมากที่สุดคือ

งานประชุมราชสำนักเริ่มเมื่อใด

งานประชุมราชสำนักจัดในยามเหม่า (ห้าโมงเช้า) บรรดาผู้อยู่อาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานต้องออกจากจวนล่วงหน้าเพียงครึ่งชั่วยาม

แต่ขุนนางบางส่วนที่อยู่ในเมืองซึ่งห่างจากพระราชวังไกลมาก ต้องตื่นแต่ยามอิ๋น (สามโมงเช้ามืด) ในฤดูหนาวครั้งใหญ่ที่ลมหนาวปะทะหน้าราวถูกเฉือนนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดเสียจริง

ความถี่ในการจัดงานประชุมราชสำนักโดยหลักๆ จะต้องดูท่าทีของจักรพรรดิ เหมือนผู้บรรลุเซียนอย่างจักรพรรดิหยวนจิ่ง ครึ่งเดือนสิบวันจึงจะมีประชุมราชสำนักสักครั้ง

ชั่วประเดี๋ยวนั้นเอง บรรดาขุนนางในเมืองหลวงที่อวดตนว่าเป็นผู้มีความสามารถ ตบเท้าโถมด่าจักรพรรดิหยวนจิ่งว่าละเลยการบริหารบ้านเมืองกันเป็นการส่วนตัว พร้อมร้องตะโกนว่า “ข้ามาประชุมราชสำนักแล้ว”

ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ติดต่อกันหนึ่งเดือนแล้ว มีประชุมเช้าทุกวัน

บรรดาขุนนางในเมืองหลวงคลานลงจากเตียงกันอย่างทรมานทุกครั้ง ขณะเผชิญลมหนาวออกจากจวน ในใจก็คิดถึงจักรพรรดิองค์ก่อนขึ้นมา

นาฬิกาชีวิตของสวี่ชีอันก็อยู่ในยามเหม่า วินาทีแรกที่เขาตื่นมาทำคือปิดตาสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของพลังปราณในตันเถียน

“การเพิ่มพูนของพลังปราณที่มาจากการบำเพ็ญคู่ค่อยๆ อ่อนลงแล้ว มีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณค่อนข้างคงที่

“อืม นี่ก็เข้าใจได้ ผลที่ได้เกินจริงมาโดยตลอด ข้าบำเพ็ญคู่กับราชครูมาสองปีจนข้ามขั้นไปจากจุดเดิมแล้ว…”

การบำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิงห้าวันสั้นๆ ทำให้เขาเลื่อนจากขั้นสามช่วงแรกไปยังขั้นสามช่วงกลางโดยตรง

นี่คือเส้นทางที่จอมยุทธ์ขั้นสามทั่วไปใช้เวลาหลายปีหรืออาจถึงหลายสิบปีจึงจะเดินถึง

ดังจะเห็นได้ว่า ระดับของคู่บำเพ็ญมีความสำคัญแค่ไหน ตัวลั่วอวี้เหิงเป็นผู้นำลัทธิเต๋า และยังอยู่ในขั้นสองหนีไฟกรรม

เกรงว่าจะไม่มีสตรีใดสามารถเป็นเหมือนนางได้อีกบนโลกนี้ ในขณะที่ทำให้สวี่ชีอันมีความสุข ก็ทำให้ตบะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน

ยกเว้นการโกงอย่างเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิด

สวี่ชีอันหาว ลุกขึ้นนั่งบนเตียงเล็กๆ ที่ทรุดตัว แล้วหันศีรษะมองข้าวของเครื่องใช้ที่เรียบง่ายรอบๆ ภายในห้องสงบจิต พบว่าในชีวิตปกติของลั่วอวี้เหิงไม่มีคำว่านอนหลับ

เพราะอย่างนั้นสิ่งที่ทั้งสองนอนก็คือเตียงเตี้ยยาวที่นางนั่งสมาธิตามปกติ

ตอนนี้มันได้ตายไประหว่างการประกอบกิจแล้ว

พอรอจนสวี่ชีอันเข้าห้องไปแล้ว ลั่วอวี้เหิงก็ยกฝ่ามือขึ้นมาร่ายอาณาเขตเหมือนรู้ใจสวี่ชีอัน

สวี่ชีอันปิดตานั่งขัดสมาธิบนเบาะกลม แล้วปรับร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อรับมือการเปลี่ยนสภาพของเจ็ดยอดกู่

เจ็ดยอดกู่เริ่มหลอมตนเอง อยู่ในสภาพหลับชะงักการเติบโต โดยคงช่วงตัวอ่อนไว้

เดือนกว่ามานี้ เจ็ดยอดกู่ได้อาศัยอยู่ในตัวเขาและรวมเป็นร่างเดียวกับเขา มันได้รับเลือดและปราณจากเขามาหล่อเลี้ยงจนเติบโตในท้ายที่สุดหลังจากเสริมความรู้สึกบ้ากามที่ขาดตกบกพร่อง

“ช่วงต่อไปของเจ็ดยอดกู่ คงสามารถมอบพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าขั้นสี่ให้ข้าได้”

สวี่ชีอันเฝ้ารอด้วยความคาดหวัง

เจ็ดยอดกู่ในช่วงตัวอ่อนทำให้เขายืนอยู่ในจุดที่ไม่ได้ด้อยกว่าต่อหน้าพวกขั้นสี่ แม้จะบอกว่าเอาชนะไม่ได้ แต่ก็เหลือเฟือที่จะปกป้องตนเอง

ตอนนี้มันเติบโตในขั้นต้น น่าจะสามารถเพิ่มกำลังรบโดยรวมถึงขั้นสี่ได้

หากเป็นเช่นนี้ ก็จะสามารถก่อหนุนระบบจอมยุทธ์ของเขาได้

“ไม่รู้ว่าพลังของหนอนเจ็ดยอดกู่ จะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ หรือไม่…”

ในขณะที่ตั้งตารอคอย เขาก็รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงตรงหลังคอด้วย

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิบห้านาทีต่อมา เขารู้สึกว่าเลือดเนื้อตรงหลังคอปูดขึ้นมาเป็นก้อนเนื้อบวมๆ

แต่ภายใต้เลือดเนื้อที่ดวงตามองไม่เห็น เจ็ดยอดกู่เริ่มเติบโต รูปร่างผอมยาวขึ้น ขาปล้องแข็งแรงกว่าเดิม เจาะเข้าไปในเลือดเนื้อกับกระดูกสันหลังของสวี่ชีอันลึกลงไปอีกขั้น

ความสัมพันธ์เฉกเช่นผู้ถูกอาศัยกับปรสิตนี้ ทำให้มนุษย์และหนอนกู่ก่อตัวเป็นชุมชนแห่งชีวิต

จิตเดิมอันทรงพลังของสวี่ชีอัน ‘เห็น’ ฉากนี้กับตา

“ยังดี ไม่ถือว่าเจ็บมาก ไม่ได้เจ็บมากเท่าตอนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาอาศัยเลย ข้ายังไม่ได้รับผลสะท้อนกลับของการพัฒนาร่าง…”

วินาทีถัดไปที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวี่ชีอันก็ถูกพลังที่มาอย่างฉับพลันแทงทะลุจิตเดิม

พลังนี้มาจากเจ็ดยอดกู่

ในฉับพลันนั้นเอง เขาเกิดมโนภาพว่าจิตเดิมถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน

จิตล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต หาจุดลงไม่พบ ไม่อาจกลับสู่ความเป็นจริง ไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของกายหยาบ

ไม่รู้ว่ากระบวนการนี้ต่อเนื่องยาวนานแค่ไหน จนกระทั่งเขาสัมผัสกับภาพความทรงจำที่แหลกละเอียดบางอย่าง ซึ่งไม่ได้เป็นความทรงจำของเขา

………………………………………

————————————

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง