บทที่ 595 กลับบ้าน (1)
‘โฮก!’
เสียงคำรามสะเทือนใบหูจนแทบหนวก เสมือนดังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของสวี่ชีอัน
เขาสะท้านไปทั้งตัว แล้วหันกลับมามองประหนึ่งจิตได้รับพร เขาเห็นสัตว์ประหลาดที่ทำให้เขาถึงกับลิ้นพันตาค้าง
ร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนี้ใหญ่มิดฟ้าบดบังตะวัน รูปลักษณ์ของมันไม่อาจอธิบายด้วยภาษาที่เรียบง่าย เพราะโครงร่างซับซ้อนและเขย่าขวัญเกินไป
นั่นคือก้อนเนื้อขนาดมหึมาที่มีเส้นเอ็นปูดนูนเป็นเส้นๆ กล้ามเนื้อบวมพองเป็นก้อนๆ ดูเหมือนภูเขาที่ประกอบจากกล้ามเนื้อ
ร่าง ‘ภูเขา’ ที่ประกอบจากกล้ามเนื้อมีรูอากาศเป็นแถวเรียง มันพ่นหมอกควันสีเขียวแก่ลอยขึ้นไปเป็นเกลียวบนท้องฟ้า และก่อตัวเป็นชั้นเมฆสีเดียวกัน
ส่วนล่างของภูเขาเนื้อไหลเวียนไปด้วยเงามืดที่หนาทึบ
และท่ามกลางเงามืดนั้น สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนผสมพันธุ์กันด้วยความบ้าคลั่งอย่างไม่อาจระงับความรู้สึก เหมือนในสมองมีเพียงการผสมพันธุ์และการแพร่พันธุ์
ตามมาด้วยอสูรที่ดูเหมือนศพเดินได้ฝูงหนึ่งด้านหลังของภูเขาเนื้อ
สวี่ชีอันมองด้าน ‘หน้า’ และ ‘หลัง’ ของภูเขาเนื้อออก เป็นเพราะว่ามันมีดวงตาที่เปี่ยมด้วยสติปัญญา ประหนึ่งว่าสามารถแยกแยะดวงตะวัน ดวงจันทร์ ภูเขา และแม่น้ำออก สามารถรับรู้กาลเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่โบราณ
เทพกู่
สวี่ชีอันรู้ชื่อของมันได้เองโดยไม่ต้องหาหลักฐานยืนยัน
เทพมารที่เหลือรอดเพียงผู้เดียวจากยุคโบราณกาล หนึ่งในสิ่งสุดยอดของยุคปัจจุบัน อสูรยักษ์บรรพกาลที่หลับใหลอยู่ในห้วงลึกแห่งกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด
“เหตุใดข้าจึงได้เห็นเทพกู่ในตำนาน…”
ในใจของสวี่ชีอันเกิดความงุนงงแวบหนึ่ง ขณะนี้เอง เขามองเห็นเงามืดแผ่ออกมาเป็นผืนใหญ่จากดวงตาที่เปี่ยมด้วยสติปัญญาคู่นั้นของเทพกู่
สวี่ชีอันกลับไปมอง…
“โฮก! ”
มันคำรามด้วยเสียงใสก้องอีกครั้ง เขาเห็นท้องฟ้าสีครามเข้ม เห็นผืนดินที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เห็นมังกรพาดผ่านท้องฟ้าพุ่งตรงขึ้นไป เห็นนกเปลวเพลิงแวบผ่านท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงสายัณห์ที่คล้ายเพลิงแผดเผา
เห็นยักษ์ตาเดียวเดินบนผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งด้านหลังเป็นฉากตะวันรอนอย่างไร้จุดหมาย
เห็นหนวดที่ยื่นออกมากวัดแกว่งอย่างพัลวันจนปกคลุมท้องฟ้า บดบังตะวันท่ามกลางผืนน้ำอันกว้างใหญ่ที่เดือดพล่านอย่างรุนแรง
เห็นเต่านิลสีดำถูกงูยักษ์รัดพัน
เห็นงูยักษ์ตาเดียวสีชาดที่ลืมตาเป็นกลางวัน หลับตาเป็นกลางคืน
เห็นยักษ์สิบสองคู่แขน งูยักษ์เกล็ดดำเก้าหัว และราชสีห์ทองคำสามหาง ซึ่งทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยดวงตาและกระจายไปด้วยก้อนเนื้อทรงกลมตามหนวด รวมถึงยอดอาชาเทพเปล่งแสงวิเศษห้าสีระยิบระยับ
นก…
ภาพแตกสลาย ความมืดมิดอันไร้สิ้นสุดเข้าถาโถม
สวี่ชีอันลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ในสายตาเป็นห้องสงบจิต และข้าวของเครื่องใช้อันเรียบง่ายที่คุ้นเคย สิ่งพวกนี้มอบความรู้สึกปลอดภัยให้เขาเป็นอย่างมาก มันทำให้เขานำความเป็นจริงกลับมาได้
“เทพกู่บรรพกาล
“สิ่งที่ข้าเห็นคือเหล่าเทพมารยุคโบราณกาล…
“เหตุใดข้าจึงเห็นพวกเขาที่ควรจะดับสูญไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาเสียนานแล้ว”
สวี่ชีอันหวนนึกถึงภาพที่เพิ่งจะได้เห็น เขาเพียงรู้สึกหวาดผวาเป็นพักๆ จนแทบถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำ
ขณะนี้เอง เขาเพิ่งจะพบว่าแผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“น่ากลัวมาก เทพกู่บรรพกาลแต่ละองค์น่ากลัวหาได้มีสิ่งใดเปรียบ ยากจะจินตนาการว่านั่นคือยุคสมัยใด”
เขาลุกไปรินน้ำร้อนให้ตนเองถ้วยหนึ่งริมโต๊ะชา แล้วจิบไปสองสามอึกด้วยสีหน้างุนงง ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงรู้สึกว่าตนเอง ‘มีชีวิตชีวา’ ขึ้นแล้ว และหลุดพ้นจากความหวาดกลัวอย่างนั้น
หลังจากใจสงบลง เขาเริ่มวิเคราะห์ที่มาที่ไปของชิ้นส่วนความทรงจำเหล่านั้น
ได้ข้อสรุปว่า พวกมันเป็นของเทพกู่
“สิ่งที่มีความเกี่ยวโยงกับเทพกู่เพียงสิ่งเดียวในตัวข้ามีเพียงเจ็ดยอดกู่ เพราะเช่นนั้นจึงเกิดคำถามว่า เหตุใดเจ็ดยอดกู่จึงมีชิ้นส่วนความทรงจำของเทพกู่
“เจ็ดยอดกู่เป็นของล้ำค่าที่รวมเอาวิชากู่ทั้งเจ็ดไว้ด้วยกันเพียงสิ่งเดียวในยุคปัจจุบัน มีความลับอยู่เบื้องหลังจริงๆ ด้วย”
สวี่ชีอันขมวดหัวคิ้ว ด้วยสภาพที่งุนงงไม่อาจหาคำตอบอย่างนี้ เขาอดคิดถึงตนเองสมัยที่ยังเป็นหน้าใหม่ในตอนแรกไม่ได้เลย
“ด้วยนิสัยของข้า เมื่อพบเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจเช่นนี้ ข้าก็จะหันหน้าไปหาเว่ยกง แล้วโยนเรื่องปวดกบาลให้เขาแทน”
สวี่ชีอันยิ้มหัวเราะสักพักแล้วเงียบไป
สวี่ชีอันลูบใบหน้าขจัดความคิดต่างๆ แล้วมองเจ็ดยอดกู่ที่เลื่อนขั้นแล้ว
อย่างแรกคือเทียนกู่ มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ มันสามารถพยากรณ์อากาศ สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงทั้งยี่สิบสี่ฤดูกาล และมี ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ ซึ่งเป็นความสามารถหลัก
ในส่วนของวิชาสอดส่องความลับสวรรค์ เป็นทักษะที่มองเห็นอนาคตช่วงสั้นๆ เนื่องจากระดับสูงเกินไป เจ็ดยอดกู่จึงยังควบคุมไม่ได้
…
ความสามารถทั้งสองอย่างของอั้นกู่ซึ่งก็คือวิชากระโดดสู่เงาและวิชาเคลื่อนที่ใต้เงาได้รับการเลื่อนขั้นอย่างมาก
ขอบเขตของวิชากระโดดสู่เงาเพิ่มเป็นรัศมีสามร้อยเมตร ทั้งยังไม่มีการ ‘ผ่อนแรงปะทะ’ อีก ขณะที่สวี่ชีอันกระโดดสู่เงาก่อนหน้านี้ จะมีการผ่อนแรงปะทะต่ำกว่าหนึ่ง (ร่างกายสลายประดุจเงา)
วิชาเคลื่อนที่ใต้เงาเร็วขึ้นกว่าเก่าและอำพรางตัวมิดชิดกว่าเดิม ถือได้ว่าเป็นวิชาหลบหนีอย่างหนึ่ง ทั้งยังสามารถพาผู้อื่นไปได้หนึ่งคน
นอกจากนี้ มันได้เพิ่มความสามารถที่สามซึ่งก็คือเงาสถิตร่าง
สวี่ชีอันสามารถอาศัยอยู่ในเงาของบุคคลที่เป็นเป้าหมายได้นานถึงสองชั่วยาม
แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ผลข้างเคียงทั้งสองอย่างก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้ยังเพิ่มผลข้างเคียงที่สามซึ่งก็คือ ในแต่ละวันจะต้องใช้ ‘เงาสถิตร่าง’ สิบห้านาที
“ก็ดีเลย ข้าสามารถซ่อนใต้กระโปรงของสตรีได้…เจ็ดยอดกู่นี่ร้ายจริงๆ เลย” สวี่ชีอันเอ่ยแขวะ
…
การเลื่อนขั้นของลี่กู่อยู่ที่ความสามารถในการรักษาตนเองเพิ่มมากขึ้น
ความสามารถในการรักษาตนเองไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับสวี่ชีอันในตอนนี้
การเลื่อนขั้นของซินกู่มีสองด้าน
หนึ่ง ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญารุนแรงขึ้น สอง ควบคุมจำนวนประเภทอสูรสติปัญญาต่ำเพิ่มขึ้น
ข้อแรกใช้เพื่อสร้างผลกระทบให้ศัตรูเหมือนที่ฉีฮวนตานเซียงรับมือดาบไท่ผิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง