บทที่ 595 กลับบ้าน (2)
การประชุมราชสำนักจบในไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แต่ขุนนางในเมืองหลวงที่หูไวตาไวโดยประมาณล้วนทราบเหตุของการประชุมราชสำนักของวันนี้ในเบื้องต้นแล้ว
สวี่ซินเหนียนลูกชายคนรองของสกุลสวี่ ผู้เป็นลูกเขยในอนาคตของสมุหราชเลขาธิการหวาง รับหน้าที่เป็นผู้ริเริ่ม ‘นโยบายบริจาค’ เขาตำหนิเจ้าหน้าที่ระดับสูงในราชสำนักด้วยความโกรธและวิพากษ์วิจารณ์ผู้ร่ำรวยที่มีตำแหน่งชื่อเสียงอย่างรุนแรงในพระราชวังกระดิ่งทอง และขอร้องฝ่าบาทให้ยอมรับนโยบายของเขาเพื่อเรียกบริจาค
จากการเปิดเผยของขุนนางในเมืองหลวงที่ยืนอยู่ตรงบันไดนอกพระราชวัง สวี่เอ้อร์หลางทำสงครามฝีปากกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในราชสำนัก เขาด่าเสียจนผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งพระราชวังไม่มีใครต่อกร
แม้สวี่เอ้อร์หลางจะคว้าชัยในด้านฝีปาก ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจต่อต้านแนวโน้มของสถานการณ์โดยรวมได้ การประชุมราชสำนักแทบจะจบลงในรูปแบบละครตลกภายใต้การคัดค้านอย่างถึงที่สุดจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในราชสำนักและผู้ร่ำรวยที่มีตำแหน่งชื่อเสียง
ครู่หนึ่ง สวี่ฉือจิ้วได้กลายเป็นบุคคลที่สังคมจับตามองด้วยหัวข้อการสนทนาที่กระแทกใจ
“ได้ยินมานานแล้วว่าฝ่าบาทต้องการเรียกบริจาค ท้องพระคลังกลวงเปล่าก็เลยจะเติมให้เต็มไปเองด้วยภาษี มันเป็นเหตุผลที่ต้องให้ข้ารอแจกจ่ายทรัพย์สินเสียที่ใดกัน”
“โธ่ ฝ่าบาทเต็มไปด้วยพลังหนุ่ม กระทำการโดยไม่สนกฎเกณฑ์”
“พวกเจ้ามีเรื่องที่ไม่รู้ นโยบายเรียกบริจาคนี้สวี่ซินเหนียนเป็นคนต้นคิด ในตอนแรกฝ่าบาทไม่ได้ตอบตกลง แต่ห้ามใจไม่อยู่เพราะโจรผู้นี้อธิบายแผนการเสียจนเกินความเป็นจริงด้วยลิ้นที่พลิ้วเหมือนลิ้นเครื่องเป่าลมไม้ จึงทำให้ฝ่าบาทคิดว่าข้าเพียงรอบริจาคให้ได้ตำลึงเงิน สถานการณ์ภัยพิบัติในที่ต่างๆ ก็จะคลี่คลายได้ง่ายดายเหมือนปล้องไผ่โดนคมมีด”
“ไร้ยางอาย ไร้ยางอายเสียจริง หากสวี่ซินเหนียนผู้นี้ทำทุกวิถีทางอย่างถึงที่สุดเพื่อหนทางข้างหน้าอย่างแท้จริง เหตุใดเขาจึงไม่แจกจ่ายทรัพย์สินของครอบครัวให้หมด เงินเดือนขุนนางอย่างพวกเรามีจำกัดแค่เลี้ยงปากท้องไปวันๆ เท่านั้นเอง”
“หึ แค่คนถ่อยในวงการข้าราชการนี่เอง”
“หาใช่เพียงคนถ่อย ยังหน้าตัวเมียอีก หากไม่ล่อลวงบุตรสาวของสมุหราชเลขาธิการหวางด้วยใบหน้างามคล้ายพวกสนม เขาคงทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
การบังคับให้บริจาคเงินล้วนไม่ได้รับการให้ความร่วมมือ บ้างเป็นต้องเอือมระอาในสายตาของทุกกลุ่มชนทุกยุคสมัย โดยเนื้อแท้แล้ววีรชนผู้จงรักภักดีเพื่อชาติและประชาชนอย่างแรงกล้ามีเพียงน้อยนิด
ยิ่งกว่านั้นสวี่ซินเหนียนยังมีรายชื่อเป็นสมุหราชเลขาธิการ อนาคตสดใส เดิมก็ทำให้หลายคนเป็นต้องอิจฉาตาร้อนอยู่แล้ว เขาจึงกลายเป็นเป้าของการเย้ยด่าและเอือมระอาจากทุกชนชั้นในแวดวงข้าราชการ
ณ สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน
สวี่ซินเหนียนผู้อยู่ใจกลางมรสุมนั่งหมอบตัวเขียนแถลงการณ์อยู่บนโต๊ะโดยไม่สนคำเล่าลือของโลกภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น
“ฉือจิ้ว”
ซู่จี๋ซื่อหลายคนก้าวเข้ามาในสำนัก แล้วเอ่ยด้วยความแค้นเคืองอย่างเต็มอกว่า
“เสียงก่นด่าจากภายนอกกำเริบเสิบสาน ลูกศิษย์ด้อยปัญญาพวกนี้อ่านตำราปราชญ์มาหลายปีอย่างเสียเปล่า”
“หึ พวกเขาใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายจนเคยตัว คำนึงถึงชีวิตประชาชนเสียที่ใดกัน”
สำนักบัณฑิตฮั่นหลินเป็นสำนักบัณฑิตที่ไม่มัวหมองตามกระแสสังคมท่ามกลางกระแสน้ำใส ไม่เห็นใครในสายตาและดูถูกขุนนางทั่วไปมาโดยตลอด
หากเปรียบขุนนางทั่วไปเป็นดินเลน เช่นนั้นพวกเขาก็คงเป็นดอกบัวที่อวดตน
ท่าทางหยิ่งยโสโดยปกติทำให้ผู้คนเป็นต้องเกลียด
แต่พวกเขาบริสุทธิ์และความคิดเป็นเหตุเป็นผลกว่าขุนนางทั่วไปจริง ซ้ำยังไม่เคยถูกมัวหมองสติปัญญาด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นภัยต่อความคิดในวงการข้าราชการ
สวี่เอ้อร์หลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนดึงกระดาษเซวียนจื่อออกมา แล้วยกพู่กันเขียนว่า
‘เกื้อหนุนราชวงศ์และปัญญาชนหกร้อยปีมา เหตุใดพลเรือนและทหารล้วนหลบหนี’
ซู่จี๋ซื่อหลายคนดวงตาเป็นประกาย พร้อมปรบมือเอ่ยชมว่า “ยอดเยี่ยม!”
ขณะนี้เอง หม่าซิวเหวินปราชญ์มหาสำนักแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินผู้เข้มขรึมและคร่ำครึ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเฉยเมยโดยเอามือไพล่หลังไว้
“ท่าน!”
สวี่ซินเหนียนและซู่จี๋ซื่อหลายคนน้อมคำนับทำความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
หม่าซิวเหวินเป็นคนหัวโบราณ เขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ตลอดทั้งปี เพราะอย่างนั้นใบหน้าเขาจึงดูตายด้าน เขาส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างเย็นชา ก่อนเอ่ยว่า
“สวี่ฉือจิ้ว ไปที่สำนักกับข้า”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไป
ซู่จี๋ซื่อหลายคนแสดงอารมณ์ประมาณว่า ‘เจ้าทำตัวให้ดี’ ต่อสวี่ซินเหนียน
สวี่ซินเหนียนยิ้มเจื่อน หนังศีรษะชาเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก
เขาคำนับเพื่อนร่วมงาน ก่อนเดินออกไปยังที่ที่หม่าซิวเหวินนั่งฌานอยู่อย่างรวดเร็ว
หม่าซิวเหวินนั่งอยู่หลังโต๊ะ เขาถือถ้วยชาลายครามที่เคลือบสีอย่างสวยงามไว้ในมือ ดวงตาจ้องสวี่ซินเหนียนสองสามครั้งผ่านไอน้ำที่ลอยหมุนขึ้นเป็นเกลียว
“รินชาเอาเอง”
เขาเอ่ยด้วยความเย็นชา
สวี่ซินเหนียนส่ายศีรษะพร้อมเอ่ยว่า “น้ำชาเต็มท้อง ดื่มไม่ไหวแล้ว”
หม่าซิวเหวินไม่ได้บังคับ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างกะทันหันว่า
“ความคิดของสมุหราชเลขาธิการหวางหรือ”
สวี่ซินเหนียนส่ายศีรษะ “เป็นความคิดของข้าเอง เดิมทีใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการไม่รู้ จนกระทั่งฝ่าบาทยอมรับนโยบายของข้า จึงนำไปบอกใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ”
หม่าซิวเหวินเอ่ยตอบในทันที “ข้าก็รู้อยู่แล้ว สมุหราชเลขาธิการหวางจะให้เจ้าทำเรื่องที่ผิดต่อความโกรธเคืองของมวลชนได้อย่างไร ตัดช่องทางหาทรัพย์สินของผู้อื่นก็เหมือนฆ่าบิดามารดาเขา ต่างกับแย่งทรัพย์สินเงินทองผู้อื่นเสียที่ใดกัน”
เขาจิบชาร้อนหนึ่งอึก ก่อนเอ่ยต่อว่า
“ต่อให้ฝ่าบาทคิดจะเอื้อมมือไปหยิบเงินจากกระเป๋าพวกเขาเองยังยากเลย อย่าว่าแต่เจ้า
“นี่เจ้ายังไม่ได้ออกจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็เสื่อมเสียชื่อเสียงเสียแล้ว ความรู้สึกชอบพอที่รวมตัวกันประณามไหวอ๋องด้วยความโกรธร่วมกับข้าราชการต่างๆ ที่ประตูอู่ในวันนั้น เสียหายยับเยินด้วยเหตุนี้ไปหมดสิ้น”
สวี่ซินเหนียนเอ่ยโดยไม่น้อยเนื้อต่ำใจหรือหยิ่งผยองว่า “ปัญญาชนผู้จงรักภักดีที่แท้จริง จะไม่เกลียดแค้นข้าด้วยเหตุนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง