บทที่ 596 สังคมอันแสนอันตราย
สวี่เอ้อร์หลางที่เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย หลังเหลือบมองพี่ใหญ่และบิดาเพียงครู่เดียว ตรงมุมปากก็พลันกระตุกหลายครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
ท่ามกลางบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนใจจนแต่ละคนก็เกิดความกังวลขึ้นตามมา สวี่ชีอันจึงกระแอมเอ่ยว่า “หอมจัง เหมือนว่าข้าจะได้กลิ่นฝีมือการทำอาหารของน้องหลิงเยวี่ยนะ
“อารอง คืนนี้ไม่ดื่มให้เมาไม่ได้แล้ว”
หลังจากทำลายบรรยากาศอันน่าอัดอึดใจ ชายหนุ่มทั้งสามก็ซ่อนถุงส้มเขียวหวานไว้ข้างตัวไปโดยปริยาย และแสร้งทำเป็นไม่เห็นมัน
ระหว่างนั้นเอง สวี่ชีอันชำเลืองมองเอ้อร์หลาง ก็เห็นว่าสวี่เอ้อร์หลางแสดงสีหน้าดั่งเดิมที่ปกปิดความละอายก่อนหน้า
สองปีมานี้ เอ้อร์หลางเติบโตขึ้นกว่าเดิมมาก เมื่อนึกถึงช่วงแรกที่เขายังหมกตัวอยู่ในจวนคร่ำครวญจะผูกคอ หลังจากมีคนในบ้านพบเข้า ก็อับอายไม่ไหวจนอยากตายทันใด…สวี่ชีอันนึกย้อนถึงเรื่องเมื่อก่อนแล้ว ก็รู้สึกสังเวชใจนัก
จากนั้นบุรุษทั้งสามก็เข้าสู่จวน และตรงไปที่ห้องโถงด้านใน
ภายในห้องโถงสว่างไสวไปด้วยแสงเทียน โดยมีน้ำแข็งย้อยเกาะตามชายคาอยู่หลายแท่ง และกลิ่นหอมของอาหารซึ่งโชยออกมาจากประตูที่เปิดไว้
ยามนี้คนรับใช้จำนวนไม่น้อยกำลังเข้าออกภายในเรือนกันให้ขวักไขว่ มีสาวใช้ที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มอีกสองสามคนด้วย
ระหว่างที่เขาออกจากเมืองหลวงไปหลายเดือน จวนสกุลสวี่คงซื้อตัวคนรับใช้ไว้เยอะเลยทีเดียว
“ชาวบ้านในเมืองหลวงเองก็หนาวตายไปไม่น้อยเหมือนกัน ประจวบกับจวนนี้ยังขาดคนอยู่ อาสะใภ้เจ้าเลยให้พ่อบ้านไปจัดการซื้อคนใช้สองสามคนมาจากพ่อค้าคนกลาง แต่ถึงอย่างไรก็ได้เสนอทางรอดกับพวกเขาด้วยล่ะนะ” อารองสวี่กล่าว
สวี่ชีอันพยักหน้า แม้อาสะใภ้จะใจแคบ รักศักดิ์ศรี คิดว่าตัวเองเป็นเทพธิดา และข้อเสียอีกมากมาย ทว่าก็เป็นสตรีผู้ที่มีชีวิตสุขสบาย ไร้เหตุกังวล อีกทั้งยังไม่ต้องวางกลอุบายเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน จิตใจจึงไม่ได้เลวร้ายอะไร
หลินอันก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ต้องขอบคุณที่จักรพรรดิหยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมมาหลายปี ในวังจึงไร้ซึ่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หากได้เติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น หลินอันคงไม่ไร้เดียงสาจิตใจดีอย่างปัจจุบัน
“ภัยพิบัติในปีนี้ ก็ยังไร้หนทางขจัดแก้” สวี่ชีอันหันหน้าไปด้านข้าง พินิจมองสวี่ซินเหนียน แล้วยิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดอาสะใภ้ไม่ซื้อสาวใช้ข้างห้อง[1]ให้เอ้อร์หลางสักคนกลับมาด้วยเล่า?”
อารองสวี่หัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อีกสองเดือนเอ้อร์หลางก็จะหมั้นหมายกับบุตรสาวสมุหราชเลขาธิการแล้ว อาสะใภ้รองของเจ้าไม่กล้าสร้างความลำบากใจกับบุตรสาวท่านสมุหราชเลขาธิการหรอก”
สวี่ฉือจิ้วขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพี่ใหญ่และบิดาเยาะเย้ย
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น เมื่อบุรุษทั้งสามเข้าสู่ห้องโถงด้านใน ก็ได้รับความอบอุ่นของเตาถ่านจากทุกสี่ทิศทันใด ทั้งยามนี้บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารมากมาย เป็นอาหารชั้นเลิศที่มีทั้งอาหารป่าและอาหารทะเล ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าอาหารเหล่านี้ไม่ได้มีเป็นปกติในจวนสกุลสวี่
เวลานี้อาสะใภ้รองและหลิงเยวี่ยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะชา ส่วนสวี่หลิงอินกับลี่น่าก็เข้าไปนั่งที่ด้านข้างของโต๊ะ พลางมองอาหารอย่างกระหาย
“หลิงอิน อย่าแม้แต่จะคิดขโมยกินก่อนเชียว รอให้พี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาก่อนค่อยเริ่มกิน” อาสะใภ้กล่าวตักเตือน
“อื้อ…”
สวี่หลิงอินนั่งคุกเข่าบนเก้าอี้ โดยที่มือน้อยๆ ยันขอบโต๊ะ แล้วดึงสายตากลับอย่างอาลัยอาวรณ์ ทว่าเมื่อมองไปทางด้านนอกห้องโถง ก็เห็นบุรุษทั้งสามกลับเข้ามาพอดี
“พี่ใหญ่!”
เสี่ยวโต้วติงตะโกนเรียกเสียงดัง กระโดดลงจากเก้าอี้ ส่วนสองมือที่ขนาบกับเอวก็กางออกแล้วเหยียดไปด้านหลัง พร้อมกับก้มศีรษะลง ก่อนจะพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง
ในเวลาเดียวทั้งสวี่ผิงจื้อและสวี่ซินเหนียนก็พลันถอยออกห่างทันที
เสี่ยวโต้วติงจึงพุ่งชนเข้าใส่อ้อมแขนของสวี่ชีอัน
ช่างแรงเยอะดีจริงๆ…เขาตกตะลึงอยู่ในใจ จากนั้นก็มองพินิจน้องสาว หลังจากไม่เจอกันเพียงหนึ่งเดือน โดยทั่วๆ ไปไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรนัก อืม แต่หากต้องพูดล่ะก็ ใบหน้าดูกลมกว่าเดิมแฮะ
กลมกิ๊กเหมือนลูกแอปเปิลสีแดงเลย
ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่าเลือดลมของเสี่ยวโต้วติงนั้นแข็งแรงดีเป็นอย่างมาก
เท่าที่สวี่ชีอันคิดวิเคราะห์จากการพุ่งชนเมื่อครู่นี้ และจากการประเมินด้วยสายตา ตอนนี้พลังของนางคงอยู่ที่ระดับหลอมจิตขั้นเก้าแล้ว
เจ้านี่ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว ยามข้าอายุเท่านางในตอนนี้ ยังฝึกกระบวนท่าอาชาไม่หยุดอยู่เลยนะ…สวี่ชีอันตกตะลึงอยู่ในใจ
เขาลูบหัวสวี่หลิงอิน พลางกวาดสายตามองสตรีทั้งสามในห้องโถง
สวี่หลิงเยวี่ยเคยเจอแล้ว ส่วนลี่น่าผิวดูจะขาวขึ้นกว่าเดิม คนที่เปลี่ยนไปมากที่สุดก็คืออาสะใภ้รอง ผู้มีรูปโฉมงดงาม ผิวขาวนวลเนียน และเมื่อมองใบหน้านี้ ก็ดูไม่เหมือนผู้หญิงที่มีลูกมาแล้วสามคนเลยแม้แต่น้อย
เป็นเพราะยาบำรุงหน้าที่ฉู่ไฉ่เวยส่งให้รึเปล่านะ? ผลลัพธ์ช่างดีเสียจริง หากเป็นชาติก่อนข้าคงรวยเละ น่าเสียดายที่กลับไปไม่ได้แล้ว…เขาคิดแล้วก็เสียใจ
จากนั้นอาสะใภ้รองและหลิงเยวี่ยก็เข้ามาต้อนรับ ทว่าก็มองสำรวจบนร่างหลานชายก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้แขนขาดหรือขาขาดอันใด ก่อนจะเชิดคางขึ้น แล้วพูดอย่างสงวนท่าที “กลับมาได้สักทีนะ!”
จู่ๆ นางก็ทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะขมวดคิ้วงาม “กลิ่นส้มเขียวหวานอีกแล้ว ทำไมกลิ่นแรงขนาดนี้?”
อารองสวี่จึงรีบเอาส้มเขียวหวานออกมา ยิ้มกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ส้มเขียวหวานแก้ไอได้ ข้าเลยซื้อมาให้หลิงอินกิน แต่ระหว่างทางข้าก็กินเองไปหนึ่งลูก คงจะมีกลิ่นติดน่ะ”
สวี่หลิงอินได้ยินดังนั้น ใบหน้าเล็กก็พลันสลดทันใด
อารองสวี่ถลึงตาเอ่ย “จะนิ่งบื้ออยู่ไย รีบมาเอาเร็ว”
สวี่หลิงอินขมวดคิ้วงามทั้งสองเข้าหากันแน่น ขณะถือถุงส้มเขียวหวานในอ้อมแขน
นางมองผู้เป็นบิดา แล้วมองส้มเขียวหวานในอ้อมแขน จากนั้นก็ใช้นิ้วที่สั้นอวบพลิกนับดูข้างใน มีสี่ลูก สำหรับตนนั้นถือว่าพอรับไหว
จังหวะนั้นคิ้วงามทั้งสองถึงคลายออก
“อะแฮ่ม!” สวี่เอ้อร์หลางกระแอม ก่อนจะนำถุงกระดาษที่ซ่อนอยู่ข้างตัวออกมา ยื่นไปทางสวี่หลิงอิน แล้วพูดว่า “พี่รองก็กังวลเรื่องเจ้าที่ไอเหมือนกัน…”
สวี่หลิงอินแน่นิ่งไปโดยพลัน สวี่ชีอันเหมือนจะเห็นเครื่องหมายคำถามลอยอยู่บนศีรษะของนาง
หลังสวี่ผิงจื้อและสวี่ซินเหนียนโยนปัญหาให้กับเด็กเสร็จ ก็มานั่งข้างโต๊ะอย่างอารมณ์ดี
ทว่าด้านสวี่หลิงอินกลับมีท่าทีอยากจะร้องไห้อยู่เต็มที
สวี่ชีอันเห็นเช่นนั้น ก็อดใจไม่ไหว จึงพูดขึ้นว่า “หลิงอินจ๋า พี่ใหญ่กลับมาครั้งนี้ เอาของขวัญมาฝากเจ้าด้วยนะ”
เสี่ยวโต้วติงเผยรอยยิ้มสดใสประหนึ่งแสงตะวันทันที เสมือนท้องฟ้าไร้เมฆหิมะ ลืมเรื่องทุกข์ทั้งหมด เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ไหนของขวัญ ของขวัญอยู่ไหนเหรอพี่ใหญ่?”
สวี่ชีอันจึงหยิบส้มเขียวหวานที่ซ่อนไว้ข้างตัวออกมาทันใด แล้ววางไว้ในอ้อมแขนของเสี่ยวโต้วติง
สวี่หลิงอิน…ได้รับ ‘ส้มเขียวหวานX3’
เด็กน้อยผู้น่าสงสาร ตอนนี้ได้ยืนแน่นิ่งไปแล้ว อีกทั้งไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทั้งบิดา พี่ใหญ่ และพี่รองจะทำเช่นนี้กับตนเอง
จู่ๆ เสี่ยวโต้วติงก็ส่งเสียงร้องไห้ ‘ฮึก’ ออกมา “ข้าไม่อยากกินส้มเขียวหวาน ข้าไม่อยากกินส้มเขียวหวาน…”
สวี่เอ้อร์หลางที่โยนความรับผิดชอบให้คนอื่น กลับพูดด้วยสีหน้าสบายใจว่า “ถ้าเจ้าไม่อยากกินก็โยนทิ้งสิ”
‘โยนทิ้งเหรอ…’เสี่ยวโต้วติงได้ยินเช่นนั้น ก็ร้อง ‘ฮึก’ และเศร้ากว่าเดิม
‘นางคงทิ้งไม่ลงสินะ…’ สวี่เอ้อร์หลางใช้ตะเกียบคีบผัดหน่อไม้ฤดูหนาว
‘ถึงไม่อร่อยก็ต้องกินลงไป…’ อารองสวี่ดื่มสุราเสียงดัง ‘อึกๆ’
อารองและเอ้อร์หลางช่างไร้มนุษยธรรมจริงๆ เลย เฮ้อ…สวี่ชีอันคีบอาหารให้อาสะใภ้รอง แล้วพูดว่า “อย่าลืมให้นางแปรงฟันด้วยนะ”
…
หลังจากร่ำสุราไปสามครา อารองสวี่ก็คีบเนื้อหัวหมูเข้าปาก เคี้ยวช้าๆ แล้วกลืนลงไป จากนั้นก็รินสุราให้ลูกชาย เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ด้านนอกเขาพูดกันว่า เจ้าไปเสนอความเห็นกับฝ่าบาทให้เรียกบริจาคเงินรึ?”
สวี่ซินเหนียนตอบ ‘อือ’ ก่อนอธิบายต่อว่า
“ความจริงแล้ว วิธีที่ดีที่สุดก็คือค้นบ้านเรือนและยึดทรัพย์ แต่จักรพรรดิหย่งซิ่งเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งยังไม่มั่นคง ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้วิธีการนุ่มนวลเท่านั้น
“เดิมทีเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องบริจาคหรอก เพราะว่าการกระทำของเขาในระหว่างที่ครองราชย์นั้นอาจถูกขยายความได้ ซึ่งก็อาจโดนพวกขุนนางใส่สีตีไข่นั้นเอง
“หากอยากนั่งบัลลังก์มังกรอย่างมั่งคง ทางที่ดีก็อย่าเพิ่งทำสิ่งใด รอให้ปีกกล้าขาแข็งก่อนค่อยจัดการให้เด็ดขาดทีเดียวจะดีกว่า
“ทว่าน่าเสียดาย ที่สวรรค์ไม่เข้าข้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง