บทที่ 597 เสนอบุคคล
ยามอิ๋น[1]สองเค่อ[2]!
ณ นอกประตูอู่ ท่ามกลางสายลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว
มีเหล่าขุนนางแห่งเมืองหลวงที่นั่งรถม้าเข้าพระราชวังอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะลงเดินเพื่อไปหน้าประตูอู่
สายลมหนาวที่ประหนึ่งมีดขูดกระดูกส่งเสียงพัดดังหวีดหวิวอื้ออึง จนโคมไฟที่แขวนตามประตูกำแพงสะบัดพลิ้ว รวมถึงไฟในเสาไฟหินตามทาง และคบเพลิงในมือทหารรักษาพระองค์ก็สั่นวูบไหวอย่างรุนแรง
เหล่าขุนนางต่างใส่เสื้อคลุมตัวหนา พร้อมกับสวมหมวกกันลม หากมองดีๆ ก็สามารถสังเกตได้ว่าจะขุนนางระดับสูงหรือต่ำ จะมีอำนาจมากน้อยเพียงใด ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่งกายอย่างเรียบง่ายทั้งนั้น
เสื้อคลุมที่ทำจากขนแกะ และหมวกที่สร้างหนังหนู
ในเมืองหลวงครอบครัวที่พอมีฐานะขึ้นมาหน่อย ถึงจะสวมใส่ชุดเช่นนี้
พวกขุนนางแห่งเมืองหลวงกระทำชัดเจนเยี่ยงนี้ ทุกคนคงต่างหมายจะแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้มีเงินอะไร ใช้ชีวิตอย่างให้พอมีพอกินเท่านั้น ไหนเลยจะมีเงินมาบริจาค?
ยามนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามก่อนจะประชุม จึงมีเหล่าขุนนางสองสามคนที่จับกลุ่มคุยกันเสียงเบา
ซึ่งผู้ควบคุมหน่วยตรวจสอบความเรียบร้อย ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อเรื่องนี้
“เรียกประชุมทุกวันเช่นนี้ ฝ่าบาทคงตั้งใจทำให้พวกเราลำบากแล้วล่ะ”
“ใช่เลย ฉะนั้นก็บริจาคเงินน้อยๆ เถอะ ไม่ต้องให้เยอะมาก”
“ใต้เท้าหยางเลอะเลือนแล้วหรือ ตามข้อบังคับบอกให้พวกเราบริจาคเงินเท่ากับเงินเดือนสามเดือนนะ ความจริงคงเป็นแผนลวงของฝ่าบาท ข้าถามเจ้าหน่อย ถึงเวลานั้น หากสมุหราชเลขาธิการหวางเสนอให้บริจาคเงินเท่ากับเงินเดือนหนึ่งปี ไม่ว่าทุกคนจะเห็นพ้องด้วยหรือไม่? แต่คิดจริงๆ หรือว่าเงินบริจาคเท่านี้จะเพียงพอ? คงแงะปากพวกเราให้ตอบตกลงเท่านั้นแหละ”
“นี่มัน…ที่ใต้เท้าจูพูดมาก็มีเหตุผล หยางโหม่วเข้าใจแล้ว”
…
“เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยผ่าน เหมือนอย่างที่เราหารือกันเมื่อวาน ตราบใดที่ยังคอยตามการกระทำของทุกคน ไม่ปล่อยผ่านและไม่ยอมแพ้ อย่างมากฝ่าบาทคงได้บดขยี้พวกเราไปอีกสองสามวัน”
“เฮ้อ คนซื่อสัตย์สุจริตเช่นข้า ขนาดจวนที่อาศัยในตอนนี้ยังเช่าอยู่ ยามนี้เมืองหลวงเริ่มขาดเสบียงแล้ว ข้าที่รอเงินเดือนออก จะผ่านไปได้อย่างไร?”
“พวกเราต่างก็เป็นปัญญาชนผู้ซื่อสัตย์สุจริตเหมือนกับใต้เท้าจ้าวนี่แล”
…
“ใต้เท้าทั้งหลาย ฤดูหนาวปีนี้หนักหนานัก ข้าเองก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไร จริงๆ ไม่ไหวด้วยซ้ำ บริจาคเงินตามพระประสงค์ของฝ่าบาทไปเลยน่าจะดีเสียกว่า”
นี่คือความเห็นจากผู้ที่คอยสังเกตเหตุการณ์อยู่ข้างๆ และเป็นขุนนางที่ใจเอนเอียงเห็นด้วยกับการบริจาคเงิน
ขุนนางที่อยู่ข้างๆ ก็พลันแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวทันใด “ใต้เท้าหลี่คงเลอะเลือนแล้วแน่ๆ ทุกพื้นที่ที่ประสบพายุหิมะตกไม่หยุด ต่างก็ขาดแคลนทั้งอาหาร ถ่าน และเงินกันหมด ด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดของพวกเรา จะไปเติมเต็มท้องพระคลังได้อย่างไร?”
“ใต้เท้าหลี่มองแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้คิดให้ลึกซึ้ง สาเหตุที่ทุกๆ คนกัดฟันสู้ ก็เพราะถ้าปล่อยให้เกิดต่อไป มีครั้งแรกแล้วย่อมมีครั้งที่สอง และมีครั้งสองก็ย่อมครั้งที่สาม หากผ่านไปสักพักฝ่าบาทขาดแคลนเงิน ก็จะให้บริจาคอีกรอบ เช่นนี้พวกเราจะไม่อดตายเอาหรือ?”
“หลักการง่ายๆ เช่นนี้ บัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการอย่างสวี่ซินเหนียนกลับไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจที่ไหนเล่า แสร้งทำเป็นไม่รู้ชัดๆ ทำเพื่อจะประจบฝ่าบาทเท่านั้นแหละ”
“เจ้าเด็กนี้คิดว่าตัวเองถูกต้องตลอด เอาแต่อาศัยบารมีลูกพี่ลูกน้อง และนิสัยหยิ่งยโสโอหังยิ่งนัก ช่วงนี้ก็ไปตีสนิทกับท่านสมุหราชเลขาธิการอีก ก็ยิ่งได้ใจไปกันใหญ่”
“เหอะ ไอ้คนไร้ค่า” ขุนนางคนหนึ่งถุยน้ำลายออกมาอย่างเดือดดาล
อีกทางด้านหนึ่ง จางสิงอิงที่ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายขวา เดินเข้าไปหาหลิงหงอย่างช้าๆ แล้วถอนหายใจกระซิบกล่าวว่า “วิธีของฝ่าบาทช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากให้คนระดับขุนนางปัญญาชนบริจาคได้แล้ว จากนั้นก็ให้เสนาบดีเล็กแต่ละท้องถิ่นร่วมบริจาคด้วย พอมีเงินและเสบียงแล้ว ก็จะสามารถไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติได้มาก อีกทั้งยังระงับการเกิดผู้ลี้ภัยด้วย
“ขอเพียงให้ผ่านฤดูหนาวครั้งนี้ไปได้ ชาวบ้านที่เห็นความหวังในวันคราดนาฤดูใบไม้ผลิ ก็จะไม่การจลาจลขึ้นแต่อย่างใด
“ช่างน่าเสียดายที่ฝ่าบาทจะเพิ่งขึ้นครองราชย์ ชื่อเสียงจึงมีไม่เพียงพอ ทั้งรากฐานก็ยังไม่มั่นคง เว่ยกงก็ตายไปแล้วอีก มิเช่นนั้นหากได้ร่วมมือกับสมุหราชเลขาธิการหวาง ก็คงผลักดันการบริจาคแน่นอน
“ส่วนตอนนี้นั้น…เฮ้อ คนที่อยู่ภายใต้เงื้อมมือของเรา ก็มีพวกที่ไม่พอใจอยู่”
เรื่องที่องค์หญิงฮว๋ายชิ่งสนับสนุนให้สวี่เอ้อร์หลางรับตำแหน่ง ตอนแรกพวกเขาที่เป็นอดีตสมาชิกพรรคเว่ยไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
หลังเกิดเรื่องนี้บุคคลที่เป็นเสาหลักหลายคนก็ได้หารือกัน และคิดมาตลอดว่าแผนการนี้ยากจะสำเร็จ ทั้งอาจต้องเผชิญอุปสรรคที่ใหญ่หลวงอีกด้วย
ประการแรก การคิดจะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ยึดมามิชอบของพวกเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหลายนั้น พบว่าเป็นเรื่องยากยิ่ง ทุกคนต่างเป็นคนที่มาจากสมัยจักรพรรดิหยวนจิ่ง หาได้รู้ไม่ว่าจะจริงใจอะไรต่อกันหรือไม่?
ทั้งใช้อำนาจโดยมิชอบ และรีดไถเงินเกินเหตุ
สาเหตุที่กำลังและอำนาจของต้าฟ่งอ่อนแอลงอย่างทุกวันนี้ แท้จริงหาใช่ความผิดของจักรพรรดิองค์ก่อน คงเป็นเพราะว่าจักรพรรดิองค์ก่อนประพฤติตัวไม่เหมาะสม ผู้ที่อยู่เบื้องล่างก็เลียนแบบตามมากกว่า
จะรีดไถเงินตามที่ทำเป็นประจำก็ไม่ทันแล้ว เลยหวังจะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินของพวกโลภมากเหล่านี้ที่ยึดมามิชอบ แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าจะมีคนต่อต้านมากเพียงใด
ประการต่อมา ‘ภัยพิบัติฤดูหนาวครั้งนี้’ ที่แบกรับตลอดมาก็ใกล้จวนจะรับไม่ไหวแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเวลานั้นจะมาเมื่อไหร่ นี่เพิ่งจะเข้าฤดูหนาวได้แค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง ยามที่หนาวยะเยือกกว่านี้ยังไม่ได้มาเยือนเลยด้วยซ้ำ
เมื่อถึงเวลานั้น หากราชสำนักยังไม่มีเงินพอ ฝ่าบาทจะทำเยี่ยงไร? ต้องมาขอรับบริจาคอีกรอบงั้นหรือ?
สุดท้ายแล้ว แก่นสาระของเรื่องนี้ก็คือการวางกลยุทธ์ของราชสำนัก
จักรพรรดิและขุนนาง ตามความเป็นจริงทั้งสองต่างก็เป็นฝ่ายตรงข้ามกัน ครั้นจักรพรรดิองค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์ ทรงก็รับสั่งให้เหล่าขุนนางบุ๋นตามกลิ่นในสิ่งที่ดูผิดปกติแม้จะเล็กน้อยก็ตาม
ไม่ว่าจะจากเรื่องจุดยืน จากนิสัยที่โลภในเงิน หรือกระทั่งการโต้แย้งและการปฏิเสธที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณก็ตาม
อย่าว่าแต่จักรพรรดิหย่งซิ่งเลย ในสมัยจักรพรรดิหยวนจิ่งพระองค์ก็ทำเช่นนี้ ซึ่งก็เจอแรงต่อต้านเหมือนกัน
หลิวหงเหลือบมองแต่ละกลุ่มขุนนางที่กำลังกระซิบกระซาบหารือกัน ก่อนจะกล่าวว่า “บางทีในยามนี้ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งอาจกำลังสังเกตการณ์ด้วยสายตาเย็นชาอยู่ก็เป็นได้ ว่าใครคนไหนที่เห็นด้วยกับการบริจาค ใครคนไหนที่ในใจเห็นด้วยทว่าก็กลัวผู้คนจะโกรธเกรี้ยวใส่ หรือใครคนไหนขี้ตระหนี่จนไม่ยอมคายแม้แต่เงินสตางค์เดียว”
จางสิงอิงพลันเอ่ยขึ้น “นางรู้ใช่หรือไม่ว่าแผนการนี้ไม่ได้ผล?”
เขาขมวดคิ้วแน่น “หากเป็นเช่นนั้น จะไม่เป็นการทำร้ายสวี่ฉือจิ้วหรือ”
หลิวหงพูดพลางยิ้ม “ไม่ขนาดนั้นหรอก เขามีสมุหราชเลขาธิการหวางคอยหนุนหลังอยู่ เลวร้ายสุดก็แค่ได้นั่งตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญสักสองสามปีเท่านั้น”
จางสิงอิงพยักหน้า แล้วถอนหายใจ “ข้าก็ยังหวังว่าเรื่องนี้จะสำเร็จอยู่นะ อันที่จริงคลังหลวงก็แทบไม่มีเงินเหลือแล้ว ตอนนี้เหล่าผู้ลี้ภัยในแต่ละพื้นที่ก็เริ่มก่อนก่อการจลาจลอีก ซึ่งเป็นสัญญาณความโกลาหลครั้งใหญ่ในยุทธภพ หากไม่รีบขจัดภัยให้ทันการ ไม่ช้าก็เร็วคงได้เกิดความโกลาหลเป็นแน่”
หลิวหงเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัย ขณะนั้นเอง สถานการณ์วุ่นวายจากที่ไกลๆ ก็ดึงดูดความสนใจทั้งสอง
เมื่อหลิวหงและจางสิงอิงหรี่ตาเพ่งมอง ก็พบว่าขุนนางหนุ่มซึ่งสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งกำลังยืนขวางหน้าสวี่ซินเหนียนที่สวมชุดสีเขียวเช่นเดียวกันด้วยท่าทีคุกคาม ทั้งยังด่าทออย่างเกรี้ยวกราด จนน้ำลายกระเด็นไปทั่ว
หลิวหงสายตาไม่ค่อยดีนัก จึงมองอยู่นาน แล้วถามว่า “คนนั้นคือใคร?”
จางสิงอิงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ผู้ที่สอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาของปีนี้ นามว่าเฉียนมู่”
ด้านหลิวหงก็ยิ้มตามไปด้วย “คนที่มุทะลุเขียนฎีกาเหล่านั้นฟ้องร้องมาว่ารองเสนาบดีกรมปกครองทุจริตรับสินบน และจะให้ขุนนางกลุ่มหนึ่งในกรมปกครองออกไปให้ได้น่ะหรือ?
“ดูท่าน่าจะนั่งตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญมานานล่ะสิ บั้นท้ายคงจะนั่งต่อไปไม่ไหว เลยมาที่นี่เพื่อเสนอลงชื่อ”
จางสิงอิงส่ายศีรษะ “ถูกคนหลอกใช้มานั่นแล อาจได้ผลประโยชน์ในระยะอันสั้นๆ แต่หากมองระยะยาว เหอะ ไปยั่วโทสะฝ่าบาทเข้าแล้ว เขาเอาอะไรมาคิดว่าจะยังจบสวย”
หลิงหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ถึงเสนอลงชื่อเพื่อเข้าร่วมกับพรรคชิง ก็สามารถเป็นขุนนางที่ดีได้เหมือนกัน ตราบใดที่หลังจากนี้มุมานะทำงาน ฝ่าบาทจะยังจับตาดูเขาไม่ปล่อยอยู่อีกหรือ?”
ฝั่งนี้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทว่าสถานการณ์อีกฝั่งกลับตึงเครียดสุดขีด
เฉียนมู่ชี้นิ้วไปที่สวี่ซินเหนียน แล้วพูดข่มอีกฝ่าย “ภัยพิบัติฤดูหนาวปีนี้ ผู้ที่มีจิตใจซื่อตรงในราชสำนักต่างก็ขาดแคลนทั้งข้าวสารและถ่านทั้งนั้น มิใช่ว่าแต่ละคนจะเหมือนสวี่ทั่นฮวา ที่ครอบครัวมีเงินมากมาย มีอาหารเลิศรสให้กิน มีอาภรณ์สวยหรูให้สวมใส่
“หากบริจาคเงินเดือนสามเดือนแล้ว เจ้าจะให้เพื่อนร่วมงานผู้ซื่อสัตย์สุจริตเหล่านี้ เอาตัวรอดให้ผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไร?
ยังไม่ทันที่สวี่ซินเหนียนจะได้พูด เขาก็หัวเราะเย็นชาออกมา ก่อนพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าทำเพื่อเอาใจฝ่าบาทล่ะสิ ถึงคิดแผนการไร้สาระเช่นนี้มา ไอ้คนต่ำทราม ข้าและคนรุ่นเดียวกับเจ้าต่างรู้สึกอับอายทั้งนั้นแหละ”
เหล่าขุนนางที่ชมเหตุการณ์อยู่รอบๆ ต่างก็คล้อยตามไปด้วย
สวี่ซินเหนียนก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าทำเพื่อประชาชนทุกคน ไม่มีสิ่งใดให้ต้องละลายใจ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง