สรุปตอน บทที่ 598 ปราบเหล่าขุนนาง (1) – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet
ตอน บทที่ 598 ปราบเหล่าขุนนาง (1) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 598 ปราบเหล่าขุนนาง (1)
‘สวี่ชีอันงั้นหรือ!’
ชื่อนี้ดังก้องอยู่ในหัวของขุนนาง ต่างอดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้ นึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีมากมาย
ปิดประตูอู่เยาะเย้ย ปิดประตูอู่สังหารกั๋วกง ปลงพระชนม์จักรพรรดิองค์ก่อน…
เห็นเขาเที่ยววิ่งเบ่งอำนาจ ต่างก็จนปัญญา
เพราะเมื่อก่อนมีเว่ยเยวียนคอยถือหางให้คนผู้นี้ ทำให้เขาใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ต่อมาเมื่อเว่ยเยวียนตาย ตอนนั้นผู้คนในท้องพระโรงต่างรอให้จักรพรรดิหยวนจิ่งชำระบัญชีคนผู้นี้
นั่งรอเขาถูกตัดหัวทั้งตระกูล
เสียงฮือฮาดังขึ้น เหล่าท่านทั้งหลายสบสายตา กระซิบเอ่ยถามบางอย่างกัน บางคนก็ส่ายหน้าระรัว บ่งบอกว่าตนไม่ได้ข่าวที่ตรงกัน
สวี่ซินเหนียนยืนอยู่ปลายแถว คำพูดจำพวก ‘ไม่ใช่ว่าเขาออกจากเมืองหลวงแล้วหรือ’ ‘กลับมาตั้งแต่เมื่อไร’ ‘สารเลวนี่กลับมาทำไม’ เป็นสิ่งที่เขาได้ยินมากที่สุด
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่และหัวหน้าพรรคสีหน้าจริงจัง
จางสิงอิงหันหน้ามาอย่างงุนงง จ้องมองหลิวหง เฉกเช่นเดียวกันกับสมาชิกหลายคนของอดีตพรรคเว่ย
สวี่ชีอันกลับมาแล้วงั้นหรือ
พวกเขาไม่ได้ข่าวแม้แต่น้อย
เจ้านั่นกลับมาเมืองหลวงแล้ว กลับเมืองหลวงก็ดี…บัดนี้อดีตสมาชิกพรรคเว่ยต่างสุขุมอย่างน่าใจหาย
จักรพรรดิหย่งซิ่งกระตุกมุมปาก ส่งสายตาบอกขันทีให้เงียบ จงใจไม่ขัดจังหวะเสียงเซ็งแซ่ของเหล่าท่านทั้งหลาย
‘พวกจิ้งจอกเฒ่า คนที่จะลงโทษพวกเจ้ากลับมาแล้ว…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งจิตใจสดชื่น เพียงรู้สึกว่าความมัวหมองหลายวันมานี้ถูกชำระจนสิ้น
หลังจากเสียงเซ็งแซ่ในตำหนักสงบลง จักรพรรดิหย่งซิ่งจึงตรัสอย่างช้าๆ
“เท่าที่ข้ารู้ ฆ้องเงินสวี่ออกจากเมืองหลวงท่องยุทธภพไปนานแล้ว เหตุใดถึงกลับมาอีก”
หลิวหงเอ่ยเสียงดัง
“ฆ้องเงินสวี่ท่องยุทธภพ เห็นประชาชนดำรงชีพอย่างลำเค็ญ ในใจรู้สึกเวทนา ทุกครั้งที่นึกถึงคำสอนของเว่ยกงก็มิอาจกลั้นน้ำตาได้ ดังนั้นจึงหยุดท่องยุทธภพพ่ะย่ะค่ะ อยากเข้าคุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในนามเว่ยกง คืนราชสำนักสู่อนาคตที่สดใส”
เหล่าขุนนางคุณูปการและท่านทั้งหลายสีหน้าคลุ้มคลั่งขึ้น พากันโห่ร้อง
“ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! ”
“สวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ จะคุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้อย่างไร”
“คนผู้นี้ดื้อรั้นเลี้ยงไม่เชื่อง ครั้งแรกที่ดำรงตำแหน่งในที่ทำการปกครองก็กล้าบุกวัง หากเขาคุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทั้งฝ่ายราชสำนักและราษฎรจะต้องโกลาหล”
ท่านทั้งหลายในตำหนักตรงนั้นเกินครึ่งต่างก็คัดค้าน อารมณ์ดุเดือดยิ่งกว่าบังคับให้พวกเขาบริจาคหลายเท่า
ในหมู่ขุนนางคุณูปการแทบจะทุกคนลงมติไม่เห็นชอบ
เห็นได้ว่าจอมยุทธ์สกุลสวี่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน
แน่นอนว่าก็มีผู้เห็นด้วยในหมู่ท่านทั้งหลาย อาทิอดีตสมาชิกพรรคเว่ยและสมาชิกพรรคหวางส่วนหนึ่ง
อารมณ์ของสมาชิกพรรคหวางซับซ้อนกว่ามาก สวี่ชีอันเป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน เป็นคนของพรรคเว่ยอย่างไม่ต้องสงสัย หากเป็นเมื่อก่อนให้ตายอย่างไรพรรคหวางก็จะขัดขวางไม่ให้สวี่ชีอันคุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
ทว่าในตอนนี้…
ทุกคนต่างรู้ดีว่าสวี่เอ้อร์หลางเป็นว่าที่ลูกเขยของสมุหราชเลขาธิการหวาง
ด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้ จอมยุทธ์ที่กำเริบเสิบสานผู้นี้เหมือนจะกลายเป็นพันธมิตรได้
ไอ้สารเลวสวี่ชีอันกลับมาแล้ว…สีหน้าของเจ้ากรมอาญาเรียกได้ว่าหลากหลายอารมณ์
พูดได้เลยว่าเขาทั้งรักทั้งเกลียดจอมยุทธ์สกุลสวี่ เพราะคนผู้นี้มีประโยชน์มากจึงรัก และเพราะสารเลวนี่เคยแต่งกลอนด่าเขาจึงเกลียด เมื่อก่อนยังทำลายเรื่องดีของเขาอยู่บ่อยครั้ง
ศัตรูเก่า
แต่ต้องยอมรับว่า ขณะนี้มีเพียงสารเลวนี่ที่จะปราบขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋นทั้งราชสำนักได้
“เผียะ! ”
ขันทีเหวี่ยงแส้ฟาดลงพื้นเกิดเป็นแสงประกาย ส่งเสียงดังเป็นกังวาน
จักรพรรดิหย่งซิ่งกวาดพระเนตรมองขุนนาง แล้วตรัสอย่างแผ่วเบา
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลดูแลความเรียบร้อยของขุนนางทุกคน อารักขาวังและราชวงศ์ ใครจะบัญชาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้าจะตัดสินเอง เหล่าขุนนางทั้งหลายมีอำนาจตัดสินเองตั้งแต่เมื่อไร”
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็เห็นติ้งกั๋วกงก้าวออกมาจากแถวของขุนนางคุณูปการ แล้วเอ่ยเสียงกร้าว
“ฝ่าบาทโปรดคิดทบทวน”
ติ้งกั๋วกงอายุประมาณห้าสิบปี สวมหมวกขุนนางแปดแถบในชุดสีแดง เข็มขัดหยกรัดเอว คาดสายสะพายปักลายดอกไม้สี่สีและหงส์แดง
แม้จะอายุครึ่งร้อยแล้ว ดวงตาก็ยังคงมีชีวิตชีวา เลือดลมเปี่ยมด้วยพลังดูไม่ชรา มีพลังบำเพ็ญที่ไม่ธรรมดาในแวบแรกที่มอง
น้ำเสียงของติ้งกั๋วกงเปี่ยมล้นด้วยพลัง
“ฝ่าบาทจะแต่งตั้งคนที่ปลงพระชนม์จักรพรรดิให้ควบคุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้อย่างไร”
เมื่อเห็นว่ามีคนเอ่ยถึงประเด็นต้องห้ามนี้ ขุนนางในตำหนักต่างก็เงียบ
ติ้งกั๋วกงเอ่ยต่อ
“พ่อคือต้นลูกต้องตาม อย่างไรเสียจักรพรรดิองค์ก่อนก็เป็นพระบิดาของฝ่าบาท ฝ่าบาทจะแต่งตั้งสวี่ชีอันให้คุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จากนี้ร้อยปีก็จะถูกจารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของฝ่าบาท จะต้องเกิดเสียงวิจารณ์ทั้งฝ่ายราชสำนักและราษฎรเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเขาช่างอ้อมค้อม หมายถึงหากเจ้าแต่งตั้งศัตรูที่ฆ่าบิดาเป็นขุนนางใหญ่ เมื่อเรื่องนี้แพร่งพราย อย่างไรก็ดูไม่ดี บนหน้าประวัติศาสตร์ก็จะบันทึกในภายภาคหน้า เจ้าจะถูกคนรุ่นหลังวิพากษ์วิจารณ์และประณาม
จักรพรรดิหย่งซิ่งสนใจชื่อเสียงเป็นที่สุด
“ฝ่าบาท ติ้งกั๋วกงพูดมีเหตุผล โปรดคิดทบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้ เฮ้อ ไม่เหมาะสมจริงๆ พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขุนนางพากันคล้อยตาม
ขณะที่ทุกคนต่างแย่งกันพูดและมวลชนต่างเดือดดาล จักรพรรดิหย่งซิ่งก็ตรัสอย่างแผ่วเบา
“เช้านี้ฆ้องเงินสวี่เข้าวังมาแล้ว ทหาร เรียกเขาเข้ามา”
เสียงประท้วงพลันหยุดในทันใด ภายในตำหนักเงียบสงัด ได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก
“นั่นสิ ฆ้องเงินสวี่สร้างคุณูปการใหญ่หลวงให้บ้านเมืองไม่แพ้เว่ยกงในตอนนั้น ใครใช้ให้กั๋วกงตำหนิติเตียนกันล่ะ”
“ในปัจจุบันผู้ลี้ภัยทุกพื้นที่ก่อจลาจล โลกไม่สงบสุข หากมีจอมยุทธ์ขั้นสามบัญชา บ้านเมืองก็จะสงบสุข หากฝ่าบาทกับท่านทั้งหลายยังมีเหตุผลก็น่าจะรู้ว่าควรเลือกอย่างไร”
ขุนนางบุ๋นที่ยกย่องสวี่ชีอันพากันกล่าว ส่วนขุนนางที่ไม่พอใจเขาก็นิ่งเงียบ
สวี่ชีอันยืนมือไพล่หลังอยู่ภายในตำหนัก สายตาอันเฉียบแหลมกวาดมองท่านทั้งหลาย ขุนนางคุณูปการและเหล่าราชนิกุลพร้อมยิ้มเยาะ
“ที่ข้าฝ่าฟันอันตรายเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพื่อปกป้องประเทศต้าฟ่ง ไม่ใช่เพื่อเลี้ยงดูคนไร้ค่าเช่นพวกเจ้า หากวันนี้พวกเจ้าเห็นด้วยก็ดี ไม่เห็นด้วยก็ช่าง ข้าจะคุมที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเอง ผู้ที่ยังดื้อดึง อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ขุนนางภายในตำหนักสีหน้าบูดบึ้ง กัดฟันกรอดอย่างเงียบๆ แต่ก็จนปัญญา
ร่มเงาไม้อันลือเลื่องของมนุษย์ ชายผู้นี้เคยสังหารกั๋วกง ปลงพระชนม์จักรพรรดิ หากคลุ้มคลั่งขึ้นมา ญาติพี่น้องก็จำไม่ได้
หวังพึ่งกฎเกณฑ์ของวงราชการและกฎหมายของต้าฟ่งควบคุมเขาก็เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ
หากคนผู้นี้คุมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทั้งวงราชการจะอยู่ในความดูแลของเขา…เมื่อคิดเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยในตำหนักต่างก็มีความคิดที่จะลาออกจากราชการ
วงราชการเช่นนี้อยู่ไปก็ไม่มีความหมาย คนที่ไม่รักษากฎเข้าควบคุมวงราชการ ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวสิ้นดี
สวี่ชีอันเปลี่ยนประเด็นสนทนา
“หากท่านทั้งหลายช่วยเหลือฝ่าบาทสุดใจและทำงานเพื่อประชาชน ข้าคนนี้ย่อมไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ ในทางตรงข้าม อดีตของเฉากั๋วกงและฮู่กั๋วกงก็จะเป็นอนาคตของพวกเจ้า”
ภายในตำหนักเงียบกริบ ไม่มีผู้ใดคัดค้านหรือตอบรับ
ความเงียบก็เป็นอีกหนึ่งความเห็น
ขุนนางคุณูปการกับท่านทั้งหลายมีสีหน้าไม่เต็มใจ ทว่าอาจเป็นเพราะคำพูดสุดท้ายของสวี่ชีอันมีผลเล็กน้อย อารมณ์ของพวกเขาจึงยังคงที่อยู่ชั่วคราว
หนึ่งคนพิชิตขุนนางนับร้อย ต้าฟ่งในตอนนี้นอกเสียจากท่านโหราจารย์ก็มีเพียงสวี่ชีอันที่ทำได้…จักรพรรดิหย่งซิ่งเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มกริ่มอุ่นเครื่อง
“มีขุนนางสวี่บัญชาที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้าก็วางใจ จากนี้ยังต้องรบกวนขุนนางสวี่ช่วยเหลือข้าอีกมาก แยกย้ายได้”
เขาลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วพาขันทีประจำตัวออกจากตำหนักกระดิ่งทองไป
หลังสิ้นสุดการประชุม ขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหลายต่างก็เดินอยู่ในลานจัตุรัสอย่างเงียบๆ หลิวหงกับสมุหราชเลขาธิการหวางยืนมองลงมาจากบนทางเดินมังกรของตำหนักกระดิ่งทอง ขุนนางทุกคนต่างก็เดินคอตกคล้ายกับได้รับความพ่ายแพ้
สวี่ชีอันออกมาจากตำหนัก แล้วพยักหน้าให้ทั้งสอง
สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้าพร้อมเอ่ยถาม “รวบรวมปราณมังกรเป็นอย่างไรบ้าง”
สวี่ชีอันทอดถอนใจ “หนทางยังอีกยาวไกล”
สมุหราชเลขาธิการหวางเงียบไปสักพัก ก่อนจะคารวะอย่างลุ่มลึก แล้วหันตัวเดินจากไป
“ใต้เท้าหลิว ไปหาที่ดื่มสุรากันดีหรือไม่”
สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอยากถามใต้เท้าหลิวอยู่พอดี”
หลิวหงหัวเราะ ก่อนจะปฏิเสธข้อเสนอของสวี่ชีอัน
“เรื่องดื่มสุราเอาไว้ก่อน หากถูกคนกล่าวโทษ เงินเดือนสักเดือนก็คงไม่เหลือ ไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเถอะ พวกเราใช้ชาแทนสุราคุยกันดีกว่า”
……………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...