ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 599

บทที่ 599 ความลับโบราณ

“ไป๋จี เจ้าอยากเข้าไปในเจดีย์พุทธะหรือไม่”

สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อยแล้วหยุดฝีเท้าอยู่ใต้ซุ้มประตูที่เชิงเขา เขาผูกเชือกของแม่ม้าน้อยเอาไว้กับเสา จากนั้นก็เอ่ยถามความเห็นของจิ้งจอกขาว

“ไม่ไป! ท่านแม่บอกไว้แล้วว่าครั้งนี้ข้าออกมาฝึกประสบการณ์ ต้องเพิ่มพูนความรู้ให้มาก” จิ้งจอกขาวน้อยพูดอย่างหนักแน่นจริงจังด้วยน้ำเสียงอันไร้เดียงสา

ฉับพลันนั้น ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน

ถ้าเอามันไปอยู่กับเสี่ยวโต้วติง ไม่รู้ว่าจะออกมาเปรี้ยงปร้างขนาดไหน

มันคงถูกตีจนอย่างน่าสงสารกระมัง…สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจ

“แม่ของเจ้าสวยหรือไม่”

สวี่ชีอันประคองพระมเหสีลงมาจากม้า

“สวยแทบตายเลยล่ะ” ไป๋จีร้องตะโกนบอกเสียงนุ่มนิ่ม

สวี่ชีอันสังเกตเห็นมู่หนานจือชำเลืองมองเขาอย่างเย็นชา

เจ้าก็มิใช่ว่าอารมณ์ความรู้สึกว่างเปล่าไปเลยสักหน่อย…มุมปากของเขากระตุกยิ้ม

สองคนและจิ้งจอกหนึ่งตัวทิ้งแม่ม้าน้อยไว้ที่เชิงเขาแล้วเดินขึ้นบันไดไป ภูเขาชิงหยุนเขียวขจีไปด้วยพืชพรรณ แม้แต่ในฤดูหนาวที่หนาวเย็นเช่นนี้ก็ยังมองเห็นเป็นสีเขียวขจีผืนใหญ่

สวี่ชีอันเห็นนางชมดูทิวทัศน์ระหว่างทางอย่างเพลิดเพลินก็เอ่ยขึ้นว่า

“ต้นไม้ใบหญ้าของที่นี่จะได้รับการหล่อเลี้ยงจากปราณหลักอันไพศาลตลอดปี จึงแตกต่างจากพืชพรรณข้างนอกและเกิดการกลายพันธุ์ขึ้น แม้แต่ในฤดูหนาว…”

มู่หนานจือเอ่ยขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าได้ขอให้เจ้าอธิบายหรือ”

…เกือบลืม เจ้าเป็นเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดนี่นา! สวี่ชีอันหุบปากทันที

ดูจากฐานะของมู่หนานจือแล้ว เกรงว่ามองแค่แวบเดียวก็คงรู้เรื่องดี

ตัวตนเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดนี้ สวี่ชีอันไม่เคยเอ่ยถึงเลยและแสร้งทำเป็นว่าตนไม่รู้

มู่หนานจือก็ทำเป็นว่าเขาไม่รู้

ทั้งคู่เกิดความรู้ใจกันอย่างสูงยิ่ง ราวกับคู่สามีภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปีแล้ว และเคยผ่านชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความก็สามารถเข้าใจกันและกันได้ง่ายๆ

ไม่นานนัก พวกเขาก็ขึ้นบันไดภูเขามาถึงสำนักศึกษา สวี่ชีอันเข้าไปคารวะปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านก่อน ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ในนามของตัวเขา

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามให้การรับรองสวี่ชีอันในศาลาที่เงียบสงบและงดงาม

“หนิงเยี่ยน มิได้เจอกันมานาน สบายดีหรือไม่”

อาจารย์ที่ปรึกษาของสวี่ซินเหนียน ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มแล้วหันกายไปมองมู่หนานจือ “ท่านนี้คือ…”

“นี่คือภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของข้าเอง” สวี่ชีอันเอ่ยแนะนำไปเช่นนี้

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่านเผยสีหน้าแปลกพิกลออกมา แม้แต่มู่หนานจือก็หันมามองจ้องสวี่ชีอันด้วยสีหน้าตกตะลึง

มู่หนานจือรีบประนมมือแล้วเอ่ยค้านอย่างรวดเร็ว

“อาตมาคือนักบวชผู้ละทิ้งทางโลก ขอประสกสวี่ได้โปรดอย่าเอ่ยวาจาซี้ซั้วแล้วทำลายชื่อเสียงของอาตมา”

จิ้งจอกขาวน้อยที่หมอบอยู่บนโต๊ะชาเงยหน้ามามองนางแล้วเอ่ย

“หืม ผู้ละทิ้งทางโลกจะเอาชื่อเสียงมาจากที่ใดกัน เจ้าควรจะพูดว่า ‘โปรดอย่าทำลายการบำเพ็ญเพียรของอาตมา’ สิ”

มู่หนานจือพลิกผันทันใด เริ่มพาลโกรธจากการเสียหน้าขึ้นมาแล้ว

“เจ้ารู้ดีนักนะ”

“ข้าจัดเวทีให้เจ้าแสดงสักสามวันสามคืนดีหรือไม่”

ไป๋จียังเยาว์วัย ยังอยู่ในสถานะน้ำครึ่งถังแต่กลับทำเป็นรู้ดี อยากรู้อยากเห็นอยากแสดงภูมิเป็นพิเศษ ทำให้มู่หนานจือเสียหน้าไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แม้ว่าตัวมันจะไม่ได้เจตนาก็ตาม

เมื่อเห็นชายทั้งสี่จ้องมาที่ตน มู่หนานจือก็รู้สึกขายหน้า จึงผุดลึกขึ้นแล้วเดินหนีไป

“รอข้าด้วย…”

เจ้าจิ้งจอกขาวน้อยรีบร้อนลงจากโต๊ะแล้วส่ายหางฟูฟ่องราวกับลูกแมวที่ถูกเจ้าของทิ้ง จากนั้นก็รีบวิ่งตามไป

สวี่ชีอันมองส่งหนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอก จากนั้นก็ส่ายหน้าถอนหายใจ

“ภรรยาคนนี้ของข้าเคยแต่งงานแล้ว นางอารมณ์ร้าย อายุอานามพอๆ กับอาสะใภ้ของข้าเลย…เฮ้อ อาจารย์ทั้งหลายโปรดอภัยด้วย”

‘เคยแต่งงานแล้ว?!’

‘ทั้งอายุก็ยังเป็นแม่ของเขาได้ด้วย?!’

ในแววตาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมองมาที่นี่ราวกับแฝงอะไรบางอย่าง

“ที่มาเยี่ยมเยียนพวกท่านครั้งนี้ก็เพราะอยากจะขอบันทึกเวท ‘ลั่นประกาศิต’ สักสองสามแผ่นขอรับ”

สวี่ชีอันลูบมือ รู้สึกละอายในความหน้าด้านหน้าทนของตัวเอง

สาเหตุที่ต้องการบันทึกเวทจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่าน แต่ไม่ได้ไปหาจ้าวโส่วก็เพราะการสะท้อนกลับของ ‘วิชาลั่นประกาศิต’ ในขั้นสี่นั้น เขาสามารถรับได้

แต่เจ้าสำนักจ้าวโส่วเป็นขั้นสองสูงสุด ขาดแค่ก้าวเดียวก็จะอยู่ในขั้น ‘ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่’ ที่แท้จริงแล้ว วิชาเวทในระดับขั้นเช่นนี้ เมื่อถูกสะท้อนกลับมา สวี่ชีอันมิอาจรับไหวได้

“วิชาเวท!”

“เช่นนั้นเองหรือ!”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ๆ!”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามเผยรอยยิ้มเป็นมิตรแจ่มใสออกมา จากนั้นก็ถูมือแล้วเอ่ยว่า

“ช่วงนี้หนิงเยี่ยนมีความคิดใหม่อันใดบ้างหรือไม่”

“ไม่มี!” สวี่ชีอันส่ายหน้าด้วยความเสียดาย จากนั้นจึงคิดอยากจะเอ่ยอธิบายสักสองสามประโยค

แต่ไม่คิดเลยว่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามกลับเก็บรอยยิ้มอันเป็นมิตรและเผยสีหน้า ‘ทุกคนล้วนมาพบกันโดยบังเอิญ’ แล้วเอ่ยว่า

“วิชาของลัทธิขงจื๊อไม่เผยแพร่ให้คนภายนอก ฆ้องเงินสวี่โปรดกลับไปเถิด อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย”

กะ กลายเป็นฆ้องเงินสวี่แล้วหรือ? จะสัตย์ซื่อเกินไปแล้ว พวกเจ้าก็แค่อยากจะหลอกเอาบทกลอนของข้าไปใช้เท่านั้น…สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะไม่มีสิทธิ์ไปว่าผู้อื่น

เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ย “จู่ๆ ความคิดก็พรั่งพรูเสียแล้วสิ”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จดจ้องมาด้วยสายตาสว่างไสว พวกเขานั่งตัวตรงและทำท่าทางจริงจังตั้งใจฟัง

สวี่ชีอันค่อยๆ เอ่ยพูด

“วันนี้ที่ประตูปีก่อน ดอกท้อบนดวงหน้าแดงก่ำ”

‘กลอนเจ็ด’…ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามตั้งใจฟังยิ่ง ในใจผุดคำนี้ขึ้นมา

กลอนสองวรรคนี้ขับเน้นให้เห็นถึงความทรงจำอันน่าประทับใจ ให้ประจักษ์ชัดถึง ‘วันนี้’ ใบหน้าและดอกท้อที่อยู่ในวรรคที่สองทำให้ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามรู้ว่า เขากำลังจะเขียนกลอนเกี่ยวกับความรัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง