ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 600

บทที่ 600 ข้าอยู่ตรงนี้ตลอด

เจ้าไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ หรือ?!

สวี่ชีอันอยากจะคว้าคอเสื้อของจ้าวโส่วแล้วตะโกนถามประโยคนี้เสียงดังๆ

ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว สวี่ชีอันรู้ว่าปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ผนึกเทพเจ้ากู่และเทพอูเอาไว้ แต่เรื่องการผนึกพระพุทธเจ้า เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครเคยพูดถึงเรื่องนี้เสียด้วย

แม้ว่าตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งมากพอแล้ว ทั้งยังได้รู้จักกับผู้บำเพ็ญตนระดับสูงมากมาย แม้แต่ผู้นำเต๋าลั่วอวี้เหิงก็เคยบำเพ็ญคู่กับเขามาแล้ว

แต่ก่อนที่จะถึงวันนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครเปิดเผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักครั้ง

บางที อาจจะไม่ใช่ว่าไม่มีใครเปิดเผยเรื่องนี้กับข้า แต่เป็นเพราะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยต่างหาก ความคิดในหัวของสวี่ชีอันสว่างวาบขึ้น

ตอนนี้ผู้ที่รู้ความลับนี้นั้น นอกจากสำนักพุทธแล้ว เกรงว่าคงจะมีแต่จ้าวโส่ว ผู้เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิขงจื๊อท่านนี้…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับระดับขั้น แต่เป็นเพราะจ้าวโส่วนั้นสืบทอดลัทธิขงจื๊อ เขาก็ย่อมต้องสืบทอดความลับที่ถูกกาลเวลากลบเอาไว้เหล่านั้นด้วย…สวี่ชีอันเริ่มครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจในเรื่องที่แต่ก่อนตนไม่เข้าใจขึ้นมาแล้ว

จากข้อมูลที่ไป๋จีอธิบายเกี่ยวกับองค์หญิงของอาณาจักรหมื่นปีศาจ เมื่อห้าร้อยปีก่อน อาณาจักรหมื่นปีศาจได้ช่วยเหลืออู่จงชิงบัลลังก์ พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งก็ได้สิ้นชีพด้วยน้ำมือของท่านโหราจารย์รุ่นแรก คราวนั้นข้ากลับไม่สงสัยว่าเหตุใดพระพุทธเจ้าไม่ลงมือหยุดยั้ง

ยอดฝีมือขั้นหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอิทธิพลใดล้วนแต่มีค่าอย่างยิ่ง ถึงขั้นเป็นการดำรงอยู่ระดับลูกพี่ แม้ว่าสำนักพุทธจะมียอดฝีมือมากมาย แต่ก็ทนต่อการสูญเสียเช่นนี้ไม่ไหว

อีกอย่าง เมื่อสามร้อยปีก่อน ต้าฟ่งทรยศไร้สัจจะ ลัทธิขงจื๊อได้ทำลายสำนักพุทธ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ออกโรงเช่นกัน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้เขาก็ถูกผนึกเอาไว้ตั้งนานแล้ว

สวี่ชีอันครุ่นคิดอะไรมากมายภายในชั่วขณะสั้นๆ จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “ปีนั้นลัทธิขงจื๊อทำลายสำนักพุทธก็เพราะเหตุผลเช่นนี้หรือ”

ถ้าหากปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกพระพุทธเจ้า เช่นนั้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพุทธและลัทธิขงจื๊อ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเป็นแบบไหน

“เจ้าจะคิดเช่นนั้นก็ได้” จ้าวโส่วดื่มชาที่มีรสขมฝาดเล็กน้อย

“ไม่ถูกสิ!” จู่ๆ สวี่ชีอันก็คิดอะไรได้ เขาส่ายหน้าติดๆ กัน

“ถ้าหากพระพุทธเจ้าถูกผนึกไปแล้ว เช่นนั้นการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีเมื่อห้าร้อยปีก่อนคืออะไร ข้าได้ยินว่าเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางผู้นั้น เพียงแค่ครึ่งก้าวก็จะกลายเป็นเทพยุทธ์แล้ว พลังต่อสู้มหาศาลนัก แม้แต่พระโพธิสัตว์ก็มิใช่คู่ต่อสู้ สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็ออกโรงเองแล้วกำจัดนางทิ้ง แต่ถ้าหากพระพุทธเจ้าถูกผนึกไปแล้ว เช่นนั้นใครเป็นผู้สังหารเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจแล้วทำลายล้างอาณาจักรหมื่นปีศาจกันล่ะ”

จ้าวโส่วส่ายหน้าเบาๆ

“รายละเอียดนั้น ข้ามิรู้ เรื่องนี้น่าจะเป็นความลับสุดยอดของสำนักพุทธ”

สวี่ชีอันผิดหวังอย่างหาใดเปรียบในทันใด เขาเงียบไปนานก็เอ่ยหยั่งเชิง

“ข้าออกท่องยุทธภพในครั้งนี้ ได้ไปเยือนที่เหลยโจวและเกิดความขัดแย้งมากมายกับสำนักพุทธ จึงพบเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแค่การสืบเสาะอย่างยิ่ง วัดซานฮัวของเหลยโจวมีของวิเศษชิ้นหนึ่งชื่อว่าเจดีย์พุทธะ เจ้าของของมันคือพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ พระโพธิสัตว์ท่านนี้หายตัวไปเมื่อสามร้อยกว่าปีแล้ว เจ้าสำนักคิดว่า เรื่องนี้มีนอกในหรือไม่”

พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้หายตัวไปสามร้อยกว่าปี พระโพธิสัตว์หลิวหลีของสำนักพุทธออกไปตามหาหลายครั้งแต่ก็ไร้ผล

เรื่องนี้มีจุดที่น่าสนใจหลายอย่าง

พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ไปไหน? เพราะอะไรที่ทำให้เขาไม่กลับไปอรัญตาอีก? หรือว่าเขาถูกจำกัดขอบเขตจึงไม่อาจกลับไปยังสำนักพุทธและไม่มีทางถูกหาตัวพบ

เช่นนั้นเป็นตัวตนแบบใดกันที่สามารถกักขังพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งไว้ได้

จ้าวโส่วครุ่นคิด จากนั้นน้ำเสียงก็เข้มงวดยิ่งขึ้น “หนิงเยี่ยน ข้าคือปัญญาชนผู้หนึ่ง”

“อะไร?” สวี่ชีอันไม่เข้าใจ

“ข้าดูดวงไม่เป็น”

“…”

สวี่ชีอันเลิกสนใจหัวข้อนี้ทันที เขาเปลี่ยนไปถามอีกเรื่อง “ปรมาจารย์เต๋าก็ถูกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกไว้ด้วยหรือไม่”

จ้าวโส่วส่ายหน้า “ปรมาจารย์เต๋าคือผู้ที่ลึกลับที่สุดในบรรดายอดฝีมือเหนือระดับขั้น เขาสำเร็จมรรคาเต๋าในยุคโบราณ และในยุคที่ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ยังมิถือกำเนิด ปรมาจารย์เต๋าก็ได้หายตัวไปแล้ว”

เมื่อเป็นเช่นนี้ การหายตัวไปของปรมาจารย์เต๋าก็เป็นความลับอีกอย่างหนึ่ง เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างลึกลับขององค์เทพแห่งนิกายสวรรค์อย่างแน่นอน…สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยวิเคราะห์

“เป็นเพราะแตกดับแล้วหรือไม่”

“ความเป็นไปได้นี้มิอาจตัดออก” จ้าวโส่วเอ่ยด้วยท่าทางราวกับกำลังอภิปรายทางวิชาการ

“สิ่งที่รู้ในตอนนี้ นอกจากลัทธิขงจื๊อของข้าแล้ว อายุขัยของยอดฝีมือเหนือระดับขั้นนั้นแทบจะไร้ที่สิ้นสุด ไม่อาจดับสูญตามธรรมชาติได้ แต่ปรมาจารย์เต๋าหายตัวไปหลายพันปีแล้ว ทั้งยังไม่มีร่องรอยเกี่ยวกับเขาเลย เคยมีบรรพชนผู้หนึ่งวิเคราะห์ไว้ว่า ในปีนั้นปรมาจารย์เต๋าพบเจอกับเคราะห์ร้ายที่มิอาจผ่านไปได้ และเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาจึงถูกบีบให้สลายปราณเป็นไตรวิสุทธิเทพ”

สวี่ชีอันออกความเห็นของตนบ้าง “การคาดเดานี้มีความสมเหตุสมผลอยู่พอสมควร หนึ่งปราณกลายเป็นไตรวิสุทธิเทพ มีเพียงร่างแปลงเท่านั้นที่จะอยู่รอดและไม่ถูกทำลาย อ๋องสยบแดนเหนือก็คือตัวอย่าง”

จ้าวโส่วเอ่ยเสียงขรึม “แต่สุดท้ายเขาก็ยากจะหลีกหนีเคราะห์ร้ายได้ ร่างแปลงของนิกายสวรรค์หายตัวไปอย่างแปลกประหลาด ร่างแปลงของนิกายปฐพีประสบเหตุแห่งกรรมสะท้อนกลับ ร่างแปลงของนิกายมนุษย์มีไฟแห่งกรรมพัวพันกาย สุดท้ายก็เผชิญเคราะห์ตายทั้งสิ้น”

“นี่เป็นการคาดเดาจากบรรพบุรุษคนใดกัน”

สวี่ชีอันตกตะลึง ผลข้างเคียงของลัทธิเต๋าสามนิกายก็นับว่าเป็นความลับระดับสูงของสายการฝึกตนทีเดียว

ไฟแห่งกรรมของนิกายมนุษย์เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว

แต่ผลข้างเคียงจากการถูกเหตุแห่งกรรมสะท้อนกลับของนิกายปฐพีนั้น แม้แต่เว่ยเยวียนในตอนนั้นก็ยังไม่รู้ ต่อมานักพรตเต๋าจื่อเหลียนตายด้วยคมหอกของหยางเยี่ยน เว่ยเยวียนจึงเริ่มคิดวิเคราะห์ได้ว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีนั้นมีปัญหาแล้ว

ยิ่งตนเองที่เป็นบุตรรักได้แฝงตัวไปสืบดู จึงรู้ว่าผู้นำเต๋านิกายปฐพีถูกเหตุแห่งกรรมสะท้อนกลับและตกสู่ทางมาร

แต่เรื่องที่องค์เทพแห่งนิกายสวรรค์หายตัวไปอย่างผิดปกตินั้น เป็นเรื่องลับยิ่งกว่าภัยแฝงของนิกายปฐพีเสียอีก

จ้าวโส่วหัวเราะ “บรรพบุรุษผู้นี้มีสมญานามเต๋าว่าจินเหลียน”

“…”

สวี่ชีอันมุมปากกระตุก ไม่ใช่ สมญานามเต๋าของเขาก็คือแมวส้ม

เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยถามคำถามสุดท้าย “สาเหตุที่ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผนึกผู้อยู่เหนือระดับหลายคนนั้น คืออะไร”

เกี่ยวกับคำถามนี้ จ้าวโส่วไม่ได้ตอบ ทั้งยังไม่ได้ปฏิเสธในทันทีด้วย เขานิ่งเงียบไปเนิ่นนานจึงเอ่ยอย่างจนใจ

“ถ้าจะให้พูด ในจดหมายลาที่เว่ยเยวียนทิ้งไว้ให้เจ้าก็ได้บอกเรื่องนี้หมดแล้ว มิใช่ว่าพวกข้ากำลังเล่นตุกติกอะไร แต่เป็นเพราะถ้าหากเอ่ยออกไปก็จะส่งผลต่อแผนการของใครบางคนและจะถูกขัดขวางไว้ในทันที”

คำพูดนี้เท่ากับว่าได้เปิดเผยหมดแล้ว

ท่านโหราจารย์!

ท่านโหราจารย์ก็มีแผนการที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่ด้วยหรือ?

สีหน้าของสวี่ชีอันเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย เขาคิดมาตลอดว่าแผนการใหญ่ที่สุดของท่านโหราจารย์ก็คือการต่อกรกับสวี่ผิงเฟิงและช่วยเหลือต้าฟ่ง

ตอนนี้พอคิดดูแล้ว เรื่องที่เจ้าเฒ่าเหรียญเงินปากผีนั่นคิดคำนวณล้วนเกี่ยวข้องกับผู้อยู่เหนือระดับด้วย

ก็จริง เทพอูและพระพุทธเจ้าล้วนต้องการรุกรานภาคกลาง และท่านโหราจารย์กับโชคชะตาแคว้นต้าฟ่งก็เกี่ยวพันด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือ ผู้อยู่เหนือระดับคือศัตรูของท่านโหราจารย์…สวี่ชีอันคิดเชื่อมโยงตรรกะเหตุผลได้แล้วก็เข้าใจคำพูดของจ้าวโส่ว

“เอาล่ะ ข้าไม่มีอะไรจะตอบเจ้าแล้ว”

จ้าวโส่วจบบทสนทนาในครั้งนี้แล้วถอนหายใจออกมาก่อนบีบนวดหว่างคิ้วแล้วเอ่ย “เจ้าสามคนข้างนอกนั่นตีกันไปไม่น้อยแล้ว”

เขาโบกมือแล้วปลดเขตแดนที่ครอบคลุมอยู่รอบนอกของเรือนออกไป

ครู่ต่อมา สวี่ชีอันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปรปรวนที่กำลังพลุ่งพล่านและรุนแรงด้านนอก และรู้สึกเพียงแค่ว่าปราณหลักอันไพศาลทั่วทั้งภูเขาชิงหยุนกำลังเดือดพล่านราวกับคลื่นยักษ์

“ไป!”

จ้าวโส่วโบกมือจนเกิดม้วนแสงสีใสขึ้นแล้วพาสวี่ชีอันจากไป

ภาพตรงหน้าเปล่งประกายวาบ ทั้งคู่มาถึงยังยอดเขาและมองไปยังท้องฟ้า เห็นเพียงแต่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่าน คนหนึ่งถือพู่กัน คนหนึ่งถือตำรา และอีกคนถือที่ทับกระดาษ

สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือดเสมือนไฟโหม

จางเซิ่นที่ถือตำราอยู่เอ่ยเสียงต่ำ

“พันทหารหมื่นม้าศึก จงเข้าสู่โลกา!”

ตำราทหารในมือระเบิดแสงพร่างพราวออกมา กลางอากาศมีเงาเลือนรางมารวมกัน พวกเขาบ้างก็ขี่ม้าถือดาบ บ้างก็สวมชุดเกราะถือหอก บางคือถือปืนใหญ่หน้าไม้

นี่มันวิชาอะไรกัน สวี่ชีอันตกตะลึง

“เวทที่จางจิ่นเหยียนใช้วิชาลั่นประกาศิตนั้นสามารถเรียกกองทัพออกมาจากตำราได้ ดูแล้วคล้ายอยู่ในหมวดหมู่เสริมกำลังแบบเดียวกับ ‘ถอยร้อยลี้’ แต่มีความประณีตละเอียดมากกว่า” จ้าวโส่วอธิบาย

“ทำไมตอนที่ข้าใช้วิชาเวทถึงทำไม่ได้แบบนี้ล่ะ?” สวี่ชีอันอิจฉาตาร้อนนัก

“ของเจ้าน่ะเป็นการใช้งานแบบพื้นฐานที่สุด เมื่อมิใช่คนของลัทธิขงจื๊อ ก็มิอาจใช้วิชาเวทที่ประณีตสุดยอดเช่นนี้ได้หรอก” จ้าวโส่วกล่าว

ภายใต้การควบคุมของจางเซิ่น ทหารม้าและทหารราบของกองทัพมายาก็ได้เปิดฉากสังหารไปยังหลี่มู่ไป๋ ส่วนทางทหารปืนใหญ่ก็เปิดฉากยิงใส่เฉินไท่

อีกด้านหนึ่ง เฉินไท่ถือพู่กันตวัดเขียนอย่างแข็งขันกลางความว่างเปล่า ทว่าสิ่งที่ออกมานั้นไม่ใช่ตัวอักษร แต่เป็นเงาร่างทหารม้ามายาสวมชุดเกราะและถือดาบ

เขาลอกเลียนมาจากวิชาของจางเซิ่น

นี่คือความสามารถของระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหก สามารถบันทึกวิชาเวทและทักษะของคนอื่นมาใช้เองได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง