ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 612

บทที่ 612 สมรภูมิตัดสินศึกสุดท้าย

ภายในโรงเตี๊ยม เหมียวโหย่วฟางถอนหายใจด้วยความพอใจและเจ็บปวด

ตั้งแต่ติดตามสวี่ชีอันมา เจ้าของที่ดินในนาม อาจารย์ในความเป็นจริงผู้นี้ ก็ช่วยเขารวบรวมสมุนไพรที่หล่อหลอมกายเนื้อของเขา

และสอนวิธีการดวงชะตาพิเศษจำเพาะเพื่อช่วยเลื่อนขั้นให้กับเขา

ทุกครั้งที่แช่สมุนไพรต้องทนต่อความเจ็บปวดราวกับถูกไฟเผาไหม้และกรดกัดกร่อน เขาโคจรลมปราณอย่างเงียบๆ ในที่สุดก็ก้าวผ่านมาได้ และเลื่อนขั้นเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหก

เขาลุกขึ้นจากถังไม้ มองดูรอบๆ ตัว ผิวหนังสีน้ำตาลแก่เปล่งประกายแสงแห่งเทพจางๆ

พลังและสัมผัสทั้งห้าก้าวหน้าไม่น้อย พลังปราณก็ฮึกเหิมขึ้นมามาก แต่สิ่งที่ทำให้จอมยุทธ์ประหลาดใจที่สุดก็คือร่างและวิญญาณนี้ดาบหอกแทงไม่เข้า

ในยุทธภพมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ‘นายอำเภอขั้นหก ข้าหลวงขั้นห้า โหรขั้นสี่’

ใช้ตำแหน่งข้าราชการมาอุปมาระดับขั้นของทหาร ขั้นหกสามารถเรียกได้ว่าเป็นเจ้าผู้ครองดินแดนในอำเภอหนึ่งๆ โดยที่ทางการไม่กล้ายั่วยุ

ขึ้นห้าสามารถโอ้อวดแสนยานุภาพในพื้นที่ระดับจังหวัดได้

ขั้นสี่ก็เหมือนกับเจ้าผู้ครองนครรัฐ ประกาศตัวเป็นใหญ่ในเขตภูมิภาค

แน่นอนว่าวิธีการพูดนี้จำกัดแค่ในส่วนของยุทธภพเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก

เหมียวโหย่วฟางก้มหน้ามองสุดยอดหอกแห่งยุคเล่มหนึ่ง

เขากล่าวด้วยความประหลาดใจระคนดีใจ

“ยอดไปเลย เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้จริงๆ จากนี้ไปหอกยาวจะตะลุยอย่างอิสระจนบรรดาสาวๆ ต้องร้องไห้หาพ่อหาแม่กันเลยทีเดียว…เฮ้ย พี่หลี่ อิจฉาล่ะสิ ท่านจะต้องอิจฉาอย่างแน่นอน มีแค่ทหารเท่านั้นที่สามารถรับมือกับทหารได้”

หลี่หลิงซู่ปราดตามองทีหนึ่งและกล่าวเรียบๆ

“เข็มปักบุปผาจะแข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นแค่เข็มปักบุปผามิใช่หรือ อ๋อ เจ้าคิดว่าแทงคนอาจจะเจ็บนิดหน่อย”

เหมียวโหย่วฟางโมโหมาก เขายืนเท้าสะเอวกล่าว “แข่งกันไหม”

หลี่หลิงซู่นั่งไขว่ห้างและหัวเราะเยาะ “ของเล่นของข้าเอาไว้ให้สาวงามดูเท่านั้น ไม่หาประสบการณ์กับเข็มปักบุปผาทั่วไป”

ขณะนั้นเองสวี่ชีอันผลักประตูห้องเข้ามา หลังจากกวาดสายตามองดูพวกเขาทีหนึ่งแล้วก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“เก็บของสักหน่อย พวกเราจะไปจากเมืองเจียงโจว”

เจ้าตัวตลกสองคน…สวี่ชีอันซุบซิบในใจทีหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไป

อารมณ์เขาไม่ค่อยดีมากนัก คิดไม่ถึงว่าผู้ถูกปราณมังกรอาศัยในเมืองเจียงโจวที่เป็นเมืองหลักจะมีแค่เศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายเท่านั้น

อวี้โจว

เซียงโจว จิงโจว อวี้โจว ทั้งสามเมืองนี้ติดกับเหยียนกั๋ว ตามหลักของการถือเอาความสะดวกในการเอาที่ใกล้เป็นที่ตั้งแล้ว น่าหลันเทียนลู่จะค้นและรีดนาทาเร้นผู้มีปราณมังกรอาศัยในทั้งสามเมืองนี้ก่อน

การตัดสินใจของเขาถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากเสาะแสวงหาและรวบรวมมาช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขารวบรวมผู้ถูกปราณมังกรอาศัยในเมืองเซียงโจวได้แปดคน เมืองอวี้โจวรวบรวมได้สองคน

ภัตตาคารสูงสุดในเมือง ภายในใจห้องที่โอ่อ่าที่สุด

ตงฟางหว่านหรงสวมชุดเกาะอกระดับต่ำและกระโปรงยาวสีลูกท้อ เผยให้เห็นเนินอกขาวเกลี้ยงเกลา นางนั่งเอียงตัวดื่มชาอยู่บนที่นั่งนุ่มๆ

ประตูห้องเปิดออก ตงฟางหว่านชิงที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับพี่สาวแต่มีท่าทีเย็นชากว่าก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ขณะที่ยื่นรับชาที่พี่สาวยื่นให้ นางก็พูดไปด้วย

“จับสายสืบได้คนหนึ่ง พูดให้ถูกต้องก็คือเขาเป็นฝ่ายมาหาพวกเราก่อน”

ตงฟางหว่านหรงเลิกคิ้วละเอียดอ่อนขึ้นและกล่าวด้วยความประหลาดใจ

“สายสืบของราชสำนักต้าฟ่งหรือ”

ตงฟางหว่านชิงส่ายหน้า “เขาเรียกตนเองว่าคนของตำหนักความลับสวรรค์”

‘ตำหนักความลับสวรรค์…’ ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้เลย

ขณะที่ตงฟางหว่านหรงถ่ายทอดคำสั่งอาจารย์นั้น ในสมองของนางก็ถามไปด้วย

“อาจารย์ ท่านรู้จักตำหนักความลับสวรรค์หรือ”

ผ่านไปหลายอึดใจ น่าหลันเทียนลู่ถึงตอบ

“องค์กรข่าวกรองที่สร้างโดยโหรขั้นสองผู้หนึ่ง พวกเขากระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ในที่ราบกลางรวมไปถึงจิ่วโจวด้วย สงครามด่านซานไห่ในปีนั้น องค์กรนี้มีบทบาทมาก ปีนั้นเว่ยเยวียนทุกข์ทรมานมาก”

ตงฟางหว่านหรงงุนงง “โหรขั้นสองกลับเป็นปรปักษ์กับต้าฟ่ง?”

ในความรู้สึกของนาง โหรก็คือคำสรรพนามของสำนักโหราจารย์ และสำนักโหราจารย์ก็ขึ้นตรงต่อราชสำนักต้าฟ่ง

น่าหลันเทียนลู่ถอนหายใจทีหนึ่ง

“สงครามด่านซานไห่ในปีนั้น แก่นสารคือการระเบิดความขัดแย้งของกลุ่มอิทธิพลฝ่ายต่างๆ ในแผ่นดินจิ่วโจวที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน หากมิใช่ว่าในระหว่างนั้นมีคนสองคนเที่ยวตระเวนพูดเกลี้ยกล่อม และคอยผสมโรงเติมไฟ สงครามด่านซานไห่อาจจะระเบิดช้ากว่านี้สิบกว่าปี และสองคนในนั้น คนหนึ่งคือผู้เฒ่าเทียนกู่ที่เป็นผู้นำของกลุ่มเทียนกู่ อีกคนคือโหรขั้นสองผู้นี้”

‘โหรขั้นสองร่วมมือกับคนของกลุ่มเทียนกู่ผลักดันสงครามด่านซานไห่หรือ’ ตงฟางหว่านหรงได้ฟังเรื่องราวภายในของสงครามด่านซานไห่เป็นครั้งแรก นางรู้สึกทั้งประหลาดใจและงงงวย

“เหตุใดโหรระดับสองท่านนั้นถึงทำเช่นนั้น”

น่าหลันเทียนลู่ตอบช้าๆ “แน่นอนว่าเป็นเพราะต้องการเข้าแทนที่โหราจารย์ เลื่อนขั้นหนึ่งขั้น”

‘แทนที่โหราจารย์…’ ตงฟางหว่านหรงกล่าวในฉับพลัน

“มิน่าล่ะท่านถึงต้องการพบสายสืบ โหรขั้นสองผู้นั้นคือพันธมิตรที่สามารถดึงมาเป็นพวกได้”

น่าหลันเทียนลู่ทำเสียงแค่นจมูกก่อนกล่าว

“พันธมิตรชั่วคราวก็เท่านั้น เขาเป็นตัวแสดงที่น่ากลัวอย่างถึงขีดสุด ข้าถูกขังอยู่ในเจดีย์พุทธะมายี่สิบปี พอออกมาโลกภายนอกอีกครั้ง เขาก็ทำให้บรรยากาศของต้าฟ่งอึมครึมไปด้วยพิษร้ายแล้ว ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากสุดในสงครามด่านซานไห่ นอกจากสำนักพุทธแล้ว ก็เป็นเขากับผู้เฒ่าเทียนกู่ แม้ว่าต้าฟ่งจะชนะแต่ถูกขโมยดวงชะตาบ้านเมืองไปครึ่งหนึ่ง หากเป็นเพียงเช่นนี้ คงไม่ถึงกับตกอยู่ในสถานการณ์ขั้นนี้ แต่คนผู้นั้นวางแผนยี่สิบปี กำจัดอ๋องสยบแดนเหนือกับเว่ยเยวียนก่อน อ๋องสยบแดนเหนือก็ช่างเถอะ พอเว่ยเยวียนตายคนทั้งหมดล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก”

น่าหลันเทียนลู่พลันนิ่งเงียบ ตงฟางหว่านหรงมองตามไปที่ประตูห้อง

‘แอ๊ด’ ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ตงฟางหว่านชิงพาคนลึกลับที่คลุมชุดคลุมไม่มีแขนและสวมหมวกคลุมเข้ามาด้านใน

“คารวะเจ้าตำหนักทั้งสองท่าน ข้าน้อยสายสืบ ‘วายุ’ รับผิดชอบพื้นที่ในเขตอวี้โจว”

น้ำเสียงแหบแห้งของผู้ชายดังมาจากหมวกคลุม “ขออนุญาตให้ข้าแนะนำเล็กน้อย ตำหนักความลับสวรรค์คือ…”

ตงฟางหว่านหรงพูดขัดอย่างไม่ใส่ใจ “ว่ามาตามตรง”

สายสืบ ‘วายุ’ เงียบไปสองอึดใจและยิ้มกล่าว “ดูท่าเจ้าตำหนักจะรู้ภูมิหลังของพวกเราแล้ว”

เขายื่นมือล้วงเข้าไปในอกหยิบจดหมายออกมาฉบับหนึ่งแล้วประคองยื่นให้ด้วยสองมือ

ตงฟางหว่านหรงกวักมือสองสามที จดหมายก็ตกลงบนมือเอง จากนั้นก็เปิดอ่าน

ชั่วเวลาผ่านไปสิบอึดใจ นางวางจดหมายไว้บนโต๊ะและยิ้มกล่าว

“ศัตรูของศัตรูก็คือสหาย”

สายลับ ‘วายุ’ น้อมตัวประสานมือคารวะ

“เจ้าตำหนักปราดเปรื่อง นายน้อยยังบอกด้วยว่าหากเจอสวี่ชีอันหลบได้ก็ให้หลบ รอคอยจังหวะ เอ่อ ลักษณะพิเศษจำเพาะในการดึงดูดซึ่งกันและกันของปราณมังกร เมื่อพวกเรารวบรวมปราณมังกรได้มากขึ้นเรื่อยๆ ช้าเร็วอย่างไรแต่ละฝ่ายก็ต้องพบกัน พอถึงเวลาค่อยวางแผนใหญ่ด้วยกัน”

เขาหยุดชะงักหนึ่งแล้วก็กล่าวต่อ

“ต่อไปมีข่าวกรองเรื่องหนึ่งอยากจะแบ่งปันกับเจ้าตำหนักทั้งสอง ปราณมังกรที่สำคัญที่สุดเก้าสายนั้น สวี่ชีอันได้มาสามสายแล้ว อยู่ที่เหลยโจว เซียงโจวของจางโจว และจอมยุทธ์พเนจรเหมียวโหย่วฟางที่ชิงโจว ยงโจวไม่มีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่มีปราณมังกรหนึ่งในเก้าสาย ตอนนี้รู้ว่าที่อวี่โจวมีหนึ่งสาย อวิ๋นโจวไม่มี ทั้งสิบสามโจวของต้าฟ่งเหลือแค่เจียงโจว สามโจวทางตะวันออกเฉียงเหนือเซียงจิงอวี้ เจี้ยนโจว ฉู่โจว และพื้นที่เขตในเมืองหลวง ปราณมังกรที่เหลืออีกห้าสายแยกกันอยู่ในหกโจวนี้”

การแบ่งเขตการปกครองอย่างเป็นทางการของต้าฟ่ง เมืองหลวงก็เป็นหนึ่งโจว

“เซียงโจวไม่มี!”

ตงฟางหว่านหรงส่ายหน้า

สายสืบ ‘วายุ’ กล่าว “เช่นนั้นจิงโจวกับอวี้โจวจะต้องมีหนึ่งสาย แม้กระทั่งอาจมีสองสาย หากไม่ถูกซุนเสวียนจีจากสำนักโหราจารย์สกัดยึดได้ก่อนละก็”

“ข้าเข้าใจแล้ว” ตงฟางหว่านหรงกล่าว

สายสืบ ‘วายุ’ กล่าวต่อ

“รอเจ้าตำหนักทั้งสองไปทั้งสามโจวในตะวันออกเฉียงเหนือครบแล้ว ที่เหลือก็คือเจียงโจว เจี้ยนโจว และฉู่โจว พวกเราอาจเกิดการปะทะกับสวี่ชีอันภายในหนึ่งในสามโจวนี้

“ปรมาจารย์วิญญาณของสำนักพ่อมดอยู่บริเวณนี้หรือไม่”

เขาเตือนแบบอ้อมค้อม ไม่มีพลังระดับเหนือมนุษย์ ไม่อาจมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระดับนี้ได้

ตงฟางหว่านหรงกล่าวอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ไม่ต้องเป็นห่วง”

อวี่โจว

สวี่หยวนซวงกางแขนออกให้พิราบสื่อสารร่วงลงบนแขนของเขา เขาดึงแผ่นกระดาษออกจากหลอดไม้แผ่นที่มัดติดเท้าของพิราบสื่อสาร

หลังจากเปิดอ่านอย่างจริงจัง ใบหน้างดงามก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย และหมุนตัวกล่าว

“กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงจับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่อยู่ในอวี่โจวผู้นั้นได้แล้ว แม้จะบอกว่าพบกับอุปสรรคหลายครั้งจนเกือบทำให้เขาหนีไปได้หลายหน แต่ก็ไม่นับว่าเจตนา อีกทั้งยังให้สายลับตำหนักความลับสวรรค์ช่วยเหลือ ประกอบกับความแข็งแกร่งกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวง นับว่าสถานการณ์น่ากลัวแต่ไม่มีอันตรายอะไร”

ก็คือหนึ่งในปราณมังกรที่สำคัญที่สุดเก้าสาย

หลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก จีเสวียนยิ้มกล่าว “ลำดับถัดไปควรจะติดต่อเทพอารักษ์ทั้งสองแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง