บทที่ 611 แต่ละฝ่าย
จีเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า
“พวกเรารวบรวมเศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายต่อไป ส่วนผู้ถูกปราณมังกรอาศัยผู้นั้นให้กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงไปปราบให้เชื่อง เหอะๆ ตอนนี้พวกเราไม่อาจตัดสินตำแหน่งของสวี่ชีอันได้ หากเจอกับเขาที่อวี่โจวคงไม่ดีเป็นแน่แท้ เช่นเดียวกับที่เราเจอกับเขาที่ยงโจวโดยไม่คาดคิด หากเป็นกลุ่มดาวมังกรทั้งเจ็ดดวงล่ะก็ เป็นพลังต่อสู้ขั้นสามที่แท้จริง ต้องรับมือได้สบายกว่าพวกเรามาก ต่อให้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสวี่ชีอัน ก็สามารถสลัดตัวให้หลุดพ้นได้ไม่มีปัญหา”
คนทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเงียบๆ
หลิ่วหงเหมียนกับฉี่ฮวนตานเซียงถอนหายใจออกมา สีหน้าเคร่งเครียดดูผ่อนคลายลงมาก
หลังอาหารเช้า จีเสวียนและพรรคพวกกลับไปยังที่พักชั่วคราว ซึ่งเป็นเรือนร้างแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในชุมชนยากจน เรือนที่ถูกทิ้งว่างเช่นนี้ยังมีอีกมากในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
อาจเป็นเพราะเจ้าของยากจนข้นแค้นและหมุนเงินไม่คล่องจึงบากหน้าไปพึ่งญาติ
หรืออาจเสียชีวิตในขณะที่โจรบุกมาปล้นในห้อง โชคร้ายหนีไม่พ้นภัยพิบัติทั้งครอบครัว
ตลอดทางที่เดินผ่านมา จีเสวียนและพรรคพวกพบเห็นความเปล่าเปลี่ยวและยากจนจนเคยชิน คุ้นชินกับการเห็นกระดูกศพท่ามพายุหิมะ
ภายในห้องโกโรโกโส จีเสวียนนั่งจ้องกล่องในมืออยู่ตรงขอบโต๊ะอย่างใจจดใจจ่อ
พอเปิดกล่องไม้จันทน์ม่วงออก ค่ายกลที่สลักอยู่บนกล่องก็สลายไป ในนั้นเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งที่เปล่งแสงสีแดงฉาน
ขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบ
มันควบแน่นแก่นโลหิตของทหารเหนือมนุษย์ผู้หนึ่ง
จีเสวียนจ้องมองไม่กี่อึดใจ สายตาของเขาก็ดูเหม่อลอยเล็กน้อย อารมณ์ล่องลอยออกไปไกล
‘ปังๆ!’
ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เสวียนจีหดรูม่านตาลง จิตใจที่ดูเหม่อลอยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลังจากปิดกล่องเสียงดังปั๊กแล้วก็เก็บเข้าไปในอก ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เข้ามาเถอะ”
สวี่หยวนซวงผลักประตูเข้ามา นางกวาดสายตามองดูห้องโกโรโกโสและเครื่องเรือนที่แทบจะไม่มีอยู่จริงทีหนึ่ง “พี่เจ็ด”
ด้านหลังของนางตามมาด้วยฉี่ฮวนตานเซียง ไป๋หู่ หลิ่วหงเหมียน และยังมีสวี่หยวนไหวด้วย
จีเสวียนกวาดสายตามองพวกเขาทีหนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องอันใดที่อยากจะคุยกับข้าหรือ”
สวี่หยวนซวงพยักหน้า
“มีเรื่องอยากจะหารือกับพี่เจ็ดจริงๆ หลังจากศึกที่ยงโจว นักบวชเต๋าเจียวเยี่ยเสียชีวิต พวกหลิ่วหงเหมียนถูกสวี่ชีอันขู่จนเสียขวัญ แม้แต่หยวนไหวที่ไม่เลื่อมใสศรัทธาที่สุดก็ไม่มีกำลังวังชาในการทำงานแล้ว”
หลิ่วหงเหมียนอุทาน “ไอ้หยา” ทีหนึ่งก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ “ข้าก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง สวี่ชีอันผู้นั้นทั้งดุร้ายทั้งรุนแรง ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะกลัวนี่”
สวี่หยวนไหวที่หยิ่งผยองเบ้ปาก แต่กลับไม่อาจโต้แย้งคำพูดของพี่สาวได้
สำหรับพี่ใหญ่ผู้นั้นแล้ว เขานอกจากจะไม่มีความสามารถแล้วก็ยังไร้ความสามารถอยู่ดี
จีเสวียนเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าว “หลังจากนั้นล่ะ”
ไป๋หู่ที่แขนขาดทำเสียง “เฮอะ” ก่อนกล่าว
“ช่วงระหว่างเวลานี้ ข้าคิดๆ ดูแล้ว ที่จริงเรื่องการรวบรวมปราณมังกรไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น พวกเราจะได้ปราณมังกรมาหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือขัดขวางการรวบรวมปราณมังกรของสวี่ชีอัน ปราณมังกรไม่กลับสู่ตำแหน่งเดิมหนึ่งวัน ต้าฟ่งก็จะวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเมืองกับราชครูเริ่มต้นต่อสู้กันทางด้านการเมืองถึงจะสำเร็จ”
จีเสวียนพยักหน้าเบาๆ
สำหรับพวกเขาแล้ว เพียงสถานการณ์ของคู่ต่อสู้ย่ำแย่พอก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว
ปราณมังกรสามารถเพิ่มเบี้ยให้พวกเขาได้ แต่ใช่ว่าจะเป็นปราณมังกรเสมอไปเท่านั้น
สวี่หยวนซวงกล่าวต่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดพวกเราต้องต่อสู้เพียงลำพังด้วยเล่า สำนักพุทธกำลังรวบรวมปราณมังกร พระอรหันต์ตู้ฉิงถูกจับตัว แต่ยังมีเทพอารักษ์สองท่านรับผิดชอบรวบรวมปราณมังกรอยู่ที่ที่ราบกลาง พวกเขาทั้งสองต่างก็อยู่ที่ขั้นสาม คิดว่าทางด้านสำนักพ่อมดก็กำลังรวบรวมปราณมังกรอยู่เช่นกัน พวกเราทั้งสามฝ่ายร่วมมือกัน รวมแนวรบให้เป็นหนึ่ง ต่อให้สวี่ชีอันจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่อาจโจมตีพวกเราให้พ่ายแพ้พร้อมกันได้ เช่นนี้ก็สามารถหยุดช่วงวิถีรวบรวมปราณมังกรของเขา ช่วงชิงเวลาให้กับท่านพ่อและท่านน้าได้”
จีเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นวิธีการที่ดีมาก”
ฉี่ฮวนตานเซียงเอ่ยแทรกในเวลาที่เหมาะสม
“ข้าสามารถกลับไปซินเจียงตอนใต้ได้สักครา พูดเกลี้ยกล่อมให้เผ่าพันธุ์กู่ยื่นมือเข้าช่วยต่อต้านต้าฟ่งด้วยกัน พวกเราอย่าได้ดูถูกกำลังของเผ่าพันธุ์กู่ พอที่จะเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งที่มีพลังต่อสู้ระดับเหนือมนุษย์ได้หลายท่าน หากพวกเขายอมยื่นมือช่วย ต้าฟ่งต้องล่มสลายแน่นอน”
หลิ่วหงเหมียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เผ่าพันธุ์กู่มีความแค้นต่อต้าเฟิ่ง หากมาถึงช่วงต่อสู้ทางด้านการเมืองจริงๆ บางทีอาจกลายเป็นพันธมิตรได้ แต่ตอนนี้น่ะหรือ หวังว่าพวกเขาจะส่งยอดฝีมือมาจัดการสวี่ชีอัน…”
หญิงงามสวยหยาดเยิ้มทำเสียง “เฮอะ” ก่อนกล่าว “เจ้าอย่าลืมนะ วิชากู่ของเขาคือเรื่องอะไรกัน หากบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์กู่ของพวกเจ้า ข้าไม่เชื่อแน่นอน”
ฉี่ฮวนตานเซียงขมวดคิ้ว ไม่อาจโต้แย้งได้
จีเสวียนกล่าว
“เรื่องนี้น่ะได้ ส่วนเผ่าพันธุ์กู่ยังไม่ต้องติดต่อไปชั่วคราว พวกเรารู้วิธีการติดต่อเทพอารักษ์ทั้งสอง แต่สำนักพ่อมด…”
สวี่หยวนไหวกล่าว “มอบให้ตำหนักความลับสวรรค์รับผิดชอบ”
จีเสวียนพยักหน้า หลังสิ้นสุดการหารือในครั้งนี้แล้ว เขาก็ไล่ผู้คนออกไปพลางและกล่าวไปพลาง
“หยวนซวง เจ้าอยู่ก่อน”
สวี่หยวนซวงปิดประตูก่อนกลับไปนั่งข้างโต๊ะและมองเขาอย่างเงียบๆ
“เจ้ามีความเห็นอย่างไรกับสวี่ชีอันผู้นี้” จีเสวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนทำให้คนหวาดกลัว” สวี่หยวนซวงตอบตรงประเด็น
“นั่นน่ะสิ แข็งแกร่งมาก…”
จีเสวียนถอนหายใจ
“ก่อนเผชิญกับศึกยงโจว ข้ารวมถึงพี่น้องในเมืองเฉียนหลงเหล่านั้น ต่างคิดว่าที่สวี่ชีอันมีความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ได้ ล้วนอาศัยดวงชะตา บางทีนี่ก็ไม่ผิดแต่ก็ใช่ว่าจะถูกต้องทั้งหมด หลังจากศึกยงโจวข้าถึงรับรู้ถึงความน่ากลัวของเขาอย่างแท้จริง เป็นขั้นสี่เหมือนกัน แต่ ‘ปณิธาน’ ของเขาทำให้ข้ารู้สึกตัวสั่นเทา และนี่ไม่เกี่ยวข้องกับดวงชะตาเลย”
สวี่หยวนซวงอดนึกถึงภาพนอกเมืองยงโจวในวันนั้นไม่ได้ เขาใช้ดาบเดียวฟันทลายค่ายกลฉานซือ
ดาบที่องอาจและคมกริบนั้นปรากฏความบ้าคลั่งที่ยอดฝีมือเลิศล้ำอยากถอยก็ไม่สามารถถอยได้
“ข้ารู้ อาหญิงมีอิทธิพลต่อเจ้า เจ้าจึงเห็นอกเห็นใจเขา คิดว่าราชครูไร้ความเมตตาปรานี ทำลายสายเลือดเดียวกัน และหยวนไหวได้รับอิทธิพลจากราชครูมากกว่า จิตใจเขามุ่งจะอยู่เหนือกว่าสวี่ชีอันอย่างเดียว เพื่อพิสูจน์ให้ราชครูเห็นว่า เขาไม่ด้อยไปกว่าพี่ใหญ่ในเมืองหลวงผู้นั้น แต่หากจะบอกว่าหยวนไหวมีความแค้นต่อสวี่ชีอันมากขนาดไหนนั้น มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น”
สวี่หยวนซวงพูดขัดอย่างเย็นชา “ท่านอยากบอกข้าว่า อย่าได้ยั้งมือหรือ”
จีเสวียนส่ายหน้ายิ้มกล่าว “พี่เจ็ดอยากได้คำมั่นสัญญาของเจ้าหนึ่งอย่าง”
“ท่านพูดมาเถอะ”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา พอถึงเวลาข้าจะบอกเจ้าเอง” จีเสวียนยิ้มกล่าว
สวี่หยวนซวงมองเขาอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
…
เมืองหลวง ตำหนักบูชาทางตอนใต้ของเขตพระราชฐาน
ต้าฟ่งมีการบูชาปีละสองครั้ง คือบูชาฤดูใบไม้ผลิในต้นปีและบูชาบรรพบุรุษในท้ายปี
บูชาบรรพบุรุษจัดขึ้นที่ทะเลสาบซังผอซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานป้ายบรรพบุรุษ บูชาฟ้าจัดขึ้นที่ตำหนักบูชาทางตอนใต้ของเขตพระราชฐาน
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์พิเศษก็จะมีการบูชาครั้งที่สอง ครั้งที่สาม แม้กระทั่งอาจมากกว่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นตอนที่จักรพรรดิหย่งซิ่งขึ้นครองราชย์ มีการบูชาบรรพบุรุษและฟ้าพร้อมกัน ตอนที่เปิดศึกบ้านเมืองนั้น จักรพรรดิต้องนำขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายบูชาฟ้าและบรรพบุรุษ
หลังเข้าสู่ฤดูหนาว ภัยหนาวม้วนตัวเข้าสู่ต้าฟ่ง จักรพรรดิหย่งซิ่งมีความคิดบูชาขอพรฟ้ามาโดยตลอด ประจวบเหมาะกับการเรียกรับบริจาคในวันนี้จึงถือโอกาสจัดมหาพิธีบูชาฟ้า
หลังพิธีบูชาฟ้าสิ้นสุดลง ราชสำนักจัดสรรเงินบรรเทาภัยพิบัติ สถานการณ์ของราษฎรดีขึ้น ไม่เท่ากับว่าคำอธิษฐานของจักรพรรดิองค์นี้บรรลุผลอย่างโดดเด่นแล้วหรือ
ตอนเที่ยงตรง สวี่เอ้อร์หลางขี่ม้ามาถึงนอกตำหนักบูชาทางตอนใต้ของเขตพระราชฐาน
ขณะนี้ยังอยู่ห่างจากพิธีบูชาฟ้าอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง บรรดาขุนนางทยอยกันมาไม่ขาดสาย
“ใต้เท้าสวี่!”
สวี่เอ้อร์หลางส่งม้าให้กับเจ้าหน้าที่ เขามองเห็นขุนนางบุ๋นกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
เดิมทีพวกเขาควรจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่สวี่เอ้อร์หลาง วันนี้กลับดูอบอุ่นใจเป็นพิเศษ
สวี่ซินเหนียนน้อมตัวประสานมือคารวะโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ใต้เท้าสวี่ ข้ามีสหายท่านหนึ่ง ช่วงนี้วางแผนจะรับศิษย์มาสั่งสอน ได้ยินว่าน้องสาวคนเล็กของใต้เท้าสวี่สติปัญญาเฉียบแหลม เกิดความคิดอยากรับเป็นศิษย์ จึงวานข้ามาสอบถามใต้เท้าสวี่ว่า เห็นแก่หน้าข้าจะ…”
“ใต้เท้าสวี่!” ขุนนางบุ๋นอีกท่านพูดขัดจังหวะ
“ข้าชอบเป็นอาจารย์ อยากรับศิษย์เช่นกัน น้องสาวท่านเป็นเมล็ดพันธุ์ปัญญาชนที่พบเจอได้ยากในรอบร้อยปี ข้ายินดีให้ความสว่างด้านความรู้แก่นาง”
“ใต้เท้าสวี่…”
“ใต้เท้าสวี่…”
คนที่เข้ามาตีสนิทด้วยล้วนเป็นขุนนางตำแหน่งปานกลาง เจ้าพ่อใหญ่ที่แท้จริงย่อมสำรวมตัวเป็นธรรมดา แต่ดูเหมือนแต่ละคนจะค่อนข้างให้ความสนใจมาก ล้วนคอยมองมาทางนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง