ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 610

บทที่ 610 เข็มแทงไม่เข้า

ณ ห้องทรงพระอักษร จักรพรรดิหย่งซิ่งมองสมุดพับที่สำนักราชเลขาธิการถวายให้ ด้านหน้าเขียนเรื่องการบริจาครายการต่างๆ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงวิธีส่งเสริมการบริจาค การกำหนดมาตรฐาน การชำระบัญชีทรัพย์สินของขุนนางที่อ้างตนว่าสองแขนเสื้อโปร่งใสสะอาดและรายการอื่นๆ

เขียนไว้ยาวพันกว่าตัวอักษร

การอ่านสมุดพับไม่ได้ง่ายกว่าการอ่านหนังสือ เนื่องจากภายในสมุดพับที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนส่งมอบให้ซ่อน ‘กับดัก’ ไว้

หากไม่อยากโดนขุนนางบุ๋นเล่นเป็นลิง จักรพรรดิก็จะต้องสังเกตกับดักในสมุดอย่างเฉียบคม

ไม่มีใครสามารถช่วยในด้านนี้ได้ เพราะเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งราชสำนักล้วนเป็นศัตรูหลังจากนั่งตำแหน่งจักรพรรดิ

จักรพรรดิหย่งซิ่งส่งเสริมการบริจาคเพื่อสงเคราะห์เพื่อประสบภัย จะเกิดช่องโหว่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงอ่านอย่างจริงจังเป็นพิเศษ

“ฝ่าบาท”

ขณะนี้เอง ขันทีกุมตราลัญจกรจ้าวเสวียนเจิ้นเข้าห้องทรงพระอักษรมาอย่างรีบร้อน เขาเอ่ยเบาๆ ว่า

“มหาราชครูล้มป่วย”

จักรพรรดิหย่งซิ่งละสายตาจากสมุดพับแล้วนวดหว่างคิ้ว ก่อนเอ่ยต่อว่า

“ป่วย โธ่ มหาราชครูอายุมากแล้ว ไม่ควรเหนื่อยกับสิ่งใดแล้ว ไปเอายาบำรุงปราณกระตุ้นเลือดลมที่ห้องโอสถหลวงให้มหาราชครู”

จ้าวเสวียนเจิ้นรับปาก แต่ไม่ได้ออกไป เขาเอ่ยว่า

“มหาราชครูบอกว่าต้องการลาออกจากตำแหน่งข้าราชการ จะไม่สอนพวกนายน้อยแล้ว จึงขอฝ่าบาทลาออกไปทำงานอื่น

“เขาต้องการไปเป็นอาจารย์ที่สกุลสวี่ เพื่อสอนน้องคนเล็กของสวี่ซินเหนียนซู่จี๋ซื่อประจำสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน”

หา จักรพรรดิหย่งซิ่งตกละลึง จับต้นชนปลายไม่ถูก

ขันทีกุมตราลัญจกรจ้าวเสวียนเจิ้นเอ่ยว่า

“มหาราชครูหมายความว่า เขาจำเป็นต้องสอนเด็กคนนั้นอย่างสุดจิตสุดใจ ไม่อาจเบนความสนใจให้สิ่งใด หวังว่าฝ่าบาทจะเข้าใจ”

จักรพรรดิหย่งซิ่งเผยสีหน้าเข้มขรึม เอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วไต่ถามด้วยความประหลาดใจว่า

“เด็กคนนั้นมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา สติปัญญาโดดเด่น จึงทำให้มหาราชครูชื่นชอบในความสามารถหรือ

“น่าสนใจ ต่อให้เป็นฮว๋ายชิ่งในปีนั้น มหาราชครูก็ไม่เคยปฏิบัติด้วยเช่นนี้ จุ๊ๆ เจ้าว่าสกุลสวี่เต็มไปด้วยอัจฉริยะทั้งตระกูลเสียจริงๆ เลยไหม แต่ก่อนมีสวี่ชีอัน ต่อมามีสวี่ฉือจิ้ว ไม่คิดว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ จะไม่ได้เป็นเพียงสิ่งของในบ่อเสียอย่างนั้น”

พอกล่าวจบ เขาเพบว่าจ้าวเสวียนเจิ้นมีสีหน้าแข็งทื่อ ทำท่าทางไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร

“หืม” จักรพรรดิหย่งซิ่งแสดงความสงสัยด้วยเสียงขึ้นจมูก

“มีเรื่องที่ฝ่าบาทไม่รู้ มหาราชครูถูกทำให้ท้อแท้จน…”

จ้าวเสวียนเจิ้นเล่าเรื่องที่ห้องศึกษาให้จักรพรรดิหย่งซิ่งฟัง

…จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่ได้พูดอะไรเป็นเวลานาน และตกอยู่ในสภาวะตำหนิตัวเองอย่างลึกซึ้ง

สักพัก เขาจึงเอ่ยว่า “ส่งเด็กสาวคนนั้นกลับจวนสวี่ ข้าจะเขียนหนังสือปลอบขวัญมหาราชครู ในช่วงนี้ห้ามให้มหาราชครูออกจากวัง ดูแลเขาให้ดี”

จ้าวเสวียนเจิ้นขานรับ แล้วเอ่ยอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า

“หยุดได้เพียงช่วงหนึ่ง หาใช่ตลอดไป”

จักรพรรดิหย่งซิ่งเงียบไปนานมาก ก่อนเอ่ยช้าๆ ว่า

“ข้าจะออกพระราชโองการให้สกุลสวี่ ห้ามพวกเขาไม่ให้ราชครูไปเยี่ยมจวน”

หลังให้จ้าวเสวียนเจิ้นออกไป จักรพรรดิหย่งซิ่งพลางดื่มชาโสม พลางนึกถึงเรื่องที่ขันทีกุมตราลัญจกรกล่าวเมื่อครู่ เขาเอ่ยติดต่อกันอย่างเรื่อยเปื่อยว่า

“เหลือจะเชื่อๆ ”

“ข้าไม่เชื่อว่าในโลกจะมีคนทึ่มเช่นนี้ หากว่างจะลองทดสอบด้วยตนเอง”

ล้อรถหมุนตึกๆ แล้วหยุดลงที่จวนสวี่ เสี่ยวโต้วติงกระโดดลงจากรถม้าขณะแบกกระเป๋าผ้าใบเล็กไว้

กระเป๋าผ้าใบเล็กบวมเป่ง เหมือนข้างในจะใส่ของไว้เต็ม

นี่เป็นขนมอบที่นางขอจากฮว๋ายชิ่ง

สวี่ซินเหนียนกระโดดลงจากรถม้าตามหลังมา แล้วเดินเข้าไปในจวนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

เสี่ยวโต้วติงก้มศีรษะพุ่งเข้าจวนไปโดยเหน็บมือทั้งสองไว้ตรงหลังเอวทั้งสองข้าง ครั้นแล้วก็สะดุดล้มลงบนพื้นดังปั้งตรงหน้าประตู

“พี่ใหญ่ ข้าหกล้ม”

นางแหงนหน้ามองสวี่ซินเหนียน

ใบหน้าอันหล่อเหลาของสวี่เอ้อร์หลางกระตุกเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “แล้วไง”

นางลุกขึ้นสะบัดบั้นท้าย แล้วป้องกันขนมแป้งอบในกระเป๋าผ้าใบเล็กเอาไว้ ก่อนมองสวี่เอ้อร์หลางด้วยความระมัดระวัง

‘เอ๋’ สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วมองนางด้วยความสงสัย

เสี่ยวโต้วติงมองพี่รองด้วยความระแวดระวังครู่หนึ่ง ก่อนหนีไปด้วยความกลัวในฉับพลัน

สวี่เอ้อร์หลางงงอยู่ครึ่งวันกว่าจะตอบโต้ ตลอดทางมานี้เขาไม่ได้มองหลิงอินด้วยสีหน้าที่ดีนัก น้องสาวผู้โง่เขลาจึงคิดว่าเขากำลังอยากได้ขนมอบ

หลักฐานก็คือ ตนไม่ได้ไปพยุงหลังนางหกล้ม

ตลอดทางจนถึงลานด้านใน เขาเห็นสองแม่ลูกจ้องมองซึ่งกันและกัน

อาสะใภ้เอ่ยด้วยความโกรธว่า “ทำไมนางกลับมา ถูกไล่ออกจากพระราชวังอีกแล้วหรือ”

สวี่เอ้อร์หลางพยักศีรษะ

“เจ้า…”

อาสะใภ้โกรธจนอกสั่นอย่างรุนแรง นางกัดฟันเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้น”

สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยด้วยความจนปัญญาว่า

“หลิงอินทำมหาราชครูท้อแท้จนล้มป่วย เฮ้อ พอถึงพรุ่งนี้ ชื่อเสียงของนางก็จะแพร่ไปทั้งวงการขุนนางและวงการบัณฑิต

“ปัญญาชนทั้งหมดจะรู้ว่า มหาราชครูผู้ร่ำเรียนมาสูง ความรู้กว้างขวางและมีชื่อเสียงกับบารมีในวงการบัณฑิตเป็นที่หนึ่ง กลับโดนเด็กวัยเยาว์ทำให้ท้อจนล้มหมอนนอนเสื่อ”

อาสะใภ้สั่นไปทั้งตัว คิดไปต่างๆ นานา ในชั่วพริบตา ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าซีดขาวว่า

“ในอนาคตหลิงอินจะแต่งงานได้อย่างไรล่ะ”

สวี่เอ้อร์หลางยิ้มขณะโกรธ เขาเอ่ยตำหนิว่า

“ยังไม่โทษนางอีก หลิงอินไม่ใช่เนื้อผ้าสำหรับเรียนหนังสือ แต่ท่านกลับไม่ยอมรับ จะให้นางเล่าเรียนเขียนอ่านเป็นสตรีผู้เปี่ยมความรู้ลูกเดียว”

ความรู้สึกโศกเศร้าพรั่งพรูออกมาจากหัวใจของอาสะใภ้ นางเอ่ยโยนความผิดใส่อารองว่า

“เจ้าเห็นนางเขลาเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะนางตามรอยพ่อเจ้า หากนางตามรอยข้า คงแตกฉานศิลปะทั้งสี่แขนงตั้งแต่อายุยังน้อยไปแล้ว”

“หนูตั้งใจเรียนมากนะ”

หลิงอินพลางทานขนมแป้งอบแสนอร่อยในวัง พลางเอ่ยด้วยความน้อยใจ

สวี่เอ้อร์หลางนวดหว่างคิ้ว สิ่งที่เขากังวลคืออีกเรื่องหนึ่ง หลังจากเรื่องนี้แพร่งพรายไป หลิงอินอาจกลายเป็นที่โปรดปรานในสายตาของคนที่อยากสร้างชื่อเสียงบางคน

มหาราชครูเพาะบ่มจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ในฐานะของนักวิชาการแห่งราชวิทยาลัย มีตำแหน่งเปรียบเสมือนผู้นำในวงการวรรณคดี

กระทั่งราชครูยังสอนเด็กไม่ได้ หากผู้ใดสอนสำเร็จ จะไม่เลื่องลือเป็นที่รู้จักทั่วใต้หล้าหรือ

ก่อนที่ยังไม่ได้เจอหลิงอินจริงๆ คงไม่มีใครรู้สึกว่าตนเองจะจัดการเด็กเยาว์วัยคนเดียวได้ ถึงตอนนั้นจะต้องกรูกันมา ผู้มาเยี่ยมบ้านคงนับไม่ถ้วน

“ทึ่มก็ทึ่มจนเลื่องลือทั่วเมืองหลวง นี่มันเรื่องอะไรกัน…”

สวี่เอ้อร์หลางนวดหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

หลี่หลิงซู่มาเคาะประตู ประตูห้องเปิดออกท่ามกลางเสียงสลักไม้ที่คลายออก เขามองไปข้างใน เห็นสวี่ชีอันยืนดื่มชาอยู่ริมหน้าต่าง มู่หนานจือนั่งคุมจิ้งจอกขาวน้อยที่อยู่ริมโต๊ะ นางกำลังถือแปรงขนคอหมูแปรงฟันให้มันอยู่

“ฮือๆๆ …”

จิ้งจอกขาวน้อยส่งเสียงด้วยความเจ็บปวด ขาทั้งสี่ถีบดิ้นเล็กน้อยอยู่บ่อยๆ

“อย่าขยับ ต้องแปรงให้สะอาด มิเช่นนั้นปากจะเหม็น”

มู่หนานจือกล่าว

“ข้าไม่เหม็น…ฮือๆ …”

จิ้งจอกขาวน้อยร้องขัดขืนด้วยความคุ้นเคยประหนึ่งคุ้นชิ้นเรื่องเช่นนี้แล้ว จึงไม่ค่อยขัดขืนมากนัก

‘นี่มันเลี้ยงเหมือนลูกสาวเลย’…หลี่หลิงซู่เอ่ยทอดถอนใจในความคิด ก่อนเอ่ยปากว่า

“ผู้อาวุโสสวี เสี่ยวเอ้อรเตรียมอาหารเช้าไวเรียบร้อยแล้วที่ชั้นล่าง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง