บทที่ 609 มหาราชครูผู้เสียศักดิ์ศรียามชรา (2)
ฮว๋ายชิ่งมองขันทีครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยว่า
“ฝ่าบาทอนุญาตให้คุณหนูสกุลสวี่เข้าเรียนในวังเป็นกรณีพิเศษ”
ฮว๋ายชิ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าจะพานางไปห้องศึกษาเอง”
ขันทีไม่กล้าปฏิเสธ จึงโค้งตัวแล้วถอยออกไป
“ไปกันเถอะ” ฮว๋ายชิ่งมองเสี่ยวโต้วติงด้วยหน้าตาที่อ่อนโยน
นางกับคุณหนูสกุลสวี่คลุกคลีกันไม่มากนัก เคยเจอหน้ากันที่พิธีศพของสวี่ชีอันเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันเท่าไร
อย่างไรเสียไม่ว่าความสัมพันธ์กับสวี่ชีอันจะดีเพียงใด จะชื่นชมสวี่เออร์หลางแค่ไหน ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับเด็กอ่อนเยาว์อายุหกเจ็ดขวบ
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลี่น่ารับสวี่หลิงอินเป็นศิษย์ ยิ่งกว่านั้นยังไม่รู้ความร้ายกาจของเสี่ยวโต้วติง
หมายเลขหนึ่งเย็นชามาแต่ไหนแต่ไรและไม่ค่อยเข้ากับผู้อื่น สมาชิกพรรคฟ้าดินคงไม่มีใครพูดเรื่องหยุมหยิมในชีวิตประจำวันพวกนี้กับนาง
“พี่สาว ท่านสวยจริงๆ”
เสี่ยวโต้วติงเงยหน้าเอ่ยประโยคหนึ่งขณะเดินตามฮว๋ายชิ่งข้างๆ ว่า
ฮว๋ายชิ่งยิ้ม
“พี่สาว ท่านสวยจริงๆ”
ผ่านไปสักพัก นางก็เอ่ยซ้ำประโยคเดิม
ฮว๋ายชิ่งก้มศีรษะลง นางเห็นสีหน้าเอาอกเอาใจระยิบออกมาจากดวงตากลมโตของเด็กสาว
“เจ้าอยากพูดอะไร”
ฮว๋ายชิ่งเพียงหรี่ตาก็อ่านความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของนางออกอย่างง่ายดาย
“ข้าไปทานขนมอบที่บ้านท่านได้ไหม”
เสี่ยวโต้วติงแผนแตกในท้ายที่สุด
ฮว๋ายชิ่งยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ได้สิ”
นางชอบคนฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร เด็กฉลาดก็รวมอยู่ในนั้น นอกจากนี้ เด็กคนนี้ไม่เพียงมีไหวพริบ ยังกล้าหาญมากอีกด้วย
จากนั้นไม่นาน เสี่ยวโต้วติงก็ตามฮว๋ายชิ่งมายังห้องศึกษา
ภายในห้องโถงที่กว้างขวางจัดวางโต๊ะไว้สิบสองตัว พร้อมด้วยเด็กสิบสองคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะอย่างเฉลียวฉลาด กำลังฟังการบรรยายของมหาราชครูเฒ่าหน้าห้องด้วยสายตาจดจ่อ
มหาราชครูอายุปูนจะแปดสิบ เป็นอาวุโสผู้ทรงคุณวุฒิสามราชวงศ์ และเป็นปั้งเหยี่ยนของรัชศกเจินเต๋อ เขาเคยสอนจักรพรรดิหยวนจิ่ง ฮว๋ายชิ่งและหลินอัน ขณะนี้ก็ยังต้องสอนราชวงศ์รุ่นใหม่อยู่
ในตอนแรกที่จักรพรรดิหยวนจิ่งละทิ้งการเมืองไปบำเพ็ญธรรม มหาราชครูมุ่งเข้าวังไปดุด่าจักรพรรดิผู้เอาแต่ใจด้วยความโกรธหน้าห้องทรงพระอักษร
ครั้นแล้วก็ท้อใจ จึงอยู่อย่างสันโดษในเมืองหลวง
หลังจักรพรรดิหยวนจิ่งสิ้นพระชนม์ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความลับ ดังนั้นเขาจึงคลายปมในใจและเริ่มทำงานที่รักใหม่อีกครั้งตราบเท่าที่จะทำได้ในวัยชรา
“มหาราชครู”
ฮว๋ายชิ่งพาเสี่ยวโต้วติงก้าวข้ามธรณีประตูไปทำความเคารพ
“คารวะองค์หญิงใหญ่”
มหาราชครูโค้งตัวรับคารวะ
“คารวะองค์หญิงใหญ่”
พระราชโอรส พระราชธิดา องค์หญิงและราชนิกุลสิบกว่าพระองค์ลุกขึ้นทำความเคารพ
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย แล้วมองสวี่หลิงอินพร้อมเอ่ยว่า
“ขอรบกวนเด็กคนนี้กับมหาราชครูด้วย นางเป็นน้องสาวคนเล็กของสวี่ชีอัน ท่านและคนอื่นๆ ห้ามรังแกนาง”
นางพาสวี่หลิงอินมาเพื่อเตือนชนรุ่นหลังของราชวงศ์เป็นหลัก เพื่อเลี่ยงไม่ให้เด็กไร้เดียงสาคนนี้ถูกรังแกที่นี่
แล้วบอกวีรกรรมคราวก่อนของสวี่หลิงอินไปรอบหนึ่ง
ฮว๋ายชิ่งมองเด็กสาวน่ารักตัวกลมด้วยความประหลาดใจ แล้วยิ้มเอ่ยว่า
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”
มหาราชครูเอ่ยอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า
“ฝ่าบาทเหินห่างเรื่องในวังเกินไปแล้ว”
ฮว๋ายชิ่งยิ้มบอกลาแล้วจากไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไรมาก
มหาราชครูกวักมือเรียกสวี่หลิงอินมาข้างหน้าแล้วถามว่า
“คราวที่แล้วยังไม่ทันได้สอบเจ้า เจ้าก็ออกจากวังไปเสียแล้ว ก่อนมาที่นี่เจ้าเรียนที่ใด ใครเป็นผู้สอนเจ้า”
เสี่ยวโต้วติงเอียงศีรษะคิด ก่อนตอบไปซื่อๆ ว่า
“ลืมแล้ว”
‘หา’ มหาราชครูชะงักไปครู่หนึ่ง ลืมอาจารย์ที่ให้ความรู้ไปแล้ว หรือว่า เด็กคนนี้ยังไม่เคยเรียน’
เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่องคัมภีร์สามอักษรได้ไหม”
“ได้สิๆ ”
สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างตื่นเต้น
มหาราชครูทำสีหน้าผ่อนคลาย พร้อมกับพยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ท่องให้ปู่ฟังหน่อย”
…
ฮว๋ายชิ่งไปที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินหลังออกจากวัง เพื่อนำเรื่องที่สวี่ชีอันมอบหมายไปบอกต่อสวี่เออร์หลาง
จักรพรรดิหย่งซิ่งหวาดกลัวนางและพระราชโอรสองค์ที่สี่ผู้เป็นพี่ชายร่วมบิดามารดาของนางอย่างมาก เพราะอย่างนั้นเรื่องนี้จึงต้องบอกโดยสวี่เออร์หลาง
หากปล่อยให้จักรพรรดิหย่งซิ่งรู้ว่าสวี่ชีอันมีความสัมพันธ์อันแนบชิดกับนางเป็นการส่วนตัว จะเกิดการระแวงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ขณะจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์จะเป็นช่วงที่อ่อนไหวที่สุด ฮว๋ายชิ่งจึงไม่อยากก่อปัญหา
“โธ่ ผืนน้ำแข็งสามฉื่อมิได้เกิดจากความหนาวเพียงหนึ่งวัน”
สวี่ซินเหนียนทอดถอนใจเฮือกใหญ่
“การปกครองประเทศเหมือนการต้มปลา ต้องค่อยๆ วางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่หากประเทศชาติป่วยวิกฤติเกินเยียวยา ควรจัดการเช่นไรหนอ ฝ่าบาทก็ดี สมุหราชเลขาธิการหวางก็ด้วย รวมถึงข้าราชการทั้งหลายในท้องพระโรงล้วนไม่มีประสบการณ์ในทำนองเดียวกัน”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“ใต้เท้าสวี่ ยังจำการเดิมพันที่พวกเราประเดิมกันตอนเล่นหมากรุกในวันนั้นได้หรือไม่”
สวี่ซินเหนียนเผยสีหน้าเข้มขรึม เขาลังเลใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “จำได้อยู่แล้ว”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเราตั้งตารอดูกัน”
นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเปลี่ยนเรื่องว่า “อีกสามวันจะถึงมหาพิธีบูชาสวรรค์ ฝ่าบาทจะเรียกบริจาคในตอนนั้น ใต้เท้าสวี่คิดจะบริจาคเงินเท่าไร”
สวี่ซินเหนียนรู้ว่านางกำลังเตือนสติตน จึงเอ่ยว่า
“ฝ่าบาทวางใจ เรื่องนี้ข้าหารือกับพี่ใหญ่อย่างเหมาะสมมาก่อนแล้ว”
“ข้าจะบริจาคเงินเดือนสามเดือน ส่วนพี่ใหญ่ก็จะบริจาคห้าพันสองร้อยตำลึงเงิน”
“เช่นนี้ข้าก็จะไม่ถูกฟ้องให้ออกจากตำแหน่งเพราะบริจาคเยอะ และก็จะไม่มีคนตำหนิข้าว่าส่งเสริมการบริจาค แต่ตนเองกลับตระหนี่ในทรัพย์สินเงินทอง”
ซู่จี๋ซื่อเพียงคนเดียวบริจาคห้าพันสองร้อยตำลึงเงิน เรื่องนี้จะสร้างปัญหา
แต่หากไม่บริจาค ก็จะสร้างชื่อเสียงในทางไม่ดีประดุจเผชิญมรสุมอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง