ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 609

สรุปบท บทที่ 609-2 มหาราชครูผู้เสียศักดิ์ศรียามชรา (2): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 609-2 มหาราชครูผู้เสียศักดิ์ศรียามชรา (2) – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 609-2 มหาราชครูผู้เสียศักดิ์ศรียามชรา (2) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 609 มหาราชครูผู้เสียศักดิ์ศรียามชรา (2)

ฮว๋ายชิ่งมองขันทีครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยว่า

“ฝ่าบาทอนุญาตให้คุณหนูสกุลสวี่เข้าเรียนในวังเป็นกรณีพิเศษ”

ฮว๋ายชิ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าจะพานางไปห้องศึกษาเอง”

ขันทีไม่กล้าปฏิเสธ จึงโค้งตัวแล้วถอยออกไป

“ไปกันเถอะ” ฮว๋ายชิ่งมองเสี่ยวโต้วติงด้วยหน้าตาที่อ่อนโยน

นางกับคุณหนูสกุลสวี่คลุกคลีกันไม่มากนัก เคยเจอหน้ากันที่พิธีศพของสวี่ชีอันเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันเท่าไร

อย่างไรเสียไม่ว่าความสัมพันธ์กับสวี่ชีอันจะดีเพียงใด จะชื่นชมสวี่เออร์หลางแค่ไหน ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะติดต่อกับเด็กอ่อนเยาว์อายุหกเจ็ดขวบ

นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลี่น่ารับสวี่หลิงอินเป็นศิษย์ ยิ่งกว่านั้นยังไม่รู้ความร้ายกาจของเสี่ยวโต้วติง

หมายเลขหนึ่งเย็นชามาแต่ไหนแต่ไรและไม่ค่อยเข้ากับผู้อื่น สมาชิกพรรคฟ้าดินคงไม่มีใครพูดเรื่องหยุมหยิมในชีวิตประจำวันพวกนี้กับนาง

“พี่สาว ท่านสวยจริงๆ”

เสี่ยวโต้วติงเงยหน้าเอ่ยประโยคหนึ่งขณะเดินตามฮว๋ายชิ่งข้างๆ ว่า

ฮว๋ายชิ่งยิ้ม

“พี่สาว ท่านสวยจริงๆ”

ผ่านไปสักพัก นางก็เอ่ยซ้ำประโยคเดิม

ฮว๋ายชิ่งก้มศีรษะลง นางเห็นสีหน้าเอาอกเอาใจระยิบออกมาจากดวงตากลมโตของเด็กสาว

“เจ้าอยากพูดอะไร”

ฮว๋ายชิ่งเพียงหรี่ตาก็อ่านความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของนางออกอย่างง่ายดาย

“ข้าไปทานขนมอบที่บ้านท่านได้ไหม”

เสี่ยวโต้วติงแผนแตกในท้ายที่สุด

ฮว๋ายชิ่งยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ได้สิ”

นางชอบคนฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร เด็กฉลาดก็รวมอยู่ในนั้น นอกจากนี้ เด็กคนนี้ไม่เพียงมีไหวพริบ ยังกล้าหาญมากอีกด้วย

จากนั้นไม่นาน เสี่ยวโต้วติงก็ตามฮว๋ายชิ่งมายังห้องศึกษา

ภายในห้องโถงที่กว้างขวางจัดวางโต๊ะไว้สิบสองตัว พร้อมด้วยเด็กสิบสองคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะอย่างเฉลียวฉลาด กำลังฟังการบรรยายของมหาราชครูเฒ่าหน้าห้องด้วยสายตาจดจ่อ

มหาราชครูอายุปูนจะแปดสิบ เป็นอาวุโสผู้ทรงคุณวุฒิสามราชวงศ์ และเป็นปั้งเหยี่ยนของรัชศกเจินเต๋อ เขาเคยสอนจักรพรรดิหยวนจิ่ง ฮว๋ายชิ่งและหลินอัน ขณะนี้ก็ยังต้องสอนราชวงศ์รุ่นใหม่อยู่

ในตอนแรกที่จักรพรรดิหยวนจิ่งละทิ้งการเมืองไปบำเพ็ญธรรม มหาราชครูมุ่งเข้าวังไปดุด่าจักรพรรดิผู้เอาแต่ใจด้วยความโกรธหน้าห้องทรงพระอักษร

ครั้นแล้วก็ท้อใจ จึงอยู่อย่างสันโดษในเมืองหลวง

หลังจักรพรรดิหยวนจิ่งสิ้นพระชนม์ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ความลับ ดังนั้นเขาจึงคลายปมในใจและเริ่มทำงานที่รักใหม่อีกครั้งตราบเท่าที่จะทำได้ในวัยชรา

“มหาราชครู”

ฮว๋ายชิ่งพาเสี่ยวโต้วติงก้าวข้ามธรณีประตูไปทำความเคารพ

“คารวะองค์หญิงใหญ่”

มหาราชครูโค้งตัวรับคารวะ

“คารวะองค์หญิงใหญ่”

พระราชโอรส พระราชธิดา องค์หญิงและราชนิกุลสิบกว่าพระองค์ลุกขึ้นทำความเคารพ

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย แล้วมองสวี่หลิงอินพร้อมเอ่ยว่า

“ขอรบกวนเด็กคนนี้กับมหาราชครูด้วย นางเป็นน้องสาวคนเล็กของสวี่ชีอัน ท่านและคนอื่นๆ ห้ามรังแกนาง”

นางพาสวี่หลิงอินมาเพื่อเตือนชนรุ่นหลังของราชวงศ์เป็นหลัก เพื่อเลี่ยงไม่ให้เด็กไร้เดียงสาคนนี้ถูกรังแกที่นี่

แล้วบอกวีรกรรมคราวก่อนของสวี่หลิงอินไปรอบหนึ่ง

ฮว๋ายชิ่งมองเด็กสาวน่ารักตัวกลมด้วยความประหลาดใจ แล้วยิ้มเอ่ยว่า

“ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”

มหาราชครูเอ่ยอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า

“ฝ่าบาทเหินห่างเรื่องในวังเกินไปแล้ว”

ฮว๋ายชิ่งยิ้มบอกลาแล้วจากไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไรมาก

มหาราชครูกวักมือเรียกสวี่หลิงอินมาข้างหน้าแล้วถามว่า

“คราวที่แล้วยังไม่ทันได้สอบเจ้า เจ้าก็ออกจากวังไปเสียแล้ว ก่อนมาที่นี่เจ้าเรียนที่ใด ใครเป็นผู้สอนเจ้า”

เสี่ยวโต้วติงเอียงศีรษะคิด ก่อนตอบไปซื่อๆ ว่า

“ลืมแล้ว”

‘หา’ มหาราชครูชะงักไปครู่หนึ่ง ลืมอาจารย์ที่ให้ความรู้ไปแล้ว หรือว่า เด็กคนนี้ยังไม่เคยเรียน’

เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ท่องคัมภีร์สามอักษรได้ไหม”

“ได้สิๆ ”

สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างตื่นเต้น

มหาราชครูทำสีหน้าผ่อนคลาย พร้อมกับพยักหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ท่องให้ปู่ฟังหน่อย”

ฮว๋ายชิ่งไปที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินหลังออกจากวัง เพื่อนำเรื่องที่สวี่ชีอันมอบหมายไปบอกต่อสวี่เออร์หลาง

จักรพรรดิหย่งซิ่งหวาดกลัวนางและพระราชโอรสองค์ที่สี่ผู้เป็นพี่ชายร่วมบิดามารดาของนางอย่างมาก เพราะอย่างนั้นเรื่องนี้จึงต้องบอกโดยสวี่เออร์หลาง

หากปล่อยให้จักรพรรดิหย่งซิ่งรู้ว่าสวี่ชีอันมีความสัมพันธ์อันแนบชิดกับนางเป็นการส่วนตัว จะเกิดการระแวงอย่างเลี่ยงไม่ได้

ขณะจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์จะเป็นช่วงที่อ่อนไหวที่สุด ฮว๋ายชิ่งจึงไม่อยากก่อปัญหา

“โธ่ ผืนน้ำแข็งสามฉื่อมิได้เกิดจากความหนาวเพียงหนึ่งวัน”

สวี่ซินเหนียนทอดถอนใจเฮือกใหญ่

“การปกครองประเทศเหมือนการต้มปลา ต้องค่อยๆ วางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่หากประเทศชาติป่วยวิกฤติเกินเยียวยา ควรจัดการเช่นไรหนอ ฝ่าบาทก็ดี สมุหราชเลขาธิการหวางก็ด้วย รวมถึงข้าราชการทั้งหลายในท้องพระโรงล้วนไม่มีประสบการณ์ในทำนองเดียวกัน”

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า

“ใต้เท้าสวี่ ยังจำการเดิมพันที่พวกเราประเดิมกันตอนเล่นหมากรุกในวันนั้นได้หรือไม่”

สวี่ซินเหนียนเผยสีหน้าเข้มขรึม เขาลังเลใจครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “จำได้อยู่แล้ว”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเราตั้งตารอดูกัน”

นางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเปลี่ยนเรื่องว่า “อีกสามวันจะถึงมหาพิธีบูชาสวรรค์ ฝ่าบาทจะเรียกบริจาคในตอนนั้น ใต้เท้าสวี่คิดจะบริจาคเงินเท่าไร”

สวี่ซินเหนียนรู้ว่านางกำลังเตือนสติตน จึงเอ่ยว่า

“ฝ่าบาทวางใจ เรื่องนี้ข้าหารือกับพี่ใหญ่อย่างเหมาะสมมาก่อนแล้ว”

“ข้าจะบริจาคเงินเดือนสามเดือน ส่วนพี่ใหญ่ก็จะบริจาคห้าพันสองร้อยตำลึงเงิน”

“เช่นนี้ข้าก็จะไม่ถูกฟ้องให้ออกจากตำแหน่งเพราะบริจาคเยอะ และก็จะไม่มีคนตำหนิข้าว่าส่งเสริมการบริจาค แต่ตนเองกลับตระหนี่ในทรัพย์สินเงินทอง”

ซู่จี๋ซื่อเพียงคนเดียวบริจาคห้าพันสองร้อยตำลึงเงิน เรื่องนี้จะสร้างปัญหา

แต่หากไม่บริจาค ก็จะสร้างชื่อเสียงในทางไม่ดีประดุจเผชิญมรสุมอีก

ขณะนี้เอง มหาราชครูหนังตากลอกและสลบไป

ณ เซียงโจว

ตงฟางหว่านหรงนั่งรถลากกลับบ้าน พร้อมด้วยสาวกตำหนักมังกรตงไห่หลายสิบคนเดินติดตามไปเป็นขบวนอย่างโอ้อวดและดึงดูดความสนใจ

ตงฟางหว่านชิงผู้มีหน้าตาเหมือนกันแต่นิสัยเยือกเย็นนั่งอยู่ข้างกายนาง

“ท่านอาจารย์ พวกข้ารวบรวมผู้ถูกปราณมังกรอาศัยได้แปดคนแล้ว ควรส่งพวกเขากลับเมืองจิ้งซานหรือไม่”

ตงฟางหว่านหรงเอ่ยถาม

“ไม่ต้อง”

เสียงของน่าหลันเทียนลู่ก้องขึ้นในหัวของนาง และเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า

“ปราณมังกรมีคุณสมบัติพิเศษที่ดึงดูดซึ่งกันและกัน ยิ่งพวกเรารวบรวมปราณมังกรที่กระจัดกระจายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดึงดูดผู้ถูกปราณมังกรอาศัยมากขึ้นเท่านั้น

“หากส่งพวกเขากลับเมืองจิ้งซาน พวกเราก็จะขาดหินแม่เหล็กที่ใช้งมเข็มในมหาสมุทร”

ตงฟางหว่านหรงพยักหน้า แล้วเอ่ยถามว่า

“ท่านยึดครองกายหยาบของผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเสียเลยเถิด พวกเขาล้วนเป็นผู้โชคดี มีบุญวาสนามาก”

“พวกเขานับว่ามีบุญวาสนามากอะไรกัน ในสายตาของผู้แข็งแกร่งระดับบรรลุธรรม พวกเขาเพียงโชคดีได้รับผลประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้นเอง หากต้องการคนที่จะให้อาจารย์ยึดร่าง อย่างไรเสียก็ต้องเป็นระดับบรรลุธรรม

“หากไม่ได้จริงๆ ขั้นสี่ระดับสูงสุดก็ได้ อย่างเช่นเจ้า”

ตงฟางหว่านหรงเอ่ยยิ้มเยาะว่า “ศิษย์ยินดีเสียสละให้ท่านอาจารย์”

น่าหลันเทียนลู่ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ช่างพูดช่างจา”

แม้ขั้นสี่ระดับสูงสุดจะพบได้น้อย แต่ก็หาไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องยึดร่างลูกศิษย์

กล่าวอีกก็คือ ลูกศิษย์คนนี้เป็นเด็กผู้หญิง น่าหลันเทียนลู่คงไม่อยากคืนชีพด้วยร่างสตรี

ตงฟางหว่านหรงครุ่นคิด ก่อนเอ่ยอย่างใคร่รู้ว่า “หากสามารถครองร่างสวี่ชีอันได้ล่ะ นั่นสิจึงนับว่ามีบุญวาสนามาก”

น่าหลันเทียนลู่ส่ายศีรษะแล้วยิ้ม เอ่ยว่า

“เด็กคนนี้เต็มไปด้วยเหตุต้นผลกรรมทั่วร่าง อาจารย์ยอมอยู่ในสภาวะวิญญาณเร่ร่อนดีกว่ายึดร่างเขา”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อว่า

“สิ่งที่อาจารย์รู้ในจิ่วโจวคือ มีเพียงจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจที่สามารถสร้างกายหยาบที่สมบูรณ์แบบได้ด้วยพลังวิญญาณของตนเอง

“หากติดต่อนางได้ อาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องยึดร่างแล้ว”

ผลสืบเนื่องจากการยึดร่างรุนแรงมาก กายหยาบและจิตเดิมจะขับไล่กัน หลายร้อยปีก็ไม่อาจเข้ากันได้

และก็หมายความว่า ตบะของเขายากจะก้าวหน้าแม้เพียงเล็กน้อยเป็นหลายร้อยปี

ตงฟางหว่านหรงเอ่ยด้วยความไตร่ตรองว่า

“พวกเรากำลังรวบรวมผู้ถูกปราณมังกรอาศัย สำนักพุทธเองก็กำลังรวบรวมผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเช่นกัน แล้วก็ยังมีสวี่ชีอันนั่น

“ท่านอาจารย์ ท่านว่าพวกเราต่างฝ่ายจะมีโอกาสได้พบกัน ณ ที่ใดที่หนึ่งในช่วงใดช่วงหนึ่งหรือไม่”

น่าหลันเทียนลู่ให้คำตอบด้วยความมั่นใจว่า

“ได้สิ นั่นจะต้องยอดมากแน่ๆ

“ถึงตอนนั้น อาจารย์จะช่วยเจ้าอีกแรง

“เว่ยเยวียนยึดเมืองจิ้งซาน ฆ่าบุตรชายของข้า ข้าก็จะฆ่าชนรุ่นหลังที่เขาพึ่งพาและไว้วางใจเพื่อจบสิ้นเหตุต้นผลกรรมนี้”

………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง