ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 614

บทที่ 614 บุตรในเงามืด

หวางโหยวเขียนข้อมูลที่สืบมาลงในจดหมายลับ และในส่วนสุดท้ายเขาก็เขียนสรุปของตัวเองเพิ่ม

“ลูกๆ ของเฉาชิงหยางยังเด็ก พวกเขาถูกเลี้ยงดูในคฤหาสน์ลึก ไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนภายนอก และดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป เด็กๆ เพิ่งอยู่ระดับก่อปัญญา สติปัญญายังไม่เจริญเต็มที่ แม้ว่าจะมีปราณมังกรสถิตร่าง เกรงว่าก็ยังไม่อาจแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ ข้าไม่สามารถสืบเรื่องปราณมังกรได้ หวังว่าใต้เท้าจะหาวิธียืนยันได้แต่เนิ่นๆ บรรพชนแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ยังคงเร้นกายอยู่ ด้านหลังภูเขาเป็นเขตหวงห้าม นอกจากเฉาชิงหยางแล้ว ผู้ใดที่บุกรุกเข้าไปจะถูกสัตว์ร้ายแห่งภูเขาเฉวี่ยนหรงสังหาร แต่หลังจากไปสืบมา ข้าก็พบว่าบริเวณรอบๆ ด้านหลังภูเขามีกองกำลังลับกลุ่มหนึ่งเฝ้ายามอยู่ ข้าจึงคิดว่าสภาพของบรรพชนแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อาจจะแย่ลงเรื่อยๆ”

เมื่อเขียนเสร็จ เขาก็เป่าหมึกให้แห้งและผิวปาก

ครู่หนึ่ง นกป่าสีดำตัวหนึ่งก็บินมาจากป่าในลานหลังบ้าน และร่อนลงมาเกาะหน้าต่างที่เปิดอยู่ ดวงตาสีดำจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ

หวางโหยวหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาผูกไว้ที่ขาของนกป่าแล้วลูบหัวมัน

นกป่ากระพือปีกบินออกไป

หวางโหยวมองส่งนกป่าจนลับตาไปแล้วถอนหายใจ

นกชนิดนี้เป็นนกป่าธรรมดา มันไม่เด่นสะดุดตาเท่านกพิราบส่งสาร การใช้นกพิราบส่งสารในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั้นถือเป็นการดูถูกไอคิวของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และไม่รับผิดชอบชีวิตตัวเอง

การใช้นกป่าที่พบเห็นได้ทั่วไปจึงสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงส่วนใหญ่ได้ดีกว่า

ภูเขาเฉวี่ยนหรงทอดยาวนับร้อยลี้ ป่าดงดิบก็กว้างใหญ่ และสิ่งที่ไม่ได้ขาดแคลนเลยก็คือนกป่า

แน่นอนว่ายังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกคนยิงตกโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นหากไม่ใช่ข้อมูลสำคัญก็จะไม่ใช้นกพิราบส่งสาร

ประเด็นสำคัญคือ นกชนิดนี้ได้รับการฝึกฝนโดยปรมาจารย์ซินกู่แห่งเผ่าพันธุ์กู่ ดังนั้นจึงสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารได้

หวางโหยวปิดหน้าต่าง เติมถ่านไฟหนึ่งกำมือในเตา คลุมร่างด้วยหนังแกะหนาและนอนลงบนเตียง ก่อนจะหลับไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ใบหูของเขาที่กำลังหลับใหลก็ขยับ เขาตื่นขึ้นในทันทีแล้วเอื้อมมือไปแตะมีดสั้นที่อยู่ใต้หมอน

‘ตุบ!’

ขณะเดียวกับที่เขาจับมีดสั้น ศีรษะของเขาก็ถูกอาวุธที่ไม่มีคมฟาดเข้าอย่างแรง ความคิดทั้งหมดพลันหายไป

ขณะที่สะลึมสะลือ และไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ความหนาวเย็นที่เสียดแทงเข้ากระดูกก็รดบนใบหน้า หวางโหยวตื่นขึ้นพร้อมกับคร่ำครวญ

แววตาของเขาเปลี่ยนจากว่างเปล่าเป็นเฉียบคมในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที เขาระงับความตื่นตระหนกในใจแล้วมองไปรอบๆ อย่างใจเย็น

ในเวลาเดียวกันเขาก็รับรู้ถึงสภาพร่างกายของเขา เขาถูกมัดไพล่หลังไว้ ร่างทั้งร่างอ่อนปวกเปียก ดูเหมือนจะถูกวางยาสลบ

นี่เป็นห้องที่ปิดสนิท บนกำแพงหินมีเครื่องทรมานแขวนอยู่ เช่น โซ่ตรวน กระบองหนามและกุญแจมือ

ตรงมุมห้องก็มีเครื่องทรมานขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ เช่น ตั่งเสือนั่ง มีดสับเท้า และโต๊ะถลกหนัง

นอกจากนี้ หวางโหยวยังเห็นเครื่องมือทรมานที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อจัดการกับนักโทษหญิงด้วย เช่น ลาไม้ คนขี่นับพันและอื่นๆ

ภายในห้องลับกระถางถ่านกำลังลุกไหม้ บนเก้าอี้ทางซ้ายของกระถางถ่านมีชายชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่

บนแก้มซ้ายของเขามีแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัว หน้ายาวเหมือนม้า ดวงตาเท่าเมล็ดถั่วเขียว หน้าตาน่าเกลียดพอๆ กับรอยแผลเป็น

หวางโหยวรู้จักเขา เขาคือหัวหน้าผู้คุมเรือนจำของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่รับผิดชอบการลงโทษ

“ชื่อจริงของเจ้าชื่ออะไร”

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยิ้มตาหยี

หวางโหยวแสดงสีหน้าตื่นตระหนกและสับสนออกมา ก่อนจะตอบอย่างเกรงกลัว

“ผู้น้อยชื่อหวางโหยว เป็นพลธนูผู้เฝ้ายอดเขาทิศใต้ ไม่ทราบว่ากระทำผิดอันใด ขอหัวหน้าผู้คุมเรือนจำชี้แจงด้วย”

“ไม่ไม่ไม่!” หัวหน้าผู้คุมเรือนจำโบกมือไปมาและอธิบายอย่างจริงใจ

“อย่าดูถูกตัวเองจนเกินไป เจ้าไม่ได้แค่ทำผิด แต่เจ้าก่ออาชญากรรมร้ายแรง”

หวางโหยวหน้าถอดสีและตะโกนเสียงดัง “ผู้น้อยจงรักภักดีและรับใช้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาหลายปี จะก่ออาชญากรรมร้ายแรงได้อย่างไร หัวหน้าผู้คุมเรือนจำอย่าปรักปรำผู้น้อย”

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยิ้ม

“เจ้าคิดว่า นายน้อยกับคุณหนูยังเด็ก แต่คงไม่ตายด้วยฝ่ามือของศัตรู เรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ คิดว่าเฉาเหมิงจู่จะไม่สนใจหรือ จะไม่ตรวจสอบหรือ เจ้าลองคิดดูสิ วันนั้นมีองครักษ์เป็นจำนวนมาก คนอื่นๆ ล้วนปิดปากเงียบ แล้วเหตุใดผู้เฒ่าโจวจึงไม่ได้รับคำสั่งให้ปิดปาก”

“ข้าเอาฟันปลอมซี่นั้นของเจ้าออกให้แล้ว ข้างในมียาพิษอยู่ ข้าทดสอบกับสุนัขดูแล้วมันก็ตายในทันที จุ๊ๆ พิษนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะกลั่นได้”

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยังคงยิ้มตาหยี “ชื่อจริงของเจ้าชื่ออะไร”

หวางโหยวก้มศีรษะลงและแก้ตัว “ผู้น้อยเพียงแค่อยากรู้อยากเห็นจึงถามผู้เฒ่าโจว หัวหน้าผู้คุมเรือนจำเข้าใจผิดแล้ว”

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยิ้ม

“ข้าไม่เคยถามรอบที่สาม แม้ว่าข้าจะไม่ชอบทรมานใคร แต่ก็ไม่เคยคัดค้านการใช้วิธีโหดร้ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อืม เทียบกับการลงโทษทั่วไปแล้ว ข้าชอบใช้วิธีอื่นมากกว่า เปลี่ยนเป็นวิธีใหม่ๆ แบบนี้สิถึงจะน่าสนใจพอ ตัวอย่างเช่น เครื่องทรมานคนขี่นับพันก็สามารถใช้จัดการกับผู้ชายได้เหมือนกัน ถอดกางเกงเขาออก”

ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนก้าวไปข้างหน้า ยกหวางโหยวที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกขึ้นและจับเขานอนบนเครื่องทรมาน ก่อนใช้เชือกมัดเขาไว้แน่น

ประเด็นสำคัญคือ รูปลักษณ์ของ ‘คนขี่นับพัน’ นั้นคล้ายกับลำกล้องปืนใหญ่

หวางโหยวกัดฟัน ไม่พูดไม่จา เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญกับความอัปยศอดสูแบบไหน

แต่แล้วการกระทำของหัวหน้าผู้คุมเรือนจำก็ทำให้ทั้งสามคนซึ่งรวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนด้วยหน้าเปลี่ยนสี

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำหยิบคีมเหล็กที่อังอยู่ในกระถางถ่านขึ้นมาแล้วเป่าเบาๆ เหล็กสีแดงก่ำสะท้อนใบหน้าของเขา รอยยิ้มมุมปากลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ

หวางโหยวหน้าซีดเผือดทันที

ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองเกร็งกล้ามเนื้อส่วนบั้นท้าย

ยามค่ำคืนมืดมิด ลมหนาวพัดเย็นยะเยือก

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำสวมชุดคลุมสีดำและเดินนำผู้ติดตามสองคนเข้าไปในคฤหาสน์ผู้นำพันธมิตรท่ามกลางความมืดมิด

ภายในห้องโถง เฉาชิงหยางที่ได้รับแจ้งข่าวรออยู่ก่อนแล้ว เขาสวมเพียงชุดคลุมสีน้ำเงินตัวบาง ร่างกายกำยำหนาราวกับภูเขา สงบนิ่งและเก็บตัว

ใบหน้าไร้อารมณ์ทรงสี่เหลี่ยมแบบตัวอักษรจีนแฝงความจริงจังไว้

“ท่านผู้นำ!”

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำประสานมือคำนับ

เฉาชิงหยางยกมือขึ้นเพื่อเชิญให้เขานั่งและสั่งให้คนรับใช้ยกน้ำชาร้อนๆ เข้ามา

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำดื่มชาร้อนอึกหนึ่งและเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ข้าตรวจสอบจนแน่ชัดแล้ว หวางโหยวเป็นสายลับของตำหนักความลับสวรรค์ ลอบแทรกซึมเข้ามาในกลุ่มพันธมิตรเมื่อเจ็ดปีก่อน จากคำสารภาพของเขา เขาถูกส่งมาเพราะสายลับคนก่อนเสียชีวิตในอุบัติเหตุ แต่เขาไม่รู้ว่าสายลับคนก่อนเป็นใคร เสียชีวิตเมื่อไหร่”

เฉาชิงหยางขมวดคิ้วหนา กึ่งครุ่นคิดกึ่งไตร่ตรอง

“ตำหนักความลับสวรรค์หรือ ชื่อนี้ฟังดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์”

ในฐานะหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจว เขารู้ว่าโหรระดับสามคือปรมาจารย์ความลับสวรรค์

“ตำหนักความลับสวรรค์ไม่น่าจะเล่นงานข้า พวกเจ้าจับผิดคนหรือเปล่า”

เฉาชิงหยางขมวดคิ้ว

เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ภรรยาเขาถูกซุ่มโจมตีตอนกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ เห็นได้ชัดว่าในกลุ่มพันธมิตรมีสายลับคอยแพร่งพรายข้อมูล

เฉาชิงหยางแอบสืบสวนมาโดยตลอด เพื่อควานหาสายลับ

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำมีสีหน้าประหลาดใจ

“ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจพบเรื่องอื่นด้วย…”

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำคิดคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง

“จากคำสารภาพของหวางโหยว เขากำลังมองหาสิ่งที่เรียกว่าปราณมังกร สิ่งนี้จะสถิตบนร่างของมนุษย์ เมื่อได้รับมันจะกลายเป็นคนโชคดีอย่างมากและแสดงความผิดปกติบางอย่างออกมา ตัวอย่างเช่น คนที่มีคุณสมบัติปานกลางจะเปิดปัญญาและกลายเป็นคนที่มีคุณสมบัติปราดเปรื่องในทันที ทหารระดับต่ำจู่ๆ ก็ตบะเพิ่มขึ้นสูงและบังเอิญเจอแต่ความโชคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

พูดถึงตรงนี้ หัวหน้าผู้คุมเรือนจำก็เหลือบมองสีหน้าของเฉาชิงหยาง เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงกล่าวต่อ

“เขาคิดว่า นายน้อยกับคุณหนูที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาอาจเป็นเพราะปราณมังกร แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ วันนี้นกป่านำสารไปส่งให้ผู้บังคับบัญชาแล้ว และหวังว่าเขาจะหาวิธียืนยันได้ ระดับของหวางโหยวค่อนข้างต่ำ ส่วนเรื่องภายในและภูมิหลังของตำหนักความลับสวรรค์ เขาไม่รู้มากนัก”

เฉาชิงหยางเงียบอยู่นาน ราวกับกำลังซึมซับข้อมูล ครู่หนึ่ง เขาก็ถามว่า

“ปราณมังกรหรือ”

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำเอ่ยขึ้น “ผู้ใต้บังคับบัญชาก็สงสัยเช่นกัน แต่หวางโหยวเองก็ไม่รู้ว่าปราณมังกรคืออะไรกันแน่ ตำหนักความลับสวรรค์น่าจะใช้วิธีหว่านแหเพื่อค้นหาปราณมังกร เขาเพียงแค่เปิดเผยปรากฏการณ์ที่ปราณมังกรอาจทำให้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้อธิบายลักษณะของมัน”

เฉาชิงหยางเคาะนิ้วกับโต๊ะและพูดช้าๆ

“จากที่กล่าวมา ตำหนักความลับสวรรค์นั่นมีวิธีสังเกตปราณมังกร แต่ข้ายังไม่พบว่าบนร่างของฉวนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์มีสิ่งที่เรียกว่าปราณมังกรเลย อืม วิชามองปราณเป็นวิชาของโหร ตำหนักความลับสวรรค์คงมีความเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์จริง เรื่องนี้ไขข้อสงสัยของข้าแล้ว”

น่าเสียดายที่บรรพชนอยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างมากหลังจากการสู้รบที่เมืองหลวงและต้องเข้าสู่นิทราไป มิเช่นนั้นในวันที่เด็กทั้งสองประสบอุบัติเหตุ เขาอาจจะหาคำตอบจากบรรพชนได้

เฉาชิงหยางดื่มชาอึกหนึ่งและถามว่า “หวางโหยวยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

หัวหน้าผู้คุมเรือนจำยิ้ม “ยังมีชีวิตอยู่ขอรับ สายลับทุกคนล้วนมีคุณค่า”

เฉาชิงหยางร้อง ‘อืม’ ออกมา

“หากเขาเป็นคนของสำนักโหราจารย์ก็ไว้ชีวิตเขาเป็นการชั่วคราวก่อน ส่งคนไปยังเมืองหลวงเพื่อหาคำตอบที่สำนักโหราจารย์”

เขาครุ่นคิด จากนั้นก็ยกมือขึ้นพลางพูดว่า “ไม่สิ อย่าเพิ่งแพร่งพรายตอนนี้ คอยฟังคำสั่งข้า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง