บทที่ 615 แม้อยู่ห่างไกลพันลี้ ข้าก็ชิงมาแล้ว…
“บุตรในเงามืด?”
ร่างอวตารของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ถามกลับด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ราวกับรู้และไม่รู้
“ท่านโหราจารย์คือปรมาจารย์ลิขิตฟ้า เชี่ยวชาญด้านการวางหมาก ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ข้าคิดว่าแค่จัดการกับร่างอวตารทั้งสามร่างของจักรพรรดิเจินเต๋อและเว่ยเยวียนได้ ก็จะได้เป็นผู้ทรงพลัง
“โชคดีที่ข้าไม่เคยประมาทเขาเลย หลังจากปลีกวิเวกฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดข้าก็ได้พบกับบุตรในเงามืดที่ซ่อนตัวอย่างดี”
สวี่ผิงเฟิงเว้นวรรคเล็กน้อย ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ และกล่าวยิ้มๆ
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คือบุตรในเงามืดของท่านโหราจารย์ มันคือกองทัพที่ฝึกฝนอยู่ในยุทธภพ มิได้ขึ้นตรงกับราชสำนัก แต่กลับมีพลังต่อสู้ที่น่าประทับใจ
“ในเวลาส่วนใหญ่แล้ว มันก็เป็นแค่ขุมพลังในยุทธภพ แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อราชสำนักกำลังเสื่อมถอย กองทัพอ่อนแอ กองทัพลับที่กำลังเติบโตนี้ก็เริ่มมีความสำคัญทันที
“ในการปราบปรามกบฏ”
เจียหลัวซู่พยักหน้า “กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แอบพึ่งพิงท่านโหราจารย์มานานแล้วหรือ”
เขาไม่ค่อยทราบอะไรมากนักเกี่ยวกับกองกำลังยุทธภพตอนกลาง อีกทั้งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับดวงตาเห็นธรรมให้เข้าสู่พระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง
สวี่ผิงเฟิงส่ายหน้า “ไม่ คนพวกนั้นไม่พึ่งพาใครลับหลังทั้งนั้น น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ลูบถ้วยชาเคลือบแวววาวเล่น รอให้โหรชุดขาวอธิบาย
“คนพวกนั้นทำข้อตกลงกับจักรพรรดิเกาจู่ หากว่าวันหนึ่งราชสำนักล่มสลาย ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมของต้าโจว พวกเขาจะลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มต้าฟ่ง
“ฟังดูเหมือนจะเป็นพันธมิตรที่น่าดึงมาเป็นพวก
“อันที่จริงทำไม่ได้ ต้าฟ่งในตอนนี้ไม่เหมือนกับต้าโจวเมื่อวันวาน ชะตากรรมของต้าโจวมาถึงปลายทาง ผุพังเน่าหนอนลึกลงกระดูก หมดหนทางเยียวยาได้อีกต่อไป
“แต่หลังจากหยวนจิ่งแห่งต้าฟ่งถูกบั่นคอ จักรพรรดิองค์ใหม่ก็ขึ้นครองบัลลังก์แทน ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ในสายตาของเหล่านักปราชญ์ทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งที่สื่อถึงปราณชีวิตของราชวงศ์ ภัยหนาวเป็นภัยพิบัติ ภัยพิบัติผ่านมาแล้วย่อมผ่านพ้นไปเสมอ อีกทั้งราชสำนักเองก็ยังพยายามบรรเทาภัยพิบัติอย่างขันแข็ง
“นั่นหมายถึงราชสำนักยังไม่เสื่อมถอยจนนิ่งดูดาย
“อีกอย่าง ในสายตาของคนพวกนั้น เหตุการณ์นี้เป็นผลมาจากการสูญเสียปราณมังกรของต้าฟ่ง การช่วยเหลือราชสำนักรวบรวมปราณมังกร ย่อมดีกว่าการทำสงครามกวาดล้างแผ่นดินตอนกลางเป็นไหนๆ”
สวี่ผิงเฟิงยกกาน้ำชาขึ้น เพื่อเติมชาร้อนๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“ที่ข้าเสียดายก็คือคนผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์ที่มุ่งมั่นจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวิทยายุทธ เมื่อมีเป้าหมายไม่ตรงกัน ก็แน่ชัดแล้วว่าเขาไม่อาจเป็นพันธมิตรกับเราได้”
หากผู้ที่มีใจทะเยอทะยานได้พบกับโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ
นั่นคือพันธมิตร
เจียหลัวซู่รับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สวี่ผิงเฟิงโบกมือ ถาดชา เครื่องลายครามและสิ่งของอื่นๆ บนโต๊ะบิดเบี้ยว เปลี่ยนรูปกลายเป็นกระดานหมากรุกและตัวหมากรุกสองกล่องอย่างรวดเร็ว
เขาพับแขนเสื้อขึ้นด้วยมือหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งหยิบตัวหมากรุกลายครามวางลงบนกระดานเสียงดัง ‘แกรก’
“ขุนศึกเหนือมนุษย์แห่งต้าฟ่ง ท่านโหราจารย์ ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ จ้าวโส่วแห่งลัทธิขงจื๊อ สวี่ชีอัน”
ทุกครั้งที่รายวานชื่อ มักจะมีชื่อของลูกชายโผล่มาด้วยเสมอ
“ชะตาของจ้าวโส่วคือต้องเป็นกระดูกสันหลังให้กับลัทธิขงจื๊อ และกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง สำหรับเขาแล้ว ใครขึ้นมานั่งบัลลังก์ก็ไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังปรารถนาจะเห็นผู้อื่นขึ้นมาแทนที่ราชวงศ์ปัจจุบันด้วยซ้ำ
“หากเป็นเช่นนั้น ปัญญาชนแห่งลัทธิขงจื๊อก็จะมีอนาคตสดใส อีกย่างลัทธิขงจื๊อนั้นอ่อนแอมาจนถึงทุกวันนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในขั้นสาม หากเข้าร่วมศึกชิงปราณมังกร ย่อมมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลว
“เขาอาจจะไม่กลัวตาย แต่ลัทธิขงจื๊อไม่ยอมให้เขาตาย คนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”
สวี่ผิงเฟิงเก็บหมากที่เป็นตัวแทนของจ้าวโส่วลงในกล่อง
“การหนีเคราะห์กรรมของลั่วอวี้เหิงใกล้เข้ามาแล้ว แม้ว่านางจะเป็นลูกสะใภ้ของข้า และดับไฟแห่งกรรมเบื้องต้นไปแล้วก็ตาม แต่นี่หมายความว่านางเข้าใกล้หายนะขึ้นอีกก้าว ตอนนี้นางต้องสร้างสมดุลระหว่างพลังและไฟแห่งกรรม เมื่อใดที่สมดุลหายไป หายนะจะเข้ามาถึงตัวทันที”
หมากแทนตัวลั่วอวี้เหิงถูกเก็บกลับไปเช่นกัน
“ตบะของสวี่ชีอันยังไม่ฟื้นคืน ตอนนี้อย่างมากก็อยู่ในขั้นสามช่วงต้น หรืออาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง”
เขาโยนหมากแทนตัวสวี่ชีอันกลับใส่กล่องเบาๆ
“สภาพร่างกายของตาเฒ่าแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่สู้ดีนัก หลังจากเสร็จศึกที่เมืองหลวง ข้าคาดเดาว่าอาการของเขาน่าจะทรุดลง ตอนนี้ก็ใกล้จะผสานเต๋าล้มเหลวอยู่รอมร่อ มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะพังทลายทุกขณะ
“เช่นนั้นหากคิดจะปกป้องกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ท่านโหราจารย์ก็ต้องออกโรงเอง สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่อวิ๋นโจวย่อมได้รับการแก้ไขไปด้วยปริยาย”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ประนมมือและเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“คิดๆ ดูแล้ว เจ้าได้เตรียมอาวุธที่จะทำลายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เอาไว้เป็นอย่างดีแล้วนี่”
สวี่ผิงเฟิงยิ้ม “ข้ายังไม่พร้อม ตอนนี้ข้ากำลังรอเวลานั้นอยู่”
…
ณ ชายแดนชิงโจว วัดร้างในเขตชายเมือง
จิ้งซินที่นั่งสมาธิมาหลายวัน ลืมตาขึ้นช้าๆ และก้าวเดินออกมาจากวัดร้าง
เขายืนทอดสายตาอย่างเงียบงันอยู่กลางลานวัด หลังจากผ่านไปนาน จิ้งหยวนก็กลับมาจากการบิณฑบาต
เทพอารักษ์ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร แต่คนที่อยู่ในชั้นสี่อย่างพวกเขา ยังมีเลือดเนื้ออยู่จึงต้องบริโภคอาการ
ศิษย์พี่ ศิษย์น้องประสานสายตา จิ้งซินถอนหายใจก่อนเอ่ย
“ข้าเข้าฌานไม่ได้”
จิ้งหยวนรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ก็ยังถามออกไป “เพราะเหตุใดเล่า”
จิ้งซินกล่าวเบาๆ
“จิตมารสิงสู่
“หลายวันมานี้ ข้าเห็นภาพการต่อสู้ที่ยงโจว ภาพของศิษย์พี่ ศิษย์น้องที่ถูกเขาสังหารด้วยคมดาบเดียว ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ความกลัวและความแค้นสุมใจข้าอยู่เรื่อยๆ จนข้าสงบใจไม่ได้เลย”
จิ้งหยวนไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยสีหน้าเคร่งขรึม “ปณิธานของเจ้าคือสิ่งใด”
จิ้งซินบอกตามจริงไม่ปกปิด “ข้าหวังจะบรรลุพิฆาตกลีพลา”
ความสามารถของพิฆาตกลีพลามีอยู่สองประการ คือตัดทุกข์ทางโลก และตัดชีวาศัตรู
อย่างแรก เมื่อตัดทุกข์ของตนได้ ก็สามารถตัดทุกข์ของผู้อื่นได้เช่นกัน
อย่างหลังเป็นแค่พลังความรุนแรงเสริมล้วนๆ ทำช่วยลบล้างตัวตนของอีกฝ่ายให้หายไปจากโลก พูดง่ายๆ ก็คือ สังหารคน
จิ้งหยวนกล่าวเรียบๆ
“ศิษย์พี่ นี่เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว
“ทุกข์ของเจ้าเริ่มต้นที่เขา ก็ต้องยุติลงที่เขา เจ้าจะได้บรรลุพิฆาตกลีพลา และก้าวไปสู่ตำแหน่งพระอรหันต์ได้”
จิ้งซินสายตามึนงง “การฆ่าเขามันง่ายดังปากพูดเสียที่ไหน”
หากปณิธานคือหนทางจำเป็นแห่งการบรรลุพลา เช่นนั้นปณิธานที่เกี่ยวข้องกับพิฆาตกลีพลาก็มีอยู่ด้วยกันสองทาง
หนึ่ง สังหารศัตรูตัวฉกาจของสำนักพุทธ หรือสังหารศัตรูคู่แค้นทั้งหลาย
ปณิธานในการสังหารศัตรูตัวฉกาจของสำนักพุทธเป็นเรื่องยากที่จะทำสำเร็จ เพราะคนที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักพุทธได้ ไม่ใช่คนที่นักพรตขั้นสี่สามารถต่อกรได้
การสังหารศัตรูคู่แค้นหลายคนก็ยากพอๆ กัน ในเมื่อเป็นศัตรูคู่แค้น ก็ต้องเสี่ยงตายอยู่ตลอดเวลา
สอง จำกัดจิตมารในใจของตน
เส้นทางนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่แท้จริงแล้วเป็นดั่งภาพลวงตา มีโอกาสสูงที่ทำไม่สำเร็จตลอดชีวิต เคยมีนักพรตบางคนที่ไม่เคยสัมผัสจิตมารของตนได้เลยจนกระทั่งสิ้นลม
จิ้งซินต้องการจะบรรลุกลีพลาเป็นพระอรหันต์ การสังหารสวี่ชีอันเป็นวิธีที่มีโอกาสสำเร็จสูงที่สุด แต่ก็เป็นวิธีที่เสี่ยงตายมากที่สุด…
จิ้งหยวนเงียบไป
พระอรหันต์พลา เดิมทีมีเพียงผู้ที่โชควาสนาดีเท่านั้นถึงจะบรรลุได้
ขณะนี้เอง สายลับในชุดคลุมสีดำจากตำหนักความลับสวรรค์ กำลังเดินมาหยุดนอกวัดร้าง ผ่านเส้นทางบนเขา
จิ้งซินและจิ้งหยวนหยุดการสนทนาโดยพร้อมเพรียง และเหลือบมองไปด้านข้าง
“ข้ามาพบเทพอารักษ์สองท่าน”
สายลับกล่าว
มีคำสั่งจากท่านอาจารย์อาและท่านอาจารย์งั้นหรือ จิ้งซินประนมมือขึ้น
“เชิญเข้าไปด้านในเถิด”
สายลับพยักหน้าและก้าวเข้าไปในวัด
วัดน้อยขนาดไม่ใหญ่โต ด้านหน้ามีรูปปั้นเทพผู้ปกปักขุนเขาล้มคว่ำหน้าอยู่ เทพอารักษ์ผิวสีทองอร่าม ด้านหลังมีวงแหวนไฟลุกโชนด้านหลังศีรษะสองคนนั่งขัดสมาธิ
“ท่านเจ้าตำหนักมีจดหมายเชิญท่านเทพอารักษ์ทั้งสองไปพบขอรับ”
สายลับซองจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ และยื่นให้มือสองข้างด้วยความเคารพ
เทพอารักษ์ตู้หนานแบมือออก ให้ซองจดหมายลอยมาตกในมือเอง เขาเปิดอ่านแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“ยังมีสิ่งอื่นอีกหรือ”
สายลับหยิบกล่องโลหะออกมาทันที และโค้งคำนับ
“นี่เป็นสิ่งที่ท่านเจ้าตำหนักให้ข้านำมาส่งมอบให้ท่านทั้งสอง”
ตู้หนานรับมาแต่ไม่ได้เปิดดู แค่พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
ได้ฟังเช่นนั้น สายลับก็ประนมมือโค้งคำนับ และไปจากศาลเจ้า
จิ้งซินและจิ้งหยวนเฝ้าดูจนสายลับจากไปลับตา ก็เดินเข้าไปในศาลเจ้าพร้อมกัน
เทพอารักษ์ตู้หนานกวาดตามองทั้งคู่แวบหนึ่ง
“พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่มีคำสั่งให้ข้าเดินทางไปยังเจี้ยนโจว เพื่อกำจัดกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ด้วยตนเอง”
กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์? ในฐานะลูกศิษย์ของสำนักพุทธแดนประจิม จิ้งซินและจิ้งหยวนไม่รู้จักกลุ่มอำนาจในยุทธภพต้าฟ่งเลยแม้แต่น้อย
เทพอารักษ์ตู้หนานไม่ตอบ แต่เปิดกล่องโลหะเล็กๆ ออก
แสงสีทองอร่ามสาดเข้าตาจิ้งซินและจิ้งหยวน ทำให้ทั้งคู่ต้องหลับตาปี๋โดยไม่รู้ตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง