ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 616

บทที่ 616 การชุมนุม

สวี่หยวนซวงที่อยู่ข้างๆ คว้าจดหมายลับไปอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนจะส่งให้หลิ่วหงเหมียน ไป๋หู่ และฉีฮวนตานเซียง

หลังจากอ่านจบ ทุกคนก็ทำสีหน้าต่างกันออกไป

ตั้งแต่เข้าสู่ยุทธภพเพื่อตามหาปราณมังกร นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าตำหนักความลับสวรรค์มีคำสั่งลงมา

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นราวกับเสียงระฆัง เริ่มแรกมันฟังดูสนุกสนาน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความขมขื่น ทุกคนหันหน้าไปมองหลิ่วหงเหมียน ที่กำลังหัวเราะจนน้ำตาเล็ด

จีเสวียนมองไปที่นางเงียบๆ รอจนกระทั่งหญิงสาวผู้งดงามสงบลง เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“หงเหมียนเป็นลูกศิษย์หอหมื่นบุปผา นางรู้จักกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ดีที่สุด”

“ศิษย์เก่า”

หลิ่วหงเหมียนแก้ไขคำพูด ใบหน้าที่งดงามดั่งดอกท้อปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะกลับสู่ท่าทางปกติของนาง

นางครุ่นคิดสักครู่และกล่าวว่า

เจี้ยนโจวถูกยกย่องไปทั่วยุทธภพว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิทยายุทธ เพราะการมีอยู่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

“นับตั้งแต่เริ่มสถาปนาดินแดน มันเป็นดังยักษ์ใหญ่ของเจี้ยนโจว กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คอยปกป้องยุทธภพเจี้ยนโจวมาแล้วเป็นเวลากว่าหกร้อยปี ทำให้เจี้ยนโจวเป็นพื้นดินที่มีพรรคต่างๆ งอกเงยขึ้นอย่างงดงาม

“จนถึงทุกวันนี้ พรรคแนวหน้าของยุทธภพเจี้ยนโจวต่างก็อยู่ภายใต้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทั้งสิ้น”

หลิ่วหงเหมียนกวาดตามองคนที่นั่งอยู่ และพูดต่อ

“ในบรรดากองกำลังภายใต้อาณัติของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ มีเก้าพรรคที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคือกลุ่มหมัดเทพเจ้า หอหมื่นบุปผา สำนักโม่ สำนักเฉียนจี สำนักครรลองเทพ สำนักอาภรณ์เหล็ก อวี่ซาน อารามกระเรียนขาว สมาคมการค้าเจี้ยนโจว

“บรรพบุรุษของพรรคเหล่านี้มีทั้งพวกที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ และพวกที่ก่อตั้งพรรคโดยมีกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นผู้สนับสนุน หลายร้อยปีที่ผ่านไปจนได้ผูกสัมพันธ์กับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

“ส่วนพวกพรรคเล็กพรรคน้อย ข้าขอไม่กล่าวถึงก็แล้วกัน”

สวี่หยวนไหวกล่าวเสียงเข้ม “ในพรรคเหล่านี้มียอดฝีมือขั้นสี่หรือ”

หลิ่วหงเหมียนพยักหน้า “อย่างน้อยก็มีหนึ่งคน”

ทุกคนเงียบไปสักพัก

นอกจากกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงแล้ว หากพึ่งพาพวกเขา ไม่จำเป็นต้องให้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ออกโรง พรรคต่างๆ ในอาณัติก็ล่มสลายไปเองได้

ยิ่งไปกว่านั้น ในพรรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต้องมียอดฝีมือคนอื่นอีกแน่นอน ขอแค่ยังไม่ถึงขั้นเหนือมนุษย์ กลยุทธ์การต่อสู้แบบเวียนย่อมสามารถสังหารขั้นสี่ได้

ไป๋หู่แขนขาดกล่าว “เล่าสถานการณ์ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาซิ”

พูดจบ ทุกคนก็จับจ้องหลิ่วหงเหมียนเป็นตาเดียว รวมถึงกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงด้วย

“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อยู่ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ตรงเชิงเขามีหมู่บ้านทหารอยู่แห่งหนึ่ง อ้างตนว่ามีทหารม้ากว่าสองหมื่นคน แต่ในความเป็นจริงคือทหารม้าแปดพันและทหารม้าเกราะไม่เกินสี่พันนาย ทหารและม้าสองหมื่นนายคือกองทัพของอดีตผู้นำกลุ่มพันธมิตร ซึ่งถูกแทนที่ไปแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง”

หลิ่วหงเหมียนกล่าวพร้อมกับนึกย้อนไปด้วย

“นอกจากกองทัพแล้ว ยอดฝีมือในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ยังมีมากเกินนับไหว ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่อาจประเมินได้ ข้าคิดว่าคนที่ต้องจับตามองจริงๆ คือเอาชิงหยางและอดีตผู้นำกลุ่มพันธมิตร

“เฉาชิงหยางติดห้าอันดับแรกในบรรดาร้อยผู้แข็งแกร่งแห่งยุทธภพ เข้าใกล้ระดับเหนือมนุษย์เพียงครึ่งก้าว หากเราคนใดคนหนึ่งเผชิญหน้ากับเขาแบบตัวต่อตัว ล้วนแต่ต้องพบกับทางตัน

“ส่วนอดีตผู้นำ แม้ว่าคนไม่น้อยในยุทธภพคิดว่าการมีอยู่ของเขาเป็นเพียงเรื่องปรุงแต่งที่กลุ่มพันธมิตรยุทธภพสร้างขึ้นมา แต่ระดับอย่างเราๆ ย่อมรู้ดีว่าเขามีตัวตนอยู่จริง

“ทว่าอดีตผู้นำไม่ปรากฏตัวมานานกว่าหลายร้อยปีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่หลังจากได้เห็นโชคลางของเจ้าตำหนักแล้ว ข้าก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

หลังจากอธิบายสถานการณ์ของยุทธภพเจี้ยนโจวแล้ว เขาก็ไม่พูดอะไรอีก

“เราต้องการกำลังมากกว่านี้” จีเสวียนประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น เขามองไปยังสายลับอวี่โจว แล้วกล่าว

วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน สวี่เอ้อหลางควบม้าออกจากเมือง ไปถึงสำนักอวิ๋นลู่อย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

เขาปีนเขาอย่างรวดเร็ว ผ่านสำนัก ไปยังป่าไผ่ด้านหลังภูเขา

“ท่านเจ้าสำนัก ฉือจิ้วขอคารวะ”

สวี่ซินเหนียนโค้งคำนับด้านนอกอาคารไม้ไผ่

ใต้ฝ่าเท้าปรากฏแสงเพียงวูบเดียว เขาก็ถูกพาเข้าไปด้านในอาคารไม้ไผ่แล้ว

ในอาคารไม้ไผ่ที่เรียบหรูและเป็นระเบียบ จ้าวโส่วนั่งจิบน้ำชาอยู่คนเดียวที่โต๊ะ

ที่นั่งฝั่งตรงข้ามมีน้ำชาร้อนกรุ่นวางไว้คอยอยู่ถ้วยหนึ่ง

สวี่ซินเหนียนรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เตรียมให้กับตน และรับรู้ถึงท่าทีของจ้าวโส่วส่งมา

เดิมทีเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมาตีตัวเสมอจ้าวโส่วได้

ไม่ว่าจะด้วยตบะหรือฐานะอาจารย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวโส่ว สวี่ฉือจิ้วควรจะยืนตลอดเวลา

“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก”

สวี่ซินเหนียนโค้งคำนับ และนั่งลงอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าสองเรื่อง”

จ้าวโส่ววางถ้วยชาลง สายตาอ่อนโยน “ส่งสมุดบันทึกแทนสำนัก และนัดหมายดื่มชาช่วงบ่ายกับหวางเจินเหวินแทนข้า”

สวี่ซินเหนียนเป็นประกาย เขาลังเลเล็กน้อย “ขอรับ”

ชายแดนเจียงโจว

แม่ม้าน้อยสะบัดหาง ก้มลงกินอาหารบดละเอียดจากถังไม้

ม้าตัวผู้สองตัวที่ยืนขนาบข้าง จ้องมองอาหารบดของมันน้ำลายสอ ยื่นคอเข้าไปพยายามจะกินด้วยตลอดเวลา แต่แม่ม้าน้อยสะบัดคอฟาดใส่พวกมัน

ด้านหน้ากองไฟข้างลำธาร มู่หนานจือผัดผักป่าในกระทะ ส่วนสวี่ชีอันแล่เนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้จากในป่า

หลี่หลิงซู่นั่งยองๆ ล้างวัตถุดิบอยู่ที่ริมธาร

เหมียวโหย่วฟางยังไม่ได้ช่วยงานอะไร เขาฝึกชกต่อยอยู่ไม่ไกล เหงื่อเย็นไหลท่วมกาย

“เมื่อเข้าสู่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงแล้ว หลังจากนั้นคือขั้นห้าสลายแรง จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดของขั้นนี้คือการฝึกลมหายใจพลังปราณ และสะกดกลั้นปราณโลหิต”

สวี่ชีอันแล่เนื้อไปด้วย สอนไปด้วย

“แต่มันต่างจากการสะกดกลั้นปราณโลหิตในขั้นหลอมจิต เจ้าต้องรู้สึกถึงจังหวะของร่างกายด้วยจิตใจของเจ้า และควบคุมพลังอย่างสมบูรณ์”

เหมียวโหย่วฟางขยับมือเท้าไม่หยุด พร้อมกับตะโกนตอบกลับเสียงดัง “ข้าควบคุมมันได้แล้ว”

หลี่หลิงซู่แค่นเสียงยิ้มเยาะ “เจ้ายังห่างชั้นอีกไกลโข”

“เจ้ามันเป็นนักพรตจะไปรู้สี่รู้แปดอะไร!” เหมียวโหย่วฟางด่ากลับ

หลี่หลิงซู่เมินคำพูดผรุสวาทของเขา และกล่าว

“มนุษย์เกิดมาควบคุมแขนขาตนเองได้ ควบคุมร่างกายของตนเองได้ แต่นั่นเป็นการใช้ร่างกายอย่างตื้นเขินที่สุด

“คนทั่วไปสามารถใช้พลังได้เพียงหนึ่งหรือสองส่วนในสิบส่วนจากพลังทั้งหมดในร่างกาย ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดคือการที่พวกเขาระเบิดพลังทั้งหมดออกมาเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน

“สาระสำคัญของขั้นห้าสลายแรง คือการควบคุมพลังที่ควบคุมไม่ได้พวกนั้น ข้าพูดถูกหรือไม่ ผู้อาวุโสสวี”

สวี่ชีอันพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหลี่หลิงซู่ และกล่าวเสริม

“ขั้นนี้ไม่อาจสำเร็จได้ในเร็ววัน และไม่อาจใช้เครื่องมือช่วยเหลือเพื่อผลักดันได้ ต้องอาศัยเพียงพรสวรรค์และการตื่นรู้ของแต่ละคนเท่านั้น ยิ่งไปสู่ระดับที่สูงขึ้นก็ยิ่งต้องใช้โชคและการตื่นรู้มากขึ้น ระบบหลักทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้

“อย่างไรก็ดีประสบการณ์ของผู้อาวุโสจะช่วยให้เจ้าไม่ต้องเดินผิดทาง ข้าขอแนะนำเจ้าว่านอกจากชกมวยแล้ว เจ้าจงหมั่นนั่งสมาธิทุกวัน เพื่อฝึกฝนจิตเดิม”

เหมียวโหย่วฟางถาม “เหตุใดจึงต้องฝึกฝนจิตเดิมด้วยเล่า ไม่ใช่ว่าต้องฝึกฝนกายเนื้อหรอกหรือ”

สวี่ชีอันกล้าวยิ้มๆ “เนื่องจากร่างกายถูกควบคุมโดยสมอง ยิ่งสมองพัฒนาดีเท่าไร ความสามารถในการควบคุมร่างกายก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

เหมียวโหย่วฟางคล้ายจะเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง ส่วนหลี่หลิงซู่กำลังครุ่นคิดอย่างพินิจพิเคราะห์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง