บทที่ 617 เล่นหมากรุก
ตงฟางหว่านหรงพยักหน้าเล็กน้อย สายตามองผ่านไหล่ของจีเสวียนไปทางผู้คนในห้องโถง
ในเวลาเดียวกัน ในสมองก็มีเสียงของน่าหลันเทียนลู่ดังขึ้น
“แปดคนนั้นมีท่าทางแปลกประหลาดเล็กน้อย กลิ่นอายเหมือนคนคนเดียวกัน ดูเหมือนจะเหนือมนุษย์และไม่ได้เหนือกว่ามนุษย์”
ตงฟางหว่านหรงใคร่ครวญเล็กน้อย รู้ว่า“แปดคน”ที่น่าหลันเทียนลู่พูดนั้นหมายถึงใครบ้าง เพราะพวกเขาล้วนสวมชุดคลุมสีดำเหมือนกัน
เป็นฝาแฝดที่สวยมาก…หลิ่วหงเหมียนสังเกตพี่น้องสองสาวสวย ดวงตาแสดงความประหลาดใจ นางยอมรับว่าเป็นคนสวย สวยโดดเด่นมากๆ ถึงแม้ในสำนักที่มีสาวงามอยู่มากมายอย่างหอหมื่นบุปผา รูปโฉมก็นับว่าโดดเด่นที่สุด แต่พี่น้องสองสาวสวย คนใดคนหนึ่งล้วนไม่สามารถทำให้หลิ่วหงเหมียนตกตะลึงในความงามได้ แต่เมื่อฝาแฝดยืนอยู่ด้วยกัน ก็ดูเหมือนจะมี ความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพวกนางคนหนึ่งช่างเจรจา ส่วนอีกคนหนึ่งดูเย็นชา ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ท่าทีของทุกคนในห้องโถงไม่ต่างจากหลิ่วหงเหมียน ต่างตกตะลึงในความงามของพี่น้องฝาแฝดสองสาวสวยอยู่ครู่หนึ่ง ในที่นี้รวมถึงสวี่หยวนไหว ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม ฉีฮวนตานเซียงเผ่าพันธุ์กู่แห่งซินเจียงตอนใต้ และพยัคฆ์ขาวแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ตงฟางหว่านหรงมองไปทางจีเสวียน ยิ้มหวานแล้วพูดว่า “ท่านคือ”
“ข้าน้อยจีเสวียน บุตรชายของเจ้าเมืองเมืองเฉียนหลง”
จีเสวียนพูดพร้อมประสานมือขึ้นคารวะ
ตงฟางหว่านหรงเคยได้ยินจากอาจารย์น่าหลันเทียนลู่นานแล้วจึงรู้ว่าเมืองเฉียนหลงเป็นสถานที่เช่นไร จึงพยักหน้าเบาๆ นางนำบรรดาศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่เข้าไปที่ลาน ให้พวกเขาจัดแถวในลาน ส่วนตนเองเข้าไปในห้องโถงกับตงฟางหว่านชิงน้องสาว
“คารวะเทพอารักษ์ทั้งสองท่าน”
พี่น้องสองสาวแสดงความคารวะอย่างนอบน้อม
“อาจารย์น้อยทั้งสอง พบกันอีกแล้ว”
ตงฟางหว่านหรงยิ้มทักทายจิ้งซินและจิ้งหยวน
รอจนทั้งสองต่างทักทายกันแล้ว จีเสวียนจึงพูดต่อว่า
“สถานการณ์ส่วนใหญ่สายสืบของตำหนักความลับสวรรค์ได้อธิบายไว้ในจดหมายลับอย่างชัดเจนแล้ว เจ้าตำหนักทั้งสองท่านมีอะไรต้องการจะถามหรือไม่?”
ตงฟางหว่านชิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ตงฟางหว่านหรงผู้เป็นพี่สาวพูดว่า
“ทำไมงานชุมนุมกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จึงปรากฏปราณมังกรสองสาย?”
สองในเก้ามังกร ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นี่เป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดมาก
จิ้งซินพนมมือ คาดเดาว่า “บางทีอาจจะมีลักษณะพิเศษในการดึงดูดซึ่งกันและกันระหว่างปราณมังกร”
ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบนี้
ในเวลานี้ สวี่หยวนซวงพูดเรียบๆ ว่า
“ไม่ใช่ลักษณะพิเศษในการดึงดูดซึ่งกันและกันระหว่างปราณมังกร ปราณมังกรเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่ง มันมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง จิตสำนึกนี้ไม่ใช่จิตสำนึกจากใจอย่างที่พวกเราเข้าใจ แต่เหมือนกฎของฟ้าดินมากกว่า โชคชะตาเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของจิตใจและความปรารถนาของประชาราษฎร์ ดังนั้นปราณมังกรจึงตามหาผู้ที่มีชื่อเสียงบารมีที่ดีหรือสิ่งที่ได้รับการบูชาเพื่ออาศัยอยู่ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวได้รับคำวิจารณ์ในทางที่ดีมาก รับบทบาทเป็นผู้รักษากฎ ประกอบกับภูมิหลังของผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกท่านคิดว่า หากไม่มีการแทรกแซงจากอิทธิพลภายนอก ภาคกลางวุ่นวาย กลุ่มอิทธิพลที่มีความหวังที่สุดในการแย่งชิงภาคกลาง จะเป็นกลุ่มไหน?”
ไม่ต้องสงสัย ต้องเป็นกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างแน่นอน
ตงฟางหว่านชิงแย้งว่า “ไม่ใช่ ขณะที่ข้าทำการรวบรวมปราณมังกรอยู่นั้น ได้พบคนคดโกงมากมาย”
สวี่หยวนซวงคิดดูแล้วก็พูดว่า “อันดับแรก มนุษย์นั้นซับซ้อนยิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นผีพนัน บางทีเขาอาจจะมีคุณสมบัติเป็นจักรพรรดิได้ อันดับต่อมา ตั้งแต่โบราณมาผู้ที่เป็นจักรพรรดิ จะมีสักกี่คนที่เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ?
“ปราณมังกรเลือกร่าง หากเลือกตามความประพฤติส่วนตัว ถ้าดูจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่มีจักรพรรดิผู้สถาปนาประเทศคนใดผ่านเกณฑ์”
ตงฟางหว่านชิงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่หลิ่วหงเหมียนกลับขมวดคิ้ว
“ถ้าเช่นนั้นตอนที่ปราณมังกรกระเจิดกระเจิงในวันนั้น ทำไมจึงไม่เลือกที่จะอาศัยอยู่ในร่างของสวี่ชีอัน พูดถึงชื่อเสียงบารมี เขาเหนือกว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ทุกคน”
สวี่หยวนซวงพูดเรียบๆ ว่า “เพราะตัวมันเองถูกทำให้กระเจิง ปราณมังกรเกิดจากการรวมตัวกันของโชคชะตาภาคกลาง หลังกระเจิดกระเจิงแล้ว ย่อมต้องกลับคืนสู่ภาคกลาง”
ตงฟางหว่านหรงพยักหน้า นับว่าพอใจกับคำตอบของนาง สังเกตหญิงสาวผู้เย็นชา แล้วพูดว่า
“เจ้าเป็นโหร?”
สวี่หยวนซวงนิ่งเงียบ ยอมรับโดยปริยาย
ตงฟางหว่านหรงกวาดตามองชาวเมืองเฉียนหลงทุกคน แล้วถามขึ้นอีกว่า
“หลังจากเสร็จงานแล้ว จะแบ่งปราณมังกรอย่างไร?”
จีเสวียนให้คำตอบว่า “รับไปคนละสาย”
เมื่อเห็นว่าตงฟางหว่านหรงไม่ได้โต้แย้ง เขาก็พูดต่อว่า
“เจ้าตำหนักทั้งสองท่านรู้จักกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มากแค่ไหน?”
ตงฟางหว่านหรงตอบว่า “กำลังจะขอให้คุณชายจีอธิบายอยู่พอดี”
ตำหนักมังกรตงไห่ไม่อยู่ในเขตแดนของต้าฟ่ง สำหรับพี่น้องสองสาวแล้ว กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั้นเป็นกลุ่มของภาคกลางที่ไม่มีผลประโยน์ขัดกันเลย ดังนั้นจึงแค่ได้ยินมาบ้าง แต่ไม่รู้รายละเอียด
หลิ่วหงเหมียนทำหน้าที่เป็นคนอธิบาย บอกเล่าสถานการณ์ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างละเอียด สองพี่น้องตงฟางฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้วไม่หยุด จีเสวียนพูดว่า
“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงต้องไตร่ตรองอย่างใจเย็น และนี่ก็คือสาเหตุที่ข้าเชิญเจ้าตำหนักทั้งสองท่านมาคุยกันต่อหน้า”
“ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาสรุปกันเถิด อันดับแรกคือเฉาชิงหยาง คนคนนี้เหนือมนุษย์ครึ่งก้าว กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อคำนึงถึงจอมยุทธ์ระดับสูงในยุทธจักรเจี้ยนโจวที่มีอยู่จำนวนมาก หากร่วมมือกับเฉาชิงหยาง คงจะต่อสู้เสมอกันได้?”
เขามองไปทางกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวง
มีเสียงแหบพร่าดังมาจากผ้าคลุมศีรษะของชางหลง “ไม่สามารถประเมินได้อย่างแม่นยำ แต่โอกาสในการเป็นต่อมีอยู่มาก”
กำลังในการรบครั้งนี้ประเมินยาก หากกลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามอย่างแท้จริง ถ้าเช่นนั้นแม้เฉาชิงหยางจะร่วมมือกับขั้นสี่ในเจี้ยนโจวทั้งหมด ก็ไม่สามารถทำให้กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงสั่นสะเทือนได้
แต่ฝ่ายตนเองก็เช่นกัน มีเพียงกำลังรบของจอมยุทธ์ขั้นสาม แต่กลับไม่มีวิธีการป้องกันที่ดี ไม่มีความสามารถในการคืนสภาพร่างเนื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความต้านทานก็จะต่ำมาก อีกทั้ง ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะไม่มีค่ายกลรวมพลังโจมตีคอยช่วยเหลือ ดังนั้นสุดท้ายแล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เมื่อต่อสู้แล้วจึงจะรู้ได้
จีเสวียนพยักหน้า พูดว่า
“ต่อจากนั้นภูเขาเฉวี่ยนหรงก็ส่งกองกำลังเข้าไป กองกำลังสองหมื่นนายเพียงพอที่จะบดขยี้ขั้นสี่ให้ตายได้ ในยุทธการด่านซานไห่ มีจอมยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่ตายเพราะหมดแรง”
ไป๋หู่พึมพำว่า เลือกภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นสนามรบก็แล้วกัน จะมีผลทำให้ได้เปรียบในการยับยั้งและควบคุมกองทหารม้า และการต่อสู้บนเขา พวกเรายังสามารถอาศัยภูมิประเทศในการสร้างหินกลิ้ง สิ่งนี้นับเป็นภัยพิบัติทำลายล้างสำหรับทหารธรรมดาทั่วไป
ฉีฮวนตานเซียงกลับพูดว่า “ข้าสามารถควบคุมแมลงพิษในการใช้พิษสังหารทหารและลูกสมุนพรรคธรรมดาๆ ได้ แต่ว่าอาศัยแค่ขั้นสี่อย่างพวกเราไม่กี่คน แม้จะมีกลอุบายมากแค่ไหน ก็ยังคงไม่เพียงพอที่จะต้านทานได้
“ในฐานะกลุ่มอิทธิพลในยุทธภพเจี้ยนโจวยาวนานหกร้อยปีที่หวังจะแย่งชิงภาคกลาง จะเป็นแค่กลุ่มที่ขั้นสี่ไม่กี่คนก็สามารถรับมือได้อย่างไรกัน
“กำลังหลักย่อมไม่ใช่พวกเราอย่างแน่นอน”
จีเสวียนยิ้มแล้วพูดว่า
“ผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คนเก่าตัดการติดต่อกับโลกภายนอกมาหลายปี ข้าได้ข่าวที่เชื่อถือได้มา สภาพของเขาตอนนี้แย่มาก ไม่คู่ควรที่จะต้องกังวล แต่คนที่เราควรจะเตรียมป้องกันนั้นเป็นอีกคนหนึ่ง
“คนที่เป็นคู่ต่อสู้ที่ทำให้ผู้คนพากันตัวสั่น”
นอกจากเทพอารักษ์ทั้งสองแล้ว สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนแตกต่างกันไป
คนในกลุ่มของจีเสวียนมีสีหน้าหวาดกลัวเป็นส่วนใหญ่ สีหน้าของจิ้งซินและจิ้งหยวนห่อเหี่ยวไปมาก ส่วนสองพี่น้องตงฟางนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
คนคนนั้นนั่นเอง ที่แย่งผู้ชายของพวกนาง
จีเสวียนได้เห็นสีหน้าของทุกคน ก็รู้ได้ทันทีว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายเอง จึงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ตัวสวี่ชีอันนั้นอยู่ในขั้นเหนือมนุษย์ แต่ไม่ถึงขั้นสุดยอด กำลังการรบของเขาสามารถประเมินได้ในระดับหนึ่ง กำลังที่แสดงให้เห็นที่นอกเมืองยงโจว น่าจะไม่ด้อยไปกว่าเฉาชิงหยาง
“หลังจากพระอรหันต์ตู้ฉิงถูกจับกุม การปิดผนึกของเขาน่าจะถูกปลดออกขั้นหนึ่ง ประเมินอย่างคร่าวๆ น่าจะถึงขั้นสาม ตบะเช่นนี้ไม่ควรค่าแก่การกังวล เทพอารักษ์ท่านหนึ่งลงมือ ก็สามารถปราบเขาได้แล้ว แต่คนที่อยู่ข้างหลังเขาที่อาจจะมีส่วนพัวพัน กลับทำให้น่าปวดหัวอย่างยิ่ง อย่างเช่นลั่วอวี้เหิง อย่างเช่นนิกายสวรรค์”
สวี่หยวนไหวขมวดคิ้ว “ตามความเชื่อของท่านพ่อข้าบอกไว้ว่า ลั่วอวี่เหิงไม่น่าจะลงมือ ส่วนเทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ทั้งสองท่าน การเคลื่อนไหวเลื่อนลอยไม่แน่นอน ยากที่จะคาดการณ์”
หลิ่วหงเหมียนมองดูสองพี่น้องตงฟาง เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มพูดว่า
“พี่สาวทั้งสองมีไพ่ตายอะไร?”
เหนือศีรษะของตงฟางหว่านหรงมีผู้อาวุโสผมขาวหนวดขาวลอยอยู่ ก้มลงมองทุกคนในห้องโถงอย่างอ่อนโยนว่า
“หากเทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ปรากฏตัว ข้าจะรับมือเอง”
น่าหลันเทียนลู่…ในใจของจิ้งซิน จิ้งหยวนรู้สึกหนาวยะเยือก เทพอารักษ์ด้านหลังเขาทั้งสองคนสบตากัน สีหน้าหนักใจเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง