ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 618

สรุปบท บทที่ 618 เตรียมทำสงคราม: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 618 เตรียมทำสงคราม – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 618 เตรียมทำสงคราม ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 618 เตรียมทำสงคราม

“เจี้ยนโจวเป็นเมืองที่ร่ำรวยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเขตที่ไม่ใหญ่ แต่หอนางโลมกลับคึกคักเช่นนี้”

ถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมา เหมียวโหย่วฟางนั่งอยู่บนหลังม้า เอียงหน้ามองไปทางซ้าย

ถนนที่ทางด้านซ้ายของเขา เป็นหอนางโลมสูงสามชั้น สาวงามที่ชั้นสองอยู่ชิดริม มีสาวงามที่แต่ละคนสวยเพริศพริ้งนั่งอยู่ พวกนางยิ้มแย้มดุจดอกไม้แรกแย้ม ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บบางคนสวมชุดกระโปรงหน้าอกเว้าลึก บางคนคลุมด้วยเสื้อผ้าโปร่ง ส่ายเอวไปตามอารมณ์ โบกสะบัดแขนเสื้อและผ้าเช็ดหน้า เชิญชวนลูกค้า

“นายท่าน นายท่านมาเที่ยวสิเจ้าคะ”

“คุณชาย ให้โอกาสข้าน้อยได้รับใช้ท่านสักครั้ง…”

สวี่ชีอันถอนหายใจท่ามกลางเสียงจอแจของหญิงสาว ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บบรรดาหญิงสาวแต่งกายเช่นนี้คอยเรียกแขก จะเห็นได้ว่าเป็นงานที่ลำบากยากเข็ญเพียงใด

หลี่หลิงซู่พูดด้วยความรู้สึกเห็นใจ “ล้วนแต่เป็นคนที่น่าสงสาร สังคมลำบากเช่นนี้ คนที่สามารถมาดื่มเหล้าเที่ยวโสเภณีได้นั้นลดลงกว่าเดิม หรือไม่ก็ไม่มาอีกแล้ว หอนางโลมหาเงินไม่ได้ ย่อมต้องขูดรีดจากหญิงสาว อากาศหนาวเช่นนี้ หากเป็นหวัดไปคงแย่แน่ ยังต้องจ่ายเงินรักษา หากไม่มีเงิน…”

หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า ในฐานะที่เป็นคนอ่อนไหว เขาทนเห็นผู้หญิงลำบากไม่ได้มากที่สุด

เหมียวโหย่วฟางพูดด้วยความทุกข์ใจว่า

“เจ้าคิดว่าหอนางโลมจะดำเนินกิจการต่อไปไม่ไหว จนต้องปิดหอเลิกกิจการหรือไม่”

“แน่นอน!” หลี่หลิงซู่ตอบยืนยัน ถอนหายใจแล้วพูดว่า

“เมื่อถึงเวลานั้น ผู้หญิงเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะถูกขายทิ้ง ไปเป็นคนรับใช้ หรือกระทั่งเป็นวัวเป็นควายให้คนอื่น”

เหมียวโหย่วฟางด่าอย่างหยาบคายว่า

“สภาพสังคมขี้หมูขี้หมา แม้แต่หญิงโสเภณีก็อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว เฮ้อ ในกระเป๋าของข้าก็เหลือเงินไม่มากแล้ว หากไม่ใช่เพราะข้าไม่มีปราณมังกร ป่านนี้คงก่อการกบฏแล้ว”

‘ข้าผู้ไม่มีเงินช่วยเหลือสตรีที่พลั้งพลาดจำต้องก่อการกบฎแล้ว’ ช่างมีสไตล์เหมือนนวนิยายบางประเภทเลย…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

หลี่หลิงซู่ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “ก่อกบฏอะไรกัน ก่อกบฏอะไรกัน? เจ้าพูดไปทางคนอื่น อย่ามาพูดกับข้า”

คนทั้งคณะหาโรงเตี๊ยมพักชั่วคราว หลังจากเลี้ยงม้า กินข้าวเสร็จ เหมียวโหย่วฟางแอบยืมเงินสวี่ชีอันสิบตำลึงเงินด้วยสีหน้าเคอะเขิน จากนั้นก็เดินส่ายไปมาไปช่วยเหลือสาวๆ ที่ทำงานอย่างลำบากยากเข็ญเหล่านั้น

ส่วนหลี่หลิงซู่นั้นกลับเข้าห้องนั่งสมาธิฝึกลมหายใจ เขามีมาตรฐานสำหรับคนรักสูงมาก หญิงสาวงามเฉิดฉายธรรมดาๆ ล้วนไม่ถูกตาต้องใจ ยิ่งเป็นหญิงในหอนางโลมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยกเว้นแต่หญิงโสเภณีที่มีชื่อเสียงประเภทนั้น

แต่ว่า ด้วยใบหน้าหล่อเหลาชนิดไม่มีใครเทียบได้ เขาไปนอนกับผู้หญิงที่หอนางโลม พูดยากจริงๆ ว่าใครเป็นฝ่ายเสียเปรียบกันแน่

การที่สวี่ชีอันคิดเช่นนี้ ก็เพราะตอนที่อยู่เมืองหลวง บังเอิญได้ยินผู้หญิงในสำนักสังคีตพูดกันว่าการได้นอนกับฆ้องเงินสวี่ สวี่เอ้อร์หลาง และอารองสวี่นั้นนับเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง

‘ข้าเคยนอนกับผู้ชายสกุลสวี่ทั้งสามคน!’

พูดออกไปแล้วรู้สึกมีหน้ามีตา

อืม อารองเป็นเพียงของแถมเท่านั้น

ที่สวี่ชีอันให้เหมียวโหย่วฟางยืมเงิน ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล

เขาแอบเปิดห้องของเหมียวโหย่วฟาง แล้วปิดประตู ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เงียบสนิท เขาได้มุดเข้าไปที่ใต้เตียง

ผลข้างเคียงของเจ็ดยอดกู่นั้นยุ่งยากมาก ในแต่ละวันเขาต้องหาเวลามาสนองตอบ “ความต้องการ” ของหนอนกู่ ต้องรับพิษร้ายเข้าร่างกายทุกวัน ต้องอยู่ใต้เตียงชั่วขณะหนึ่งทุกวัน ต้องโต้ตอบกับไป๋จีทุกวัน ต้องโต้ตอบกับแม่ม้าน้อยทุกวัน ต้องกินข้าวตรงเวลาทุกวัน ปริมาณข้าวเยอะมาก ทุกปีจะได้พบเห็นกระดูกที่หนาวตายอยู่ข้างทาง จากนั้นก็ใช้ซือกู่ควบคุมพวกเขา ให้ศพขุดสุสานเพื่อฝังตนเอง มีเพียงฉิงกู่ที่ถูกสกัดกั้นไว้ชั่วคราว รอท่านน้าคู่บำเพ็ญมาบำเพ็ญคู่กับเขา ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว ท่านราชครูน่าจะหายโกรธแล้วกระมัง…สวี่ชีอันขอให้ท่านน้าเป็นคนใจกว้าง การอับอายต่อหน้าผู้คนนี้ หลายๆ ครั้งก็จะชินไปเอง อย่าใส่ใจขนาดนั้นเลย

ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้ เขาอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกสงบสุข ไม่อยากไปจากที่นี่ รู้สึกแต่ว่าโลกภายนอกเป็นห้วงแห่งความทุกข์ พื้นที่ใต้เตียงเป็นแดนสุขาวดีที่มีความสุขที่สุด

ในเวลานี้ หางตาเขาเห็นที่ข้างเตียงมีรองเท้าสีขาวเพิ่มมาอีกคู่หนึ่ง

“ใครกัน?”

สวี่ชีอันใจหายวาบตามสัญชาตญาณ ร่างกายหลบเข้าไปในเงามืดทันที ไม่ได้ขยับไปข้างหน้า นี่เป็นการยกระดับหลังการเลื่อนขั้นของอั้นกู่

เวลาต่อมา เขาโผล่ออกมาจากเงามืดข้างโต๊ะ เมื่อเพ่งดู คือซุนเสวียนจี

“เฮ้อ…”

เขาถอนหายใจไปพร้อมกับต่อว่าอีกฝ่ายว่า “ศิษย์พี่ซุน ทำไม่ท่านถึงไม่บอกกล่าวล่วงหน้า?”

ความจริงแล้วเขาสามารถเดาได้ว่าเป็นซุนเสวียนจี แต่ความฝังใจที่สวี่ผิงเฟิงทิ้งไว้ให้เขานั้นหนักหนาสาหัสจริงๆ อีกอย่างก็เป็นเพราะในจิตใต้สำนึกท่านโหราจารย์มีการต่อต้านโหรชุดขาวอย่างรุนแรง

หากอยู่ในสถานการณ์ปกติก็ค่อยยังชั่ว ในเวลาที่สงบที่สุดผ่อนคลายที่สุด แล้วปรากฏตัวฉับพลันเช่นนี้ ก็จะกระตุ้นความในใจที่แท้จริงออกมาทันที

ซุนเสวียนจีเหลียวซ้ายแลขวา เดินตรงไปที่ข้างโต๊ะหนังสือ รินน้ำแล้วฝนน้ำหมึก

เขาไม่คิดที่จะเอ่ยปากจริงๆ หรือ? สีหน้าสวี่ชีอันเคร่งเครียด กระทืบเท้าตามไป

ฝนน้ำหมึกเสร็จแล้ว ซุนเสวียนจียกปากกาขึ้นเขียน

“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีปราณมังกรสองสาย หนึ่งในเก้าปราณมังกร อาศัยอยู่ในร่างของลูกๆ ของเฉาชิงหยาง…”

ปราณมังกรแห่งเจี้ยนโจวอยู่กับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จริงๆ ด้วย! สวี่ชีอันไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเรื่องนี้ เพราะเคยคาดเดาเช่นนี้มาก่อน ตอนนี้เป็นเพียงการยืนยันการคาดเดาเท่านั้น จึงไม่รู้สึกประหลาดใจ

“สายสืบของตำหนักความลับสวรรค์ได้ส่งข่าวออกไปแล้ว”

บุตรในเงามืดของตำหนักความลับสวรรค์มีอยู่ทั่วไปในภาคกลางจริงๆ บุตรในเงามืดของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลน่าจะแข็งแกร่งกว่า แต่ไม่รู้ว่าเว่ยกงนำพวกเขาส่งต่อให้ใครแล้ว…อีกอย่าง เครือข่ายข่าวกรองของสำนักโหราจารย์ก็เก่งกาจมาก…สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย

“รู้แล้ว พวกเราไปรับปราณมังกรตอนนี้เลย รีบไปก่อนคนของตำหนักความลับสวรรค์”

ซุนเสวียนจีไม่ได้ตอบรับ แต่เขียนต่อว่า

“หลังจากรับปราณมังกรเสร็จแล้วเล่า?

“สำนักพุทธและตำหนักความลับสวรรค์เป็นพันธมิตรกันแล้ว ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องมาที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เวลานี้สภาวะของผู้นำพันธมิตรคนเก่าแย่มาก กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่สามารถต้านทานตำหนักความลับสวรรค์ และสำนักพุทธได้แน่นอน และอาจยังมีสำนักพ่อมดอีกด้วย

“พวกเขารู้ว่าปราณมังกรถูกรับไป ไม่สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาจะไม่ฉวยโอกาสกำจัดกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เพื่อระบายความแค้น

“อาจารย์โหราจารย์ ให้ข้านำเจิ้นกั๋วเจี้ยนมาให้เจ้า”

“อ้อ?” สวี่ชีอันจ้องหน้าซุนเสวียนจีนิ่ง ถามหยั่งเชิงว่า

“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นหมากของท่านโหราจารย์?”

สำหรับคำถามนี้ คำตอบของซุนเสวียนจีคือ “ข้าไม่รู้”

สวี่ชีอันเก็บความรู้สึกดูแคลน รีบใช้สมอง ในความทรงจำของเขา ท่านโหราจารย์เป็นมือมืดที่อยู่เบื้องหลัง ความบานปลายของเรื่องราวมากมายล้วนมีเขาเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นความลับอย่างยิ่ง

จนบางครั้งก็ไม่ทันสังเกตเห็นการปลุกปั่นของท่านโหราจารย์ จะต้องทบทวนบ่อยๆ เพิ่มการคาดเดาในระดับหนึ่ง

นี่เป็นทั้งความน่ากลัวของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า และเป็นขีดจำกัดของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า

น้อยมากที่ท่านโหราจารย์จะทำการให้ของขวัญตรงๆ แบบนี้

นี่เป็นการบ่งบอกถึงอะไร?

ความวุ่นวายที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ครั้งนี้ อาจจะอันตรายมาก และเขาไม่มีไพ่ตายที่จะสามารถโต้ตอบได้ ท่านโหราจารย์จึงต้องดึงเบี้ยออกมาให้เขาด้วยตัวเอง

“ช้าก่อน ข้าขอตรวจสอบสักครู่”

สวี่ชีอันหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา หยิบผ้ายันต์ป้องกันตัวที่ราชครูมอบให้ออกมา ความคิดจมอยู่ในนั้น สอบถามในระยะไกล

“ท่านราชครู ข้าคือสวี่ชีอัน มีเรื่องด่วน”

ส่วนคำสั่งธาราทมิฬนั้นเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างพรรค เป็นคำสั่งสำคัญมาก

คำสั่งธงแดงนั้นใช้น้อยมาก เพราะจะใช้เมื่อผู้นำพันธมิตรเรียกพรรคใหญ่ทุกพรรคมาชุมนุมกันร่วมกันป้องกันการจู่โจมของศัตรูเท่านั้น

พูดสั้นๆ ง่ายๆ คำสั่งธงแดง ก็คือตราประทับของแม่ทัพ ใช้ในการเรียกกองกำลังนั่นเอง

ครั้งก่อนที่ใช้คำสั่งธงแดง คือตอนที่แย่งชิงเมล็ดบัวนั่นเอง

สาวงามส่ายหน้า น้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“สรุปว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

นางหวดแส้ครั้งหนึ่ง ตามเซียวเยว่หนูที่อยู่ข้างหน้า พูดเสียงต่ำว่า

“ผู้ดูแลหอ หลายวันมานี้ ผู้ประสบภัยทะลักเข้ามาในเจี้ยนโจวไม่หยุด ทางการรับภาระไม่ไหว ผู้ประสบภัยที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ ก็ไปเป็นโจรระเหเร่ร่อน ทุกพื้นที่ในเจี้ยนโจวล้วนได้รับผลกระทบ ท่านว่าผู้นำพันธมิตรเรียกพวกเรามาชุมนุม เพื่อหารือเรื่องการจัดการกับผู้ประสบภัยใช่หรือไม่?”

หากเป็นกลุ่มอิทธพลในยุทธภพที่อื่นจะไม่มีจิตสำนึกเช่นนี้ แต่พรรคในยุทธภพเจี้ยนโจว ยังคงดำรงประเพณีในการรักษาระเบียบไว้

“ไม่ใช่เรื่องของผู้ประสบภัย”

เซียวเยว่หนูส่ายหน้าเล็กน้อย ใบหน้าของนางครึ่งหนึ่งถูกปิดบังด้วยผ้าไหม จมูกโด่งและเค้าโครงใบหน้างดงาม ดวงตาของนางสดใสมีชีวิตชีวา ราวกับหยดน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ผิวขาวผ่องสามารถเปรียบเทียบกับผ้าไหมสีขาว

“เมื่อครู่ตอนที่เดินทางผ่านทหารรักษาดินแดน กองกำลังป้องกันนอกเมืองเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า หน่วยสอดแนมที่ส่งไปปฏิบัติงานต่างเมืองก็มากขึ้นเช่นกัน”

เสียงเซียวเยว่หนูมีแรงดึงดูดของสาวที่โตเต็มวัยทั้งนุ่มนวลและไพเราะ “ผู้ประสบภัยจะไม่ทำให้กองบัญชาการทำการตอบสนองเช่นนี้ น่าจะมีศัตรูภายนอกแอบสังเกตการณ์อยู่รอบๆ”

ศัตรูภายนอก…ในใจของสาวงามรู้สึกหนาวยะเยือก นางรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ตั้งตระหง่านอยู่ในเจี้ยนโจวมาหลายร้อยปี หลายปีมากแล้วที่ไม่มีคนกล้าท้าทายความยิ่งใหญ่เช่นนี้

มองไปรอบๆ ภาคกลาง ผู้ที่สามารถคุกคามกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้ มีเพียงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เท่านั้น

หรือว่าหลังจากจักรพรรดิพระองค์ใหม่เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว จะใช้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มาสร้างบารมี? แต่เพราะอะไรกัน กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กับจักรพรรดิหนุ่มพระองค์นั้นต่างคนต่างอยู่ จะสร้างบารมีก็สร้างไม่ถึงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

นางมองเซียวเยว่หนู ดวงตาสดใสงดงามคู่นั้นไม่มีแววหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เช่นนี้จึงทำให้ในใจของหญิงงามสงบลงเล็กน้อย

นางเห็นผู้ดูแลหอเติบโตมากับตา เป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่มีไหวพริบและความคิดมาตั้งแต่เด็ก ขณะที่เด็กผู้หญิงในวัยเดียวกันเล่นตุ๊กตา กินถังหูลู่ นางก็เริ่มครุ่นคิดถึงอนาคตของตัวเอง อนาคตของสำนักแล้ว แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและความเป็นผู้ใหญ่ที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

เพียงแต่ความงามของนาง มักจะทำให้คนมองข้ามความฉลาดของนาง

หญิงงามรู้สึกว่าจะโทษผู้ชายความคิดตื้นเขินพวกนั้นก็ไม่ได้ เพราะผู้ดูแลหอจะใช้ผ้าปิดบังใบหน้าตลอดปี เพราะสวยเกินไป จึงต้องปิดบังไว้

จำได้ว่าตอนนางอายุสิบเอ็ดปี ก็เริ่มสะโอดสะองหน้าตาดี รูปร่างเริ่มมีทรวดทรงองค์เอว มีทั้งความงามสดใสแบบสาวรุ่น และมีเสน่ห์ดึงดูดแบบสาวที่โตเต็มวัย

ในเวลานั้นผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เห็นแล้วก็ชื่นชอบนางทันที พยายามทุกวิถีทางที่จะรับเซียวเยว่หนูมาป็นอนุภรรยา ในเวลาเดียวกันนั้นรองผู้นำพันธมิตรอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ผู้หญิงอะไรก็หาไม่ได้ และยังคงไม่สามารถต้านทานความงามของเซียวเยว่หนูได้เหมือนเดิม สุดท้ายจากการแทรกแซงของอดีตผู้นำพันธมิตร หอหมื่นบุปผาจึงได้พิทักษ์นางไว้

“เจ้าให้ศิษย์สาวทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม หากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต้องพบกับศัตรูที่มีกำลังมากจริงๆ เจ้าก็ให้พวกนางกลับสำนักไป”

เซียวเยว่หนูพูดเสียงเบา

“รับทราบ!”

หญิงงามรู้ว่านางกำลังปกป้องลูกหลานของสำนักไว้ ลูกศิษย์สาวมีกำลังในการรบจำกัด หากศัตรูเข้มแข็งมาก การเก็บเชื้อไฟเอาไว้ ยังดีกว่าทิ้งไว้เป็นซากที่ถูกยิงด้วยปืนใหญ่

ไม่นาน บรรดาหญิงสาวของหอหมื่นบุปผาก็ปีนขึ้นมายังภูเขาเฉวี่ยนหรง ขึ้นไปตามบันได มาถึงลานกว้างของจวนเจ้าเมือง

ที่นี่ มีผู้คนรวมตัวกันมากกว่าหนึ่งพันคน

………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง