ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 619

บทที่ 619 ศัตรูมาถึง

“น้องหยวนซวง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือโชคชะตา?”

จีเสวียนยืนหยัดอย่างภาคภูมิอยู่บนเรือกลางอากาศที่สูงหลายพันจั้ง พลางมองดูผืนดินอันกว้างใหญ่

ลมพัดกรรโชกโหยหวน แต่พลังปราณที่เขาหนุนขึ้นมาสามารถขวางกั้นไว้ได้ถึงสามจั้ง

สวี่หยวนซวงก็อยู่ในขอบเขตที่พลังปราณกั้นขวางด้วยเช่นกัน สาวน้อยคนงามถอนสายตากลับมาแล้วหันไปมองญาติผู้พี่ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ท่านนัดข้าออกมาเพื่อถามเรื่องนี้หรือ”

พลังปราณกีดขวางจำกัดบทสนทนาของทั้งสองให้อยู่ภายในขอบเขตรัศมีสามจั้งเท่านั้น

จีเสวียนหรี่ตาลง บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยนดังเดิม เขาเอ่ยขึ้นว่า

“ข้าไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่ จึงอยากจะยืนยันสักหน่อย”

สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจคำพูดประโยคนี้ของเขา จึงคิดทบทวนแล้วเอ่ยว่า

“สรรพสิ่งทั่วโลกล้วนมีชะตากรรม ชะตากรรมของแต่ละตนล้วนแตกต่างกัน มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ใบหญ้า ยากจน ร่ำรวย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวตัดสินความมากน้อยของชะตากรรม ราชวงศ์ก็มีชะตากรรมเช่นกัน แต่จากคำพูดของโหร สิ่งนี้เรียกว่าโชคชะตา”

จีเสวียนเก็บรอยยิ้มและทอดมองไปไกล ผ่านไปพักหนึ่ง จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า

“สิ่งที่พี่เจ็ดอยากถามก็คือ โชคชะตาและชะตากรรม เหมือนกันหรือไม่”

สวี่หยวนซวงพยักหน้า “ลักษณะนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อนำชะตากรรมของคนผู้หนึ่งไปเทียบกับชะตาของอาณาจักรแล้ว ก็เปรียบดังน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร”

จีเสวียนไม่พูดอะไรอีก แล้วมองไปไกลยิ้ม

“มาถึงภูเขาเฉวี่ยนหรงแล้ว!”

เซียวเยว่หนูกวาดตามอง เห็นสำนักใหญ่ที่รุ่งโรจน์อย่างกลุ่มหมัดเทพเจ้าและสำนักโม่ ทั้งยังเห็นสำนักที่มีพลังอำนาจต่ำลงมาด้วย

จำนวนคนที่มากสุดของพวกเขาอยู่ที่หลายสิบคน น้อยสุดไม่ถึงสิบคน ตอนนี้ล้วนแห่กันมาเพราะชื่อเสียง

เหล่าจอมยุทธแห่งยุทธภพมารวมตัวกันที่ลานกว้าง แววตาของแต่ละคนสว่างไสว ต่างก็จับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวจากหอหมื่นบุปผาไม่วางตา

ในจำนวนนั้น สายตาที่มองพินิจมายังเซียวเยว่หนูมีมากที่สุด

ในฐานะที่เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเจี้ยนโจว ไม่ว่าเซียวเยว่หนูจะเดินไปที่ใด ล้วนเป็นจุดสนใจอย่างที่สมควรจะได้รับแล้ว

หากมีดีเพียงแค่ความงาม ก็จะชักนำความโลภและการดูหมิ่นดูแคลนจากบุรุษ แต่ในขณะเดียวกัน เซียวเยว่หนูก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ด้วย

เมื่อพูดถึงพลังต่อสู้ของคนผู้หนึ่ง เหล่าหัวหน้า เจ้าสำนัก และเจ้าลัทธิที่นั่งอยู่ล้วนไม่มีใครกล้าพูดว่าสามารถเอาชนะนางได้โดยง่าย

เมื่อมีการฝึกตนที่แข็งแกร่งเป็นรากฐานและมีรูปลักษณ์ที่สวยงามเป็นของตกแต่ง เท่านี้ก็ทำให้นางกลายเป็นหญิงงามในฝันของเหล่าจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวได้แล้ว

“ทุกท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดหรือ”

เซียวเยว่หนูไล่สายตามอง เสียงที่นุ่มนวลและทรงเสน่ห์ดังออกมาจากใต้ผ้าคลุมหน้า

“ผู้นำพันธมิตรเฉาไปที่หลังเขาแล้ว”

“ผู้นำพันธมิตรไม่อยู่ในจวน ออกไปได้สักครึ่งชั่วยามกว่าๆ แล้ว”

“ผู้ดูแลหอเซียวมาที่นี่ ระหว่างทางพบเจอเรื่องผิดปกติบ้างหรือไม่”

เหล่าวีรบุรุษจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เริ่มเปิดบทสนทนา ประโยคโหวกเหวกมากมายล้วนดังขึ้นมาติดๆ กัน

อีกด้านหนึ่ง ในหมู่คนจากสำนักโม่ อาจารย์ของคุณชายหลิ่วชำเลืองมองศิษย์ของตน และพบว่าเจ้าลูกศิษย์ไม่เอาไหนคนนี้กำลังจ้องมองไปยังเซียวเยว่หนูผู้งดงามไร้ใดเปรียบอย่างลุ่มหลง

ทันใดนั้นเขาก็พลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วตะคอกใส่ว่า

“ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็ควรสนใจแม่นางหรงหรงให้มากหน่อย ข้าจะได้หาเหตุผลไปที่หอหมื่นบุปผาเพื่อขอแต่งภรรยาให้เจ้า”

เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นบิดาตลอดชีวิต ในเมื่อเป็นอาจารย์ ก็ย่อมต้องเป็นกังวลกับเรื่องการแต่งงานของลูกศิษย์อยู่แล้ว

ผลก็คือเจ้าลูกศิษย์ไม่เอาไหนผู้นี้กลับหลงใหลเซียวเยว่หนูแทบบ้า กลับไม่คิดเสียบ้างว่าคางคกอย่างเขาจะคาบหงส์มาไว้ในปากได้หรือไม่?

คุณชายหลิ่วเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย

“อาจารย์ ตัวท่านเองก็ยังไม่ได้แต่งภรรยาสักหน่อย ท่านรีบหาอาจารย์แม่ให้ข้าก่อนเถอะ”

อาจารย์ของคุณชายหลิ่วกล่าว

“อาจารย์เป็นมือกระบี่ มีแค่กระบี่ก็พอแล้ว และมีเพียงการปฏิบัติต่อกระบี่ด้วยใจจริงเท่านั้น กระบี่จึงจะซื่อสัตย์จริงใจต่อเจ้า หนทางยาวไกล มีเพียงกระบี่เป็นสหายคู่กาย เจ้าเข้าใจหรือไม่”

ขณะที่เอ่ย เขาก็แตะกระบี่ที่ห้อยอยู่ที่เอวอย่างน่าเวทนา

กระบี่เล่มนี้คือของที่สำนักโหราจารย์มอบให้เขาแทนฆ้องเงินสวี่

คุณชายหลิ่วเอ่ยเสียงค้านเล็กเสียงน้อย

“ท่านอาจารย์ กระบี่เล่มนี้เป็นของข้า”

“อาจารย์กล่าวแล้วมิใช่หรือ พออาจารย์สิ้นแล้ว กระบี่เล่มนี้จึงจะถูกส่งมอบให้เจ้า”

มือกระบี่วัยกลางคนจ้องเขม็งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าจะต้องปฏิบัติต่อมันอย่างจริงใจ”

“ข้าจะเป็นเช่นท่านอาจารย์ ปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นภรรยา” คุณชายหลิ่วเลียริมฝีปาก

เมื่อเอ่ยจบ สองศิษย์อาจารย์ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูแล้วรู้สึกผิดปกติไปหน่อย จึงมองหน้ากันแล้วพากันเงียบ

ตอนนี้เอง ข้างในจวนผู้นำพันธมิตรก็มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา ทั้งสง่างาม เรียบง่าย และมีท่าทางราวกับปัญญาชน

เขาสวมชุดคลุมสีดำปักดิ้นเงินดิ้นทองและสวมกวานทองคำ การแต่งตัวประณีตงดงามยิ่ง

นั่นคือรองผู้นำพันธมิตรของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เวินเฉิงปี้

ภายในของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใช้ระบบทหารแบบเดียวกับผู้นำพันธมิตรคนเก่าในอดีตโดยสมบูรณ์ เพียงแต่ปรับแต่งชื่อเรียกตำแหน่งเท่านั้น

แม่ทัพใหญ่เปลี่ยนเป็น ‘ผู้นำพันธมิตร’

รองแม่ทัพและเสนาธิการเปลี่ยนเป็น ‘รองผู้นำพันธมิตร’

รองผู้นำพันธมิตรของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในอดีต หลักๆ แล้วเป็นปัญญาชนทั้งนั้น โดยจะมุ่งเน้นไปที่ความเฉลียวฉลาด ไม่ใช่กำลังต่อสู้

“ผู้นำพันธมิตรเฉากลับมาแล้ว ทุกท่าน โปรดตามข้าเข้ามาข้างใน”

เวินเฉิงปี้ยืนอยู่หน้าประตูจวนแล้วคำนับให้ทุกคน

ท่ามกลางความเงียบ เจ้าลัทธิและหัวหน้ากลุ่มที่อยู่ตรงนั้นก็เดินออกมาคำนับให้ แล้วพากันเข้าไปในจวน

ส่วนพวกลูกศิษย์นั้นอยู่ข้างนอก

เซียวเยว่หนูเข้าไปในจวนผู้นำพันธมิตรพร้อมกับกลุ่มผู้นำและเดินมาถึงยังโถงประชุมใหญ่

เฉาชิงหยางมีผู้มีใบหน้าเหลี่ยมคมแบบกระบี่และมีบุคลิกเข้มงวดสวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อนและนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ จากนั้นก็มองมายังฝูงชนที่มารวมตัวกัน

หลังจากทุกคนเข้ามานั่งที่พร้อมแล้ว เขาก็เอ่ยเสียงขรึม

“ทุกท่าน กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังจะต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่แล้ว”

เมื่อเหล่าหัวหน้าทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็แลกเปลี่ยนสายตากันเงียบๆ ราวกับได้คาดคิดเอาไว้แล้ว จึงไม่ได้ตื่นตะลึงมากเกินไป

ผู้นำของสำนักขนาดกลางและเล็กไม่กล้าเอ่ยอะไร ได้แต่อยู่ในความเงียบสงบ

ในโอกาสเช่นนี้ ทุกคนเพียงแค่ต้องนิ่งเงียบและรอให้ฟู่จิงเหมินเอ่ยปาก

หนึ่งในบรรดาผู้นำของเก้าสำนักใหญ่ ฟู่จิงเหมินผู้สวมชุดรัดรูปสีฟ้าอ่อนก็เอ่ยเสียงดัง

“คนตาบอดที่ไหนกันที่อยากจะยั่วยุกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของเรา สู้กลับไปก็จบแล้ว ถึงเป็นกองทัพของราชสำนัก พวกเราก็ไม่กลัว”

เมื่อหัวข้อสนทนาถูกเปิดแล้ว เซียวเยว่หนูก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“เกรงว่าจะไม่ใช่ราชสำนักน่ะสิ”

ฟู่จิงเหมินขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใด”

ชายอ้วนท้วนวัยกลางคนที่นั่งเยื้องตรงข้ามกับเขาแค่นเสียงหยันแล้วชี้นิ้วไปที่ศีรษะ ก่อนจะเอ่ยว่า

“ใช่สมองที่รู้จักแต่ต่อยตีของเจ้าคิดดูสิ ภัยหนาวโหมกระหน่ำเช่นนี้ ราชสำนักกำลังยุ่งอยู่กับการรักษาเสถียรภาพในแต่ละด้านและปลอบโยนราษฎร แล้วจะมาสร้างปัญหาให้พวกเราในช่วงวิกฤตเช่นนี้ได้อย่างไร”

ชายอ้วนท้วนผู้นี้คือผู้นำสมาคมการค้าเจี้ยนโจว นามเฉียวเวิง

ค่าใช้จ่ายในเมืองทหารที่เชิงเขาเฉวี่ยนหรงนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมาจากสมาคมการค้าเจี้ยนโจวแห่งนี้

สมาคมการค้าคือกระเป๋าเงินของภูเขาเฉวี่ยนหรง

ฟู่จิงเหมินหันไปมองเฉาชิงหยางทันที ฝ่ายหลังพยักหน้าให้แล้วกวาดตามองทุกคนอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง