ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 620

บทที่ 620 โจมตีภูเขา

ทุกคนทั้งตื่นตะลึงและโกรธเกรี้ยว คิดไม่ถึงว่าศัตรูจะมาถึงเร็วขนาดนี้โดยไม่ให้โอกาสได้ตอบสนองเลยแม้แต่นิด

ครู่ก่อนพวกเขายังปรึกษากันอยู่ในโถงอยู่เลย แต่ครู่ต่อมาอีกฝ่ายก็ยกมาบุกถึงหน้าประตูแล้ว

“สารเลว กล้ามารบกวนการปิดด่านกักตนของผู้นำพันธมิตรเฒ่า”

อารมณ์ฟู่จิงเหมินรุนแรงมาก

หานเซีย เจ้าสำนักเฉียนจีมองไปบนฟ้า เขาหรี่ตาลงและพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“บนฟ้ามีอาวุธเวทมนตร์บินได้”

เฉาชิงหยางและบุคคลระดับสูงคนอื่นๆ พากันเงยหน้ามองตาม และเห็นจุดสีดำจุดหนึ่งอยู่บนฟ้าสีครามจริงๆ

แม้จะมองด้วยดวงตาระดับพวกเขา ก็มองเห็นแต่เพียงอาวุธเวทมนตร์รูปทรงเรือได้อย่างไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก

‘อาวุธเวทมนตร์บินได้’…เฉาชิงหยางใจตกไปที่ตาตุ่ม แต่ก็ไม่ได้ลนลาน เขาอยู่ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ซึ่งมีการตั้งจุดตรวจและหน่วยสอดแนมอยู่ บนภูเขาก็มีกับดักหน้าไม้หลายแห่งตั้งอยู่

ทหารม้าในทัพก็พร้อมรบแล้ว สามารถรุกเข้าโจมตี และถึงถอยก็เข้ามาในภูเขาเพื่อต้านศัตรูได้

เมื่อยอดฝีมือภายในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และทหารภายในร่วมมือกันก็สามารถเกิดเป็นพลังต่อสู้อันน่าทึ่งได้

“หมิงจิ้น!”

เฉาชิงหยางหันหน้าไปออกคำสั่งกับเวินเฉิงปี้ผู้เป็นรองผู้นำพันธมิตร จากนั้นก็หันไปมองทุกคน

“พวกเจ้าเก้าคนตามข้าไปต้านศัตรูที่ภูเขาด้านหลัง คนที่เหลือเรียกลูกศิษย์มารวมตัวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูคนอื่นฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายได้”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็กระโดดขึ้นหลังคาแล้วมองลูกศิษย์ของแต่ละสำนักที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ในลานกว้างนอกจวน

ถ้าหากจำนวนของศัตรูไม่มาก แต่ล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นสูง เช่นนั้นศิษย์เหล่านี้ก็ยังสามารถรักษาชีวิตได้ เพียงแค่ดูอยู่ข้างๆ ก็พอ

จากนั้นไม่ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะชนะหรือแพ้ ก็ล้วนไม่เกี่ยวกับลูกศิษย์ระดับล่างพวกนี้แล้ว

ถ้าหากผู้ที่อยู่บนเรือบินได้นั่นคือกลุ่มแนวหน้าระดับสูง และเบื้องหลังยังมีกองกำลังศัตรูขนาดใหญ่อยู่อีก เช่นนั้นเหล่าศิษย์ที่อยู่นอกลานกว้างและศิษย์สายตรงของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ก็ต้องเผชิญกับหายนะความเป็นความตายเสียแล้ว

ฟู่จิงเหมิน เซียวเยว่หนู และเจ้าสำนักต่างๆ ทั้งเก้าคนพุ่งไปทางภูเขาด้านหลังตามเฉาชิงหยาง

พวกเขาล้วนแต่สามารถบินกลางอากาศได้ในเวลาสั้นๆ แต่ผู้ที่มีทักษะร่างกายคล่องแคล่วว่องไวที่สุดคือเจ้าสำนักครรลองเทพ เจ้าสำนักผู้นี้มีร่างกายผอมบาง เขาไม่ได้บินกลางอากาศ แต่ใช้การเหยียบยอดไม้แทน

ทุกครั้งที่ปลายเท้าแตะลงบนยอดไม้อย่างแผ่วเบา ร่างกายก็จะพุ่งไปราวกับลูกศรคมกริบ เมื่อแรงส่งอ่อนกำลังลง ก็แตะปลายเท้าที่ยอดไม้ เป็นเช่นนี้วนเวียนไป ความเร็วจึงไม่น้อยไปกว่าการบินกลางอากาศของเหล่าจอมยุทธ์ขั้นสี่เลย

ไม่นานนัก ในที่สุดก็มาถึงด้านหลังเขา เสียงร้องของสัตว์ดังลั่นไม่หยุด พร้อมกับเสียงระเบิดของพลังปราณที่ดังมาเป็นระลอกๆ

พวกเฉาชิงหยางยืดตัวสูงขึ้นและพาร่างกระโดดขึ้นไปบนฟ้าเพื่อมองดูสถานการณ์ที่ด้านหลังเขา

พวกเขาเห็นด้านหน้าประตูหินผามีสัตว์ประหลาดลำตัวยาวประมาณสี่จั้ง รูปร่างเหมือนสุนัข กำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับมนุษย์ร่างสีทองผู้หนึ่ง

มันมีใบหน้าเหมือนมนุษย์ แต่ทั่วกายปกคลุมด้วยขนสั้นๆ สีดำ นัยน์ตาสีแดงก่ำทั้งสองข้างเหมือนกับโคมมังกรสีแดงสองดวง

‘โฮก!’

เฉวี่ยนหรงพุ่งเข้าใส่เงาร่างสีทองและพยายามจะฉีกทึ้งร่างของเขา

ร่างสีทองนั้นว่องไวไม่สามัญเหนือความคาดหมาย ในขณะที่เหวี่ยงและหมุนตัว เขาก็สามารถหลบพ้นคมเขี้ยวที่กัดและมือที่ตะปบในแต่ละครั้งของเฉวี่ยนหรงได้

‘ปัง ปัง ปัง…’

หินแข็งแตกหักเป็นชิ้นๆ เมื่อถูกเฉวี่ยนหรงตะปบเข้า เงาร่างสีทองนั้นสบโอกาสได้ จึงไถลร่างของตนผ่านใต้ท้องของเฉวี่ยนหรงแล้วมาโผล่อยู่ข้างตัวมันในชั่วพริบตา

‘แคร่ก!’

เงาร่างสีทองเหยียบลงบนพื้นแล้วกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งไปยังประตูหิน ราวกับจะทุบมันออกเป็นเสี่ยงๆ

‘โครม!’

เสียงกระแทกที่ทำให้ใจของทุกคนตกไปอยู่ที่ตาตุ่มดังขึ้น เงาร่างสีทองกระเด็นออกมา และสิ่งที่โจมตีเขาก็คือหางหนาหนักทั้งหกของเฉวี่ยนหรงนั่นเอง

จิ้งหยวนกระเด็นจนทุบทำลายต้นไม้ใหญ่หลายต้น สุดท้ายก็ยั้งร่างของตัวเองไว้ได้ เขาฉีกเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งออกอย่างลวกๆ เผยให้เห็นร่างกายงดงามแข็งแรงราวกับรูปหล่อทองคำ

หลังจากเฉวี่ยนหรงโจมตีศัตรูแล้ว มันก็เงยหน้าขึ้นกู่ร้องก้อง ประกาศความเกรี้ยวโกรธาออกมา คลื่นเสียงสะเทือนไปทั่วทั้งเทือกเขาภูเขาเฉวี่ยนหรง

‘พลั่ก พลั่ก’…พวกเฉาชิงหยางลงมาบนพื้นแล้วมายืนอยู่ข้างตัวเฉวี่ยนหรง ด้านหนึ่งปลอบโยนสัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์ อีกด้านก็เอ่ยพูดว่า

“พลังเทพวชิระ เป็นคนจากสำนักพุทธจริงๆ ด้วย”

“อ่า จอมยุทธ์ภิกษุขั้นสี่อย่างนั้นหรือ หัวหน้าใหญ่ยังไม่ลงมา เช่นนั้นจะให้ใครไปจัดการเขาดี”

เจ้าสำนักครรลองเทพก้าวออกมาแล้วเอ่ยเสียงนิ่ง

“วิชาของข้าสามารถต่อต้านเขาได้ ข้าจะไปเอง…”

พูดยังไม่ทันจบ เจ้าลัทธิในชุดเหล็กก็เอ่ยแทรกอย่างไม่สบอารมณ์นัก

“ล้อมเขาไว้เลยดีกว่า พวกเจ้าสำนักครรลองเทพหนีเอาชีวิตรอดเก่งนัก แต่สู้กันไม่เก่ง คนอื่นเขายืนนิ่งปล่อยให้เจ้าตี ต่อให้เจ้าหัวโล้นก็ยังทำลายเส้นผมของคนอื่นเขาไม่ได้แม้แต่เส้นเดียว”

นี่คือวีรบุรุษที่ราวกับหอเหล็ก ขนาดตัวไม่สูงนัก แต่พลังในแนวราบน่ากลัวไม่น้อย

‘เดิมทีภิกษุก็ไม่มีผมอยู่แล้ว’…เจ้าสำนักครรลองเทพเอ่ยพึมพำอยู่ในใจแต่ไม่ได้ดึงดันกับความคิดของตัวเอง เพราะสิ่งที่คนเหล็กผู้ไม่เป็นสองรองใครกล่าวมานั้นเป็นความจริง

“โหยวสือ ระวังด้วย”

เฉาชิงหยางกล่าวคำหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองเรืออวี่เฟิงที่อยู่บนฟ้าอย่างระแวดระวัง

มีเรื่องน่าอึดอัดมากอยู่เรื่องหนึ่ง แม้ว่าจอมยุทธ์ขั้นสี่จะสามารถบินอยู่บนอากาศได้เป็นเวลาสั้นๆ แต่ระดับความสูงและความเร็วนั้นมีจำกัด เห็นได้ชัดว่าเรืออวี่เฟิงมีความสูงอยู่เหนือขีดจำกัดที่จอมยุทธ์ขั้นสี่จะเอื้อมไปถึงได้

“ท่านผู้นำพันธมิตรวางใจเถิด ข้าอยากจะรู้มานานแล้วว่าพลังเทพวชิระของสำนักพุทธแข็งแกร่ง หรือว่าพลังเทพคุ้มกายาจากสำนักอาภรณ์เหล็กของข้าแข็งแกร่งกว่า”

โหยวสือผู้แข็งแรงกำยำและมีดวงตาเป็นประกายจ้องเขม็งไปยังเงาร่างสีทองที่อยู่ในป่าทึบไกลๆ

จิ้งหยวนยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่แตกหักพลางจ้องมองคนจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แววตาเย็นชาและเย่อหยิ่งราวกับมองไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา

‘ช่างเป็นภิกษุที่บ้าบอสิ้นดี…’ พวกเซียวเยว่หนูพากันขมวดคิ้ว

เสียงตึงๆๆ ดังขึ้น โหยวสือวิ่งตะบึงออกไปแล้วกระโดดขึ้นมากลางอากาศ ก่อนจะพุ่งเข้าหาจิ้งหยวนราวกับเป็นอุกกาบาตลูกหนึ่ง

‘โครม!’

โหยวสือชกจิ้งหยวนเข้าที่แก้มจนร่างของเขาถูกเหวี่ยงกระเด็นไปข้างหลัง เมื่อเขากำลังจะล้มลงบนพื้น จิ้งหยวนก็งอหลังแล้วเอนตัวด้วยท่าทางเหนือจริงราวกับเป็นตุ๊กตาล้มลุก จากนั้นก็เด้งกลับมายืนตรงเหมือนเดิม

‘โครม!’

เสียงก้องสนั่นดังขึ้นอีกแล้ว โหยวสือรู้สึกเจ็บที่หน้าผาก สมองเข้าสู่สภาวะมึนงงในชั่วพริบตา จากนั้นร่างก็กระเด็นไปข้างหลัง

ส่วนจิ้งหยวนที่ต่อยคู่ต่อสู้กระเด็นก็เพียงแค่ลูบหน้าผากของตัวเองเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยสำเนียงภาษากลางไม่ค่อยได้มาตรฐานนัก

“อีกแค่นิดเดียว”

พวกหยางซุยเสวี่ยและจอมยุทธ์ขั้นสี่ทั้งหลายเผยสีหน้าจริงจังขึ้น แค่เพียงการประมือเมื่อสักครู่ก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าร่างกายของโหยวสือนั้นด้อยกว่าจอมยุทธ์ภิกษุจากสำนักพุทธเป็นเท่าตัว

แน่นอนว่าโหยวสือยังการออมมืออยู่และไม่ได้พุ่งพรวดไปด้วยพลังเต็มที่ แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าจอมยุทธ์ภิกษุผู้นี้ใช้พลังทั้งหมดแล้วหรือยัง

‘เป็นแค่จอมยุทธ์ภิกษุที่มารบในแนวหน้าเท่านั้น แต่ก็มีพลังฝึกตนถึงขั้นนี้แล้ว…’ เฉาชิงหยางเงยหน้ามองแล้วเอ่ยเสียงกระจ่างชัด

“สหายบนเรือ ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดจึงทำตัวซ่อนหัวโผล่หางเช่นนี้ด้วยเล่า”

เสียงกระจ่างใสสะท้อนก้อง

ชั่วขณะหนึ่ง ราวกับเป็นการตอบรับเสียงเรียกของเขา เงาร่างห้าร่างจึงกระโจนลงมาจากเรืออวี่เฟิง

พวกเขาบางคนเป็นภิกษุหนุ่มที่สวมชุดนักบวช หว่างคิ้วอ่อนโยน ใบหน้าราวกับรูปสลัก ดูมีลักษณะพิเศษแบบชาวดินแดนประจิมทิศอย่างชัดเจน และยังมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่แขนขาด ใบหน้าเหลี่ยมดวงตาดั่งเสือ ท่าทางดุดันเป็นอย่างยิ่ง รอบกายมีสายลมแผ่วเบาวนล้อมอยู่

นอกจากนั้นยังมีชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีสันสดใส ผมหยิกม้วนเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้า ผิวสีน้ำตาล ลักษณะดั่งคนจากซินเจียงตอนใต้

และหญิงสาวงดงามใบหน้างามสล้างเย็นชา ในมือถือมีดดาบ และยืนมองมาจากกิ่งไม้อย่างเยือกเย็น

รวมถึงสตรีใบหน้างดงามที่สวมชุดกระโปรงสีแดง ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์เหลือล้น เรือนกายอรชนอ้อนแอ้นอีกคน

“หลิ่วหงเหมียน?!”

น้ำเสียงของเซียวเยว่หนูเปลี่ยนไป

หลิ่วหงเหมียนบิดเอวเดินเข้ามาหัวเราะร่า “ศิษย์พี่ ไม่พบกันนาน สบายดีหรือไม่”

เซียวเยว่หนูเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าทรยศหอหมื่นบุปผานานแล้ว เรียกข้าว่าศิษย์พี่เช่นนี้ ผู้ดูแลหออย่างข้าคงรับไม่ไหว”

แววตาของหลิ่วหงเหมียนสาดประกายเคียดแค้น จากนั้นจึงแค่นเสียงเย็น

“หากมิใช่เพราะศิษย์พี่แสนดีอย่างเจ้ามาเป็นอุปสรรค ศิษย์น้องคนนี้จะทรยศหอหมื่นบุปผาได้อย่างไรเล่า บัญชีในครั้งนั้น ถึงเวลาชำระคืนให้หมดแล้ว ไป๋หู่ ข้าเคยบอกเจ้าแล้วนี่ว่าเซียวเยว่หนูเป็นหญิงงามล่มเมือง ไม่ได้โกหกใช่ไหมล่ะ”

ไป๋หู่ที่แขนขาดมองพิจารณาเซียวเยว่หนู จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ

“ถึงจะสวมผ้าคลุมหน้า แต่ก็เป็นหญิงงามชาวมนุษย์ที่หาได้ยากจริงๆ ข้าพอใจ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง