ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 624

บทที่ 624 เจ้าแห่งวัสสาน

“ระยะห่างระหว่างข้ากับเจ้าไม่ถึงหนึ่งจั้ง”

อสูรเทพอารักษ์ตู้ฝานก้มศีรษะมองคนรูปร่างเตี้ยสวมชุดขาวอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาสูงเพียงอกของตน

“นอกจากเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว ในระดับบรรลุธรรมขั้นสามนี้ ไม่ว่าระบบใดๆ ก็ตามหากถูกจอมยุทธ์เข้าใกล้ภายในหนึ่งจั้ง จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

เขาชายตามองโหรชุดขาว พร้อมกระดกริมฝีปากอันหนา

ในระยะนี้ ต่อให้อีกฝ่ายคิดส่งตัวหนี เขาก็สามารถขัดขวางล่วงหน้าได้

ส่วนอาวุธเวทมนตร์คุ้มกายา ในสายตาของเทพอารักษ์ขั้นสาม เขาไม่สามารถทำลายค่ายกลคุ้มเมืองที่ประสานกันจากค่ายกลเล็กๆ นับไม่ถ้วนได้ ยกเว้นบางส่วนที่สลักไว้บนกำแพงเมือง

ค่ายกลที่สลักไว้บนอาวุธเวทมนตร์ถูกจำกัดด้วยน้ำหนักและวัสดุ ไม่อาจต้านทานกำปั้นเหล็กของเขาอยู่

ต่อให้เป็นอาวุธเวทมนตร์อย่างเจดีย์พุทธะ หากนำออกมาในตอนนี้ก็คงสายเสียแล้ว

“หรือว่า เจ้ากำลังส่งตัวประกันให้สำนักพุทธ เพื่อแลกตัวกับพระอรหันต์ตู้ฉิง”

พริบตาที่กล่าวประโยคนี้ออกมา มือขนาดใหญ่ประหนึ่งพัดใบปาล์มของอสูรเทพอารักษ์ก็ลงมาปกคลุมเหนือศีรษะของซุนเสวียนจี

‘ปัง!’

มือขนาดใหญ่สีทองมืดตบลงบนเขตปราณ อากาศสั่นสะเทือนจนส่งเสียงแสบหู

เทพอารักษ์ตู้ฝานสีหน้าเปลี่ยน เขารับรู้ได้ถึงการยับยั้งที่เผชิญจากกลางฝ่ามือ

ขณะนี้ เขารู้สึกราวตนเองเป็นศัตรูกับฟ้าดิน โลกฟากนี้กำลังขับไล่เขา

ซุนเสวียนจียืนตระหง่านโดยไม่ขยับ พร้อมเงยตามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างกระชับใจความว่า

“ไสหัวไป! ”

เขายื่นฝ่ามือมาแนบอกเทพอารักษ์ตู้ฝาน มีการชะงักประมาณหนึ่งวินาที หลังจากเสียง ‘ตู้ม’ ดังขึ้น เทพอารักษ์ตู้ฝานก็ถูกยิงปลิวออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่ที่ออกจากทรวงอกท่ามกลางระลอกการระเบิดของคลื่นอากาศ

เขาชนต้นไม่หักตามทางนับไม่ถ้วน และถางจนเป็นเขต ‘สุญญากาศ’ กลางป่าทึบ

เมื่อเขาทรงตัวได้ก็ถูกยกขึ้นบนยอดเขาอย่างไม่รู้จบ และล่องลอยกลางอากาศ โดยใต้เท้าเป็นเหวลึก

“…”

บนสนามเงียบสงัด เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ทั้งสองฝ่ายราวกับสูญเสียความสามารถในการถ่ายทอดภาษา

โหรของสำนักโหราจารย์แข็งแกร่งเช่นนี้เลย…

สมกับเป็นคนของสำนักโหราจารย์ สมกับเป็นศิษย์รองของท่านโหราจารย์ น่าหวาดกลัวอะไรเช่นนี้…

เกิดคำอุทานและคำชมเชยขึ้นในใจของฟู่จิงเหมินและมวลชนจอมยุทธ์ กล่าวตามจริง ในตอนแรกสุดพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญ ‘ศิษย์รองท่านโหราจารย์’ จากปากเฉาชิงหยางเลย

ได้ยินมาไม่มากนัก ไม่รู้ตบะ ไม่มีผลงานการต่อสู้ และเป็นโหรที่กระทั่งต่อสู้ระยะประชิดก็ทำไม่ได้ จะแสดงประสิทธิภาพได้เท่าใดนัก

ที่ใดมีชื่อ ‘ฆ้องเงินสวี่’ สามคำนี้เป็นที่สะดุดตา

ทว่าฉากตรงหน้านี้ทำให้พวกเขารู้ว่าโหรชุดขาวคนนี้แกร่งจนน่ากลัว

ฝ่ามือที่สัมผัสเบาๆ ตีร่นเทพอารักษ์สำนักพุทธ

เทพอารักษ์ผู้นี้ เพิ่งจะระบายความป่าเถื่อนและแสดงความทรงพลังของตนเองก่อนหน้านี้

หลิ่วหงเหมียนทำปาก ‘โอ้’ นางคบค้าสมาคมกับโหรไม่น้อยหลังจากเข้าเมืองเฉียนหลง เด็กผู้หญิงในกลุ่มเองก็เป็นโหรเช่นกัน

นางรู้ดีว่าร่างกายและวิญญาณของโหรอ่อนแอ จึงยืนอยู่ในจุดที่เหนือกว่าด้วยการพึ่งการโจมตีด้วยอาวุธเวทมนตร์ที่เหมือนไม่ต้องเสียอะไร และพึ่งพาค่ายกลที่ดูอลังการ

หากต้องให้โหรต่อสู้ระยะประชิดกับจอมยุทธ์จริงๆ คงไม่ต่างกับการเปิดโคมไฟหาอุจจาระในห้องน้ำ

หรือว่าร่างกายและวิญญาณของโหรหลังจากขั้นสามจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ซึ่งมากพอจะเขย่าจอมยุทธ์ขั้นสาม

สีหน้าของพยัคฆ์ขาวฉีฮวนตานเซียงและคนอื่นไม่ต่างจากนางนัก

จิ้งซินและจิ้งหยวนซึ่งเป็นศิษย์ทั้งสองของสำนักพุทธคิ้วหมวด พวกเขามองไม่เห็นความลี้ลับที่อยู่ในนั้น

จีเสวียนแหงนศีรษะมองสวี่หยวนซวงอย่างฉับพลันพร้อมเอ่ยว่า “น้อง…”

แต่สวี่หยวนซวงกลับจ้องเขม็งไปยังตงฟางหว่านหรง ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า

“ท่านอาวุโสน่าหลันตาสว่าง ภูมิประเทศของภูเขาเฉวี่ยนหรงเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ”

นางหันกลับมามองจีเสวียนพร้อมอธิบายว่า

“ซุนเสวียนจีใช้ภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นฐาน และสลักค่ายกลไว้ ตอนนี้พลังภูมิลักษณ์ของภูเขาเฉวี่ยนหรงทั้งลูกเป็นของเขา”

นางเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่เพิ่งเลื่อนขั้นมาใหม่ ยังห่างชั้นกับปรมาจารย์ค่ายกลขั้นสี่อีกไกล ดังนั้นจึงไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ของภูเขาเฉวี่ยนหรงในทันที จนกระทั่งซุนเสวียนจีลงมือเมื่อครู่ นางจึงมองออก

และเข้าใจคำพูดเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ของตงฟางหว่านหรงในทันใด

จีเสวียนเอ่ยพร้อมขมวดคิ้วว่า “พลังภูมิลักษณ์ของภูเขาเฉวี่ยนหรงแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ”

สวี่หยวนซวงทำเสียง ‘อืม’ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเข้มขรึมว่า

“ภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นภูเขาชื่อดังของเจี้ยนโจว อยู่ในลำดับที่เก้าของภูเขาที่มีทัศนียภาพอันสวยงามแห่งที่ราบกลาง เล่าลือกันว่าในปีนั้นเดิมทีปรมาจารย์นิกายสวรรค์มีแผนสร้างนิกายที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง และเกลี้ยกล่อมให้เฉวี่ยนหรงเป็นอสูรเทพคุ้มกัน”

“ตำนานนี้จริงหรือเท็จยากแยกแยะ แต่มากพอจะอธิบายว่าภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นภูเขาที่มีทัศนียภาพอันสวยงามแห่งหนึ่งที่มีไม่มากนัก และหาเทือกเขาใดมาเปรียบไม่ได้”

จีเสวียนกระจ่างในทันที และเอ่ยด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า

“มิน่าล่ะซุนเสวียนจีจึงไม่เคยปรากฏตัวเลย ที่แท้ก็กำลังแอบวางค่ายกลอย่างลับๆ ”

ดังที่เห็นตรงหน้า จีเสวียนนึกถึงคำพูดที่ราชครูเคยกล่าวกับพวกเขาก่อนหน้านี้นานแล้วว่า

‘ภายในที่ราบกลาง ท่านโหราจารย์อยากไปที่ใดก็ไปที่นั่น ทั้งภูเขาและแม่น้ำของที่ราบกลาง ล้วนเป็นสิ่งของในเงื้อมมือของท่านโหราจารย์’

“สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือเปลี่ยนมันเป็นสิ่งของในเงื้อมมือของข้า”

ขณะนั้นเขาไม่ได้คิดมาก จนถึงตอนนี้เขาจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง

ระบบมากมายจะวางรากฐานให้ระดับสูงขณะอยู่ในระดับต่ำ หรือตรงๆ ก็คือฉบับเลื่อนขั้นของระดับสูง

จีเสวียนรู้สึกคลุมเครือว่า วิธีการควบคุมพลังแห่งภูเขาและแม่น้ำที่ซุนเสวียนจีแสดงตรงหน้า อาจจะซ่อนความลับที่ลึกซึ้งที่สุดของโหรไว้

“นี่ไม่ใช่พลังของเจ้า เจ้าเพิ่งจะวางค่ายกลเมื่อครู่”

อสูรเทพอารักษ์ยืนขึ้นกลางอากาศ และพยายามกลับไปกลางภูเขา แต่ภูเขาเฉวี่ยนหรง ‘ปิด’ ประตูใหญ่แล้ว ทุกครั้งที่เขาพยายามลงไป ล้วนถูกอาณาเขตปราณสกัดกลับมาเสมอ

ในฐานะเทพอารักษ์ผู้ปกปักรักษาสำนักพุทธ เขารู้เกี่ยวกับโหรเป็นอย่างดี และคาดการณ์สถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างกระจ่างชัดในใจ

ซุนเสวียนจีจ้องมองเขาเงียบๆ โดยไม่พูด

“เหตุใดจึงไม่พูด”

เหมือนอสูรเทพอารักษ์จะขุ่นเคืองเล็กน้อย

ซุนเสวียนจีขยับริมฝีปากเปล่งออกมาคำหนึ่ง “อย่า…”

หลังจากนี้ จะไม่มีคราวหน้าอีกแล้ว

เฉาชิงหยางลากร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสเข้าไปใกล้ๆ หยางชุยเสวี่ยและคนอื่นๆ อย่างโซซัดโซเซ และได้ยินการคาดเดาที่ปรากฏขึ้นจากจิตใต้สำนึกของเขาในหัวว่า

สิ่งที่เขาอยากกล่าวคงจะเป็น “อย่าเลอะเทอะ”

ไต้จงลุกพรวดอย่างคล่องแคล่วมาข้างๆ เฉาชิงหยาง และประคองเขากลับไป

กลุ่มจอมยุทธ์ขั้นสี่ทั้งฟู่จิงเหมินและเซียวเยว่หนูรุมล้อมเพื่อคุ้มกันเฉาชิงหยางในทันที

“ท่านประมุข อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไรบ้าง”

เซียวเยว่หนูพลางหยิบยารักษาอาการบาดเจ็บ พลางถามไถ่

“จะตายไม่ได้ แก่นโลหิตของสวี่ชีอันปกป้องชีวิตข้าไว้”

เฉาชิงหยางรับยามาทานและดึงเสื้อท่อนบนออกให้มวลชนดูอาการบาดเจ็บของเขา

หน้าอกเปื้อนไปด้วยเลือดและเนื้อ พร้อมกับมีเดือยกระดูกยื่นออกมา แต่เลือดและเนื้อกำลังขยุบขยิบอย่างแข็งขันเพื่อพยายามรักษาตนเอง แต่ความเร็วในการฟื้นฟูช้ามาก และให้ความรู้สึกอันไร้เรี่ยวแรงหนุนเนื่องมาตลอดเวลา

“ข้าไม่อาจดูดซับแก่นโลหิตได้ในเวลาอันสั้น มิเช่นนั้นกายหยาบจะแตกสลาย บาดแผลนี้หนักจนข้าต้องบ่มเพาะถึงครึ่งเดือน”

สีหน้าของเฉาชิงหยางเริ่มมีเลือดฝาดหลังกลืนยา

“ท่านประมุข โหรคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว เทพอารักษ์เข้ามาไม่ได้เลย บางทีพวกเราอาจจะใช้สิ่งนี้เพื่อให้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบ อาจจะไม่ต้องให้ฆ้องเงินสวี่ลงสนาม”

สีหน้าของฟู่จิงเหมินล่องลอยไปด้วยความดีอกดีใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง