บทที่ 625 การต่อสู้ที่ชุลมุนอันเหนือมนุษย์
การปรากฏของกระบี่ทองเหลืองเล่มนี้ทำให้สีหน้าที่ยังคงนิ่งสงบของอสูรเทพอารักษ์ขณะถูกขวางอยู่นอกภูเขาเฉวี่ยนหรงเกิดการผันแปรอันชัดเจนในท้ายที่สุด
เขาหวาดกลัวสุดขีด และล่าถอยไปก้าวหนึ่งอย่างเคร่งขรึม
ในฐานะเทพอารักษ์ที่เคยเข้าร่วมการโจมตีเมืองหลวงและล้อมสังหารราชนิกุลเมื่อห้าร้อยปีก่อน ความทรงจำของเขาต่อกระบี่เล่มนี้ลึกซึ้งอย่างไร้สิ่งใดเปรียบ
การป้องกันด้วยเนื้อหนังมังสาที่จอมยุทธ์ขั้นสามภูมิใจกับมัน เปรียบเสมือนคนธรรมดาเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่เล่มนี้
และร่างกายของเทพอารักษ์ที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสาม ก็ไม่กล้าบอกว่าสามารถต่อต้านความแหลมคมอันไม่เป็นสองรองใครจากของวิเศษชิ้นนี้ได้
ระหว่างความวุ่นวายของการช่วงชิงราชบัลลังก์ครั้งนั้น อสูรเทพอารักษ์เคยเห็นศิษย์ร่วมสำนักถูกชินอ๋องของราชวงศ์ต้าฟ่งในปีนั้นสะบั้นนับหลายสิบกระบี่จนเต็มไปด้วยรอยแผลจากกระบี่ทั้งตัว และตายลงในท้ายที่สุดเนื่องจากปราณกระบี่กัดกินอวัยวะภายใน
ศิษย์ร่วมสำนักคนนั้นเป็นเทพอารักษ์ที่เก่งสมราคา
ฉากที่กระบี่เล่มนั้นปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าและบีบให้อสูรเทพอารักษ์ล่าถอยมีการตีความที่แตกต่างกันไปตามแต่ละคนในสายตาของผู้รับชมจากทั้งสามฝั่ง
“นี่มันกระบี่อะไร ขู่เทพอารักษ์จนถอยเสียอย่างนั้น”
“นี่มันเกี่ยวกับกระบี่หรือ นี่หมายความว่าฆ้องเงินสวี่มาแล้ว”
“ใช่แล้ว กระบี่เป็นเพียงกระบี่ธรรมดา แต่เจ้าของเบื้องหลังกระบี่คือฆ้องเงินสวี่ ต้องเป็นเขาแน่ ท่านรองประมุขเคยกล่าวว่า ฆ้องเงินสวี่จะสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ของพวกเรา”
“ในที่สุดก็มาแล้วสินะ…”
ผู้ล้อมชมที่ยอดเขาทางใต้ไม่รู้จักดาบสยบดินแดน จึงไม่คิดว่ากระบี่เล่มเดียวสามารถขู่ให้อสูรเทพอารักษ์ถอยได้ สิ่งที่บีบให้อีกฝ่ายถอยที่แท้จริงคือเจ้าของเบื้องหลังกระบี่เล่มนั้น
และเจ้าของคนนี้ก็คือฆ้องเงินสวี่ที่รองประมุขเคยกล่าวอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัด
‘ในที่สุดฆ้องเงินสวี่ก็มาแล้ว’…คุณชายหลิ่วผ่อนคลายเล็กน้อยในใจ เงามืดภายในจิตใจที่ถูกเสาอัสนีสร้างขึ้นเมื่อครู่นี้เบาบางลงไปมาก
เขาอดมองแม่นางหรงหรงไม่ได้ พบว่าดวงตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ แก้มแดงก่ำ ลักษณะของสาวน้อยที่มีอารมณ์รักแจ่มชัดเช่นนี้เอง
และศิษย์น้องหญิงหอหมื่นบุปผาข้างกายนางก็มีสีหน้าท่าทางละม้ายคล้ายนาง ต่างคนต่างตื่นเต้นดีใจขึ้นมาในฉับพลัน
“ท่านอาจารย์”
คุณชายหลิ่วเห็นท่านอาจารย์ของตนทำสีหน้าเคร่งขรึม และจับจ้องกระบี่ทองเหลืองด้วยแววตาที่แข็งขัน
มือกระบี่หนุ่มตั้งสติได้ในฉับพลัน และเอ่ยด้วยความงุนงงเล็กน้อยว่า
“ความรู้สึกที่กระบี่เล่มนี้มอบให้ข้ามันแปลกมาก โดยรูปธรรมแล้วเป็นเช่นไร อาจารย์ไม่อาจบอกได้ เอ่อ…นี่คือการบ่มเพาะตนเองของมือกระบี่”
‘ทำไมข้าไม่รู้สึก’…คุณชายหลิ่วกระจ่างในทันทีและเอ่ยว่า
“มิน่าล่ะข้าเองก็มีความรู้สึกเช่นนี้”
มือกระบี่หนุ่มเอ่ยด้วยความปลื้มใจว่า “เยี่ยม ดูท่าเจ้าบำเพ็ญอย่างทุ่มเทมากในช่วงนี้”
‘เจ้าเด็กชั่วนี่ เสแสร้งอะไรกับข้า ข้าเพิ่งจะรู้สึกว่ากระบี่เล่มนั้นคุ้นตามากเท่านั้นเอง เหมือนเคยเจอที่ใด’…มือกระบี่หนุ่มซุบซิบในใจ
…
หลิ่วหงเหมียน ไป๋หู่ ฉีฮวนตานเซียงรวมไปถึงศิษย์พี่ศิษย์น้องจิ้งซินกับจิ้งหยวนก็ไม่รู้จักอาวุธวิเศษที่ระบือนามทั่วจิ่วโจวเล่มนี้เช่นกัน ความสนใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่กระบี่ทองเหลืองเลย
พวกเขามองซ้ายมองขวาอย่างตื่นตัว มีสีหน้าระแวดระวังและเคร่งขรึม เพราะรู้ว่าคนสกุลสวี่มาแล้ว
ในที่สุดเขาก็มาแล้ว
ด้วยการปรากฏตัวของเขา จะมีตัวช่วยใดบ้างหรือไพ่ตายแบบใด ต่อไปจะออกโรงแล้ว
เจ้าแห่งวัสสาน เทพอารักษ์ตู้หนานบนเรืออวี่เฟิงก็จะลงมือเต็มกำลัง
การต่อสู้ที่แท้จริงเริ่มขึ้นแล้ว
การประมือก่อนหน้านี้เป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
พวกเขาที่ประสบเคราะห์ในชานเมืองยงโจวมีความรู้สึกในจิตใจที่ยุ่งเหยิงอย่างยิ่งต่อสวี่ชีอัน
ทั้งหวังให้เขาปรากฏตัวเพื่อแก้แค้นเขาหลังจากนั้น และยังกลัวว่าเขาจะปรากฏตัว เพราะกลัวว่าเรือจะล่มอีกครั้ง
….
‘กระบี่เล่มเดียว’…มวลชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่เฉาชิงหยางเป็นตัวแทนไม่รู้จักดาบสยบดินแดน แต่พอเห็นว่ากระบี่ทองเหลืองเล่มนี้บังคับให้อสูรเทพอารักษ์ถอยได้ พวกเขาทั้งตื่นตระหนกทั้งประหลาดใจ
“ฆ้องเงินสวี่ มาถึงแล้ว…” เซียวเยว่หนูกล่าวไม่กี่คำ
เฉาชิงหยางส่งเสียง “อืม” ครั้งหนึ่ง สีหน้าที่ขึงตึงผ่อนลงเล็กน้อย และเอ่ยทอดถอนใจเบาๆ ว่า
“แม้จะเป็นเทพอารักษ์สำนักพุทธ ก็ยังหวาดกลัวฆ้องเงินสวี่เช่นนี้”
เขาเข้าใจว่าท่าทางหวาดกลัวและล่าถอยของอสูรเทพอารักษ์เป็นการที่อีกฝ่ายกำลังเตรียมตัวป้องกันสวี่ชีอัน คิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกลัวคือเจ้าของเบื้องหลังกระบี่ทองเหลือง
ฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ ก็คิดอย่างนี้เช่นกัน พวกเขาดีอกดีใจกับความแข็งแกร่งของสวี่ชีอัน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้พวกเขามีความมั่นใจภายในจิตใจ
ใครๆ ก็ล้วนไม่ได้ให้ความสนใจกระบี่เล่มนั้นเป็นพิเศษ
หยางชุยเสวี่ยเจ้าสำนักโม่จ้องกระบี่ทองเหลืองเล่มนั้นสักพักหนึ่ง ดวงตาของเขาสะท้อนแสงที่แหลมคมราวเข็มเฉียบบางนับไม่ถ้วน เขาป้องตาในฉับพลันและร้องออกมาเบาๆ อย่างกลัดกลุ้ม
เลือดแดงสดไหลนองออกมาจากซอกนิ้วเขา
“ท่านเจ้าสำนักหยาง!”
บรรดาพรรคพวกตกตะลึง และรีบตรวจสอบสถานการณ์ของเขา
หยางชุยเสวี่ยป้องตาโดยไม่สนใจความเป็นห่วงจากผู้คนแม้แต่น้อย เขาเอ่ยร้องด้วยเสียงออกโทนแหลมว่า
“ดาบสยบดินแดน มันคือดาบสยบดินแดน นี่มันดาบสยบดินแดน! ”
เสียงของเขาทั้งสูงและดัง มีน้ำเสียงบ้าคลั่ง เขาร้องซ้ำๆ คราแล้วคราเล่า คนทั้งคนเหมือนมีพฤติกรรมผิดแผกไป
สำนักโม่เป็นสำนักฝึกฝนกระบี่ ผู้คนในสำนักแต่ละยุคสมัยชอบเก็บรวบรวมกระบี่ชื่อดังทั่วใต้หล้า และบันทึกไว้ในตำรา
เริ่มตั้งแต่ปรมาจารย์ยุคแรกจวบจนปัจจุบัน มีบันทึกกระบี่เลื่องชื่อสามเล่ม ‘สวรรค์ พิภพ มนุษย์’
แต่โดยทั่วไปกระบี่ที่สามารถบันทึกลงในตำรากระบี่ทั้งสามเล่มล้วนมีสามองค์ประกอบ คือ
หนึ่ง ทรงพลังในตัวมันเองและเป็นอาวุธเวทมนตร์ สอง มีเรื่องราวหรือคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ธรรมดา สาม มีพร้อมทั้งข้อหนึ่งและข้อสอง
กระบี่อันดับหนึ่งในบันทึกกระบี่เลื่องชื่อ ในสามร้อยปีมานี้ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันก็คือกระบี่คู่กายของจักรพรรดิที่สถาปนาตาฟ่ง ซึ่งก็คือดาบสยบดินแดน
และถูกบันทึกไว้ในบันทึกกระบี่เลืองชื่อว่า ‘ดาบสยบดินแดน’
กระบี่คู่กายของจักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่ง ถูกกล่าวตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้ว่า กระบี่เล่มนี้สร้างจากทองเหลืองจากภูเขาไฉ่หยา ตัวกระบี่มีลายคล้ายกระดองเต่า ด้วยเหตุนี้จึงมีตำนานว่ากระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ที่เต่าเทพซังผอมอบให้จักรพรรดิเกาจู่
ปรมาจารย์สำนักโม่เองก็ไม่เคยเห็นดาบสยบดินแดน เพราะว่ามันถูกผนึกอยู่ในวัดหย่งเจิ้นซานเหอตลอดทั้งปี
แต่ในฐานะอาวุธเทพสยบดินแดนแห่งต้าฟ่ง จะมีบันทึกรายละเอียดค่อนข้างมากในเอกสารทางประวัติศาสตร์
บันทึกกระบี่เลื่องชื่อของสำนักโม่ก็ตัดตอนมาจากคำบรรยายในบันทึกทางประวัติศาสตร์
ที่หยางชุยเสวี่ยสามารถสรุปว่ากระบี่เล่มนี้เป็นดาบสยบดินแดนได้ อย่างแรกเพราะ ตัวเขาเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขั้นสี่ เขามีความรู้สึกที่เฉียบไวต่ออาวุธกระบี่มาก เขาจึงรู้ว่านี่คืออาวุธวิเศษ อย่างที่สอง ลวดลายบนตัวกระบี่ทองเหลืองคล้ายกระดองเต่า
สุดท้ายคือ กรรมวิธีในการตีขึ้นรูปของกระบี่เล่มนี้ไม่เหมือนกับในปัจจุบัน หยางชุยเสวี่ยรักกระบี่เท่าชีวิต จึงสามารถแยกแยะได้ว่านี่เป็นรูปแบบการหลอมกระบี่ที่แพร่หลายที่สุดของต้าฟ่งในยุคเริ่มต้นสถาปนา
และรูปแบบกับกรรมวิธีนี้อย่างนี้ก็เลียนแบบดาบสยบดินแดนนี่เอง
“ดาบสยบดินแดน”
ไม่รู้ว่าใครตกใจร้อง บรรดาจอมยุทธที่รุมล้อมหยางชุยเสวี่ยลิ้นพันตาค้าง
“กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่คู่กายของจักรพรรดิเกาจู่นี่”
“อ๋องสยบแดนเหนือเคยใช้มันขณะยุทธการด่านซานไห่”
ฟู่จิงเหมินและคนอื่นๆ กลืนน้ำลาย กลับมีความรู้สึกเหมือนแสวงบุญในใจเสียอย่างนั้น
หยางชุยเสวี่ยเอ่ยอย่างฮึกเหิมว่า
“ดาบสยบดินแดนปรากฏ เหตุใดกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ต้องกลัวศัตรูภายนอก ความคมของกระบี่เล่มนี้ผ่าผีสางเทวดาอย่างง่ายดาย เขาขอดาบสยบดินแดนมาแล้ว เขาสามารถควบคุมดาบสยบดินแดนได้ ข่าวลือเป็นความจริง”
ฆ้องเงินสวี่ขอของวิเศษในตำนานชิ้นนี้มาเพื่อให้การช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างคาดไม่ถึง
‘ดาบสยบดินแดน’
ไป๋หู่ ฉีฮวนตานเซียง จิ้งซินและจิ้งหยวนสื่อสารกันด้วยสายตาอย่างไม่ส่งเสียงด้วยความตกตะลึงและหนักอึ้ง พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่ากระบี่ทองเหลืองที่ถูกทุ่มลงสนามไปก่อนเล่มนี้ ก็คือดาบสยบดินแดนในตำนาน
ดาบสยบดินแดนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว พวกเขาไม่รู้จักได้อย่างไรกัน
นี่ก็คือไพ่ตายของสวี่ชีอันหรือ
เขาเตรียมพร้อมมาจริงๆ ด้วย
“เอ๋ ท่านประมุข พวกเขาดูเหมือนฮึกเหิมมาก”
“ทำไมถึงกำลังมองกระบี่เล่มนั้นกัน กระบี่เล่มนี้ไม่มีจุดพิเศษอะไรเลย”
“เมื่อครู่จู่ๆ เจ้าสำนักหยางก็ปิดหน้าร้องไห้…”
ทางยอดเขาฝั่งใต้ไม่ได้ยินเสียง ทำได้เพียงคาดเดาอย่างคลุมเครือจากการกระทำของเฉาชิงหยางและคนอื่นๆ
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง