ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 630

บทที่ 630 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (2)

ด้านหน้า สวี่หยวนไหวที่ช่วยต้านทานปราณดาบให้พี่สาวอยู่หันกลับมาฉับพลัน มองเห็นบิดาเยื้องกรายมาถึง เขาทั้งตื่นตระหนกทั้งดีใจ

“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร”

ชายหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึมรีบเข้าไปต้อนรับ

มีแค่จีเสวียนที่ยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนตะโกนเรียก ‘ท่านราชครู’ โดยไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับรู้แต่แรกว่าเขาจะมา

สวี่ผิงเฟิงมองดูบุตรคนรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน และยิ้มกล่าว

“ไม่เลว ตบะเพิ่มพูนขึ้นอีกแล้ว อีกไม่นานก็ย่างก้าวสู่ขั้นสี่แล้ว”

ได้รับคำชมที่ดูเกินจริงจากบิดา ใบหน้าที่เคร่งขรึมของสวี่หยวนไหวก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจราวกับเด็กน้อย

สวี่หยวนซวงสังเกตดูเงาร่างอาภรณ์ขาวด้วยแววตาประกายแล้วกล่าวอย่างงงงัน

“ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่ร่างจริงของท่านนี่…”

บิดาตรงหน้ามีชะตากรรมแปลกๆ ไม่ใช่ชะตากรรมที่คนปกติควรมี

“เป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งที่เป็นร่างอวตารเท่านั้น ท่านโหราจารย์จับตามองอยู่นอกอวิ๋นโจว ร่างจริงของข้ามาไม่ได้ อาศัยอาวุธเวทครึ่งร่างที่ผู้เฒ่าเทียนกู่ทิ้งไว้ และวิธีการ ‘ดาวหมีใหญ่หันเห’ อำพรางวิชามองปราณของท่านโหราจารย์ได้”

สวี่ผิงเฟิงอธิบายง่ายๆ หนึ่งประโยค สายตามองปราดผ่านสวี่หยวนซวงไปยังจีเสวียนก่อนกล่าว

“เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”

‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…’ สวี่หยวนไหวเข้าใจฉับพลัน พอถึงระดับขั้นเดียวกับท่านพ่อและท่านโหราจารย์ผู้นั้น อาวุธเวทและวิธีการกำบังความลับสวรรค์ในระบบโหรไม่มีผลกับพวกเขาแล้ว

อยากจะอำพรางท่านโหราจารย์จำเป็นต้องใช้วิธีการของระบบอื่น

แต่ร่างจริงของท่านพ่อไม่ได้มาด้วย แสดงว่าท่านโหราจารย์ตามติดท่านพ่อแล้วใช่หรือไม่ ถึงจะเป็นวิธีการของผู้เฒ่าเทียนกู่ก็ไม่อาจตบตาได้หรือ

จีเสวียนไม่ตอบในทันที เขาหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ ผ่อนหายใจออกมาราวกับถือโอกาสนี้สงบอารมณ์

“เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาขอรับ ท่านราชครู”

พวกสวี่หยวนซวงสองพี่น้องสังเกตดูบิดาและจีเสวียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น

สวี่ผิงเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ เขาวาดนิ้วกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ลวดลายค่ายกลแต่ละหลังที่แฝงไปด้วยกฎเกณฑ์ฟ้าดินปรากฏออกมา มันร่วงลงบนจุดต่างๆ ของเรืออวี่เฟิงตามลำดับ เกาะติดตามดาดฟ้า เสากระโดงเรือ และจุดต่างๆ ของกราบเรือ

พริบตาเดียว ทั่วทั้งเรืออวี่เฟิงก็ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายค่ายกล

สวี่หยวนซวงเบิกตางามกว้าง พยายามจดจำอักขระที่ดูไม่เข้าใจเหล่านั้น สำหรับโหรแล้ว อักขระที่ดูราวกับยันต์ผีวาดเหล่านี้คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด

รอจนสวี่ผิงเฟิงวางค่ายกลสำเร็จแล้ว สวี่หยวนซวงก็อดถามไม่ได้

“ท่านพ่อ นี้คือค่ายกลอะไรหรือ”

เขาถึงกับต้องลงมือวาดเองด้วย

ก่อนที่โหรจะเลื่อนขึ้นขั้นสี่ จะผ่านกระบวนการ ‘จดจำค่ายกล’ เป็นเวลายาวนาน

‘จดจำค่ายกล’ ที่กล่าวถึงคือจดจำค่ายกลทั้งหมดที่สามารถควบคุมได้ไว้ในใจ รอจนเลื่อนขึ้นขั้นสี่แล้ว ค่ายกลที่ตราตรึงอยู่ในสมองเหล่านั้นจะกลายเป็นสัญชาตญาณ

เวลาที่แสดงค่ายกลนั้น แค่ใช้จิตนึกคิดค่ายกลก็จะก่อตัวขึ้นเอง

สำนักโหราจารย์มีมหาคัมภีร์ค่ายกลสองเล่ม ‘เทียนกัง’ และ ‘ตี้ซ่า’ มีค่ายกลใหญ่ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดหลัง ค่ายกลใหญ่แต่ละหลังแบ่งย่อยเป็นค่ายกลเล็กอีกสิบกว่าหลังหรือหลายสิบหลัง

สวี่หยวนซวงอายุสิบเจ็ดปีสามารถจดจำค่ายกลได้สองหลัง ก็เกือบจะทำให้หน้าผากของนางเถิกขึ้นสูงแล้ว

แต่นางรู้ว่าโหรระดับขั้นอย่างบิดาได้จดจำ ‘เทียนกัง’ และ ‘ตี้ซ่า’ จนขึ้นใจมานานแล้ว ตอนแสดงค่ายกลก็สามารถแสดงได้ตามใจชอบ

ค่ายกลที่ให้เขาลงมือวาดด้วยตนเองนั้น จะต้องเป็นประเภทที่ล้ำลึกอย่างถึงขีดสุด

“ค่ายกลอะไรน่ะหรือ” สวี่ผิงเฟิงมองดูบุตรสาวแล้วยิ้มกล่าว

“นี่คือค่ายกลที่พ่อขโมยชะตาบ้านเมืองต้าฟ่งในปีนั้น แน่นอนว่าเทียบกับค่ายกลใหญ่ตะลึงโลกหลังนั้นแล้ว ค่ายกลนี้คือผลิตผลที่รวบรัดแล้วรวบรัดอีก บทบาทของมันมีแค่หนึ่งเดียวก็คือรวมโชคชะตา”

‘ดาบ’ ที่ชายชราแปลงร่างมากระแทกเข้ากับผิวระฆังทอง เสียงแหลมคมดังก้องไปทั่วฟ้า

สวี่ชีอันอยู่ห่างจากสนามรบไม่ไกล ประสบภัยพิบัติเป็นคนแรก สูญเสียโสตสัมผัส หูอื้อไปพักหนึ่ง

คนที่อยู่บนยอดเขาใต้ก็ตกอยู่ในสภาวะหูอื้อ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต้องเอามือปิดหูด้วยความเจ็บปวดทรมาน ไม่มีกำลังวังชาใคร่ครวญทิศทางการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แล้ว

‘เปรี๊ยะ!’

ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเป็นเวลาสั้นๆ สิบกว่าวินาที ผิวของระฆังทองเกิดรอยร้าวเส้นหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ‘พลังหนึ่งดาบ’ ของชายชราก็หมดลง

ร่างทองคำที่น่าเกรงขามและสูงตระหง่านไม่ให้โอกาสเขาได้ฟันดาบที่สองออกไป มือข้างที่กุมกระบี่เทพทองคำอยู่กวัดแกว่งไปมาก่อนฟันกระบี่เทพลงมา

ลางสังหรณ์วิกฤตของชาวยุทธได้บอกเป็นนัยให้หลบหลีก ชายชรากลายร่างเป็นเศษเงาหลบไปด้านข้าง

‘โครมคราม!’

ท่ามกลางเสียงพังทลายของขุนเขา กระบี่เทพฟันหินที่ร่วงลงมาเป็นชิ้นใหญ่ๆ กระบี่นี้ไม่มีคลื่นสั่นไหวของพลังปราณ แต่เมื่อยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงอยู่ตรงหน้ามันแล้ว ก็ดูราวกับเป็นกองทราย

โค่นล้มได้อย่างง่ายดาย

ขณะนี้เทพอารักษ์อสูรก็คว้าโอกาสร่นถอยไปบนบ่าของร่างธรรมเทพอารักษ์

ไม่มีสถานที่ใดปลอดภัยเท่าที่นี่แล้ว

หนึ่งกระบี่ฟันอากาศ ยังไม่ทันได้เห็นกระบี่กลับมา กระบองทองก็หวดลงบนศีรษะ

‘ตูม!’

ระเบิดเศษหินนับไม่ถ้วน ยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงถูกระเบิดอย่างสมบูรณ์จนเตี้ยลงไปท่อนหนึ่ง

‘ตูม! ตูม! ตูม!’

ชายชราอาศัยลางสังหรณ์วิกฤตของชาวยุทธหลบไปซ้ายบ้างขวาบ้างราวกับแมลงสาบที่ว่องไวตัวหนึ่ง

แขนทั้งยี่สิบสี่ของร่างธรรมเทพอารักษ์เปิดคันธนูพร้อมกัน ดาบ กระบี่ กระบอง ไม้พลองกระทุ้งลงมาไม่หยุด

โจมตีจนหินกระเด็นกระดอนไปกลางอากาศ ยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงแตกครั้งแล้วครั้งเล่า แตกกระจายกลายเป็นดินและหินนับพันนับหมื่นตัน

‘ตูม!’

กระบองทองคำยาวทุบลงมา เงาร่างของชายชราแตกเป็นจุน ร่างจริงมาปรากฏอยู่บนกระบองที่มีขนาดใหญ่ราวกับต้นไม้ยักษ์

‘ตึง ตึง ตึง’…เขาพุ่งตามกระบองไปยังร่างธรรมที่สูงใหญ่กว่ายอดเขาลูกนี้

เขายิ่งวิ่งยิ่งเร็ว ราวกับดาบที่คำรามออกมา อากาศบริเวณรอบๆ บิดเบี้ยว

ปลายดาบชี้ตรงไปยังระหว่างคิ้วของร่างธรรมเทพอารักษ์

‘ป้าบ!’

ฝ่ามือยักษ์สองข้างของร่างธรรมเทพอารักษ์ตบเข้าหากันราวกับตบแมลงวัน และตบชายชราในอากาศ

ครู่ต่อมา มือทั้งคู่สั่นอย่างรุนแรง ยากที่จะประกบเข้าด้วยกันได้

หลังจากไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กันเป็นเวลาหลายวินาที ชายชราก็ทะลวงฝ่ามือออกมา เลือดอาบทั่วลำตัว มือเท้าบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด หน้าอกยุบลง

ร่างและวิญญาณของทหารขั้นสองถูกร่างธรรมทำลายในการโจมตีเดียว

ร่างธรรมเทพอารักษ์ไม่ให้โอกาสเขาได้พักหายใจ เพราะรู้ว่าการโจมตีเช่นนี้ยากจะสังหารทหารเหนือมนุษย์ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งให้ตายได้ การโจมตีอย่างรุนแรงพุ่งเข้ามาติดต่อกัน

ร่างทองคำที่สูงหลายร้อยจั้งมีแสงพุทธะนับหมื่นเปล่งประกาย ทำให้เขาเฉวี่ยนหรงในระยะรัศมีหลายสิบลี้กลายเป็นสีทอง

กลิ่นอายของมันน่าหวาดกลัวกว่าเหวลึก ทำให้สรรพชีวิตที่ถูกแสงพุทธะสาดส่องต้องตัวสั่นงันงก คลานอยู่บนพื้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง