ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 630

สรุปบท บทที่ 630 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (2): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 630 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (2) – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 630 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (2) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 630 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (2)

ด้านหน้า สวี่หยวนไหวที่ช่วยต้านทานปราณดาบให้พี่สาวอยู่หันกลับมาฉับพลัน มองเห็นบิดาเยื้องกรายมาถึง เขาทั้งตื่นตระหนกทั้งดีใจ

“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร”

ชายหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึมรีบเข้าไปต้อนรับ

มีแค่จีเสวียนที่ยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนตะโกนเรียก ‘ท่านราชครู’ โดยไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับรู้แต่แรกว่าเขาจะมา

สวี่ผิงเฟิงมองดูบุตรคนรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน และยิ้มกล่าว

“ไม่เลว ตบะเพิ่มพูนขึ้นอีกแล้ว อีกไม่นานก็ย่างก้าวสู่ขั้นสี่แล้ว”

ได้รับคำชมที่ดูเกินจริงจากบิดา ใบหน้าที่เคร่งขรึมของสวี่หยวนไหวก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจราวกับเด็กน้อย

สวี่หยวนซวงสังเกตดูเงาร่างอาภรณ์ขาวด้วยแววตาประกายแล้วกล่าวอย่างงงงัน

“ท่านพ่อ นี่ไม่ใช่ร่างจริงของท่านนี่…”

บิดาตรงหน้ามีชะตากรรมแปลกๆ ไม่ใช่ชะตากรรมที่คนปกติควรมี

“เป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งที่เป็นร่างอวตารเท่านั้น ท่านโหราจารย์จับตามองอยู่นอกอวิ๋นโจว ร่างจริงของข้ามาไม่ได้ อาศัยอาวุธเวทครึ่งร่างที่ผู้เฒ่าเทียนกู่ทิ้งไว้ และวิธีการ ‘ดาวหมีใหญ่หันเห’ อำพรางวิชามองปราณของท่านโหราจารย์ได้”

สวี่ผิงเฟิงอธิบายง่ายๆ หนึ่งประโยค สายตามองปราดผ่านสวี่หยวนซวงไปยังจีเสวียนก่อนกล่าว

“เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”

‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…’ สวี่หยวนไหวเข้าใจฉับพลัน พอถึงระดับขั้นเดียวกับท่านพ่อและท่านโหราจารย์ผู้นั้น อาวุธเวทและวิธีการกำบังความลับสวรรค์ในระบบโหรไม่มีผลกับพวกเขาแล้ว

อยากจะอำพรางท่านโหราจารย์จำเป็นต้องใช้วิธีการของระบบอื่น

แต่ร่างจริงของท่านพ่อไม่ได้มาด้วย แสดงว่าท่านโหราจารย์ตามติดท่านพ่อแล้วใช่หรือไม่ ถึงจะเป็นวิธีการของผู้เฒ่าเทียนกู่ก็ไม่อาจตบตาได้หรือ

จีเสวียนไม่ตอบในทันที เขาหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ ผ่อนหายใจออกมาราวกับถือโอกาสนี้สงบอารมณ์

“เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาขอรับ ท่านราชครู”

พวกสวี่หยวนซวงสองพี่น้องสังเกตดูบิดาและจีเสวียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น

สวี่ผิงเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ เขาวาดนิ้วกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ลวดลายค่ายกลแต่ละหลังที่แฝงไปด้วยกฎเกณฑ์ฟ้าดินปรากฏออกมา มันร่วงลงบนจุดต่างๆ ของเรืออวี่เฟิงตามลำดับ เกาะติดตามดาดฟ้า เสากระโดงเรือ และจุดต่างๆ ของกราบเรือ

พริบตาเดียว ทั่วทั้งเรืออวี่เฟิงก็ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายค่ายกล

สวี่หยวนซวงเบิกตางามกว้าง พยายามจดจำอักขระที่ดูไม่เข้าใจเหล่านั้น สำหรับโหรแล้ว อักขระที่ดูราวกับยันต์ผีวาดเหล่านี้คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด

รอจนสวี่ผิงเฟิงวางค่ายกลสำเร็จแล้ว สวี่หยวนซวงก็อดถามไม่ได้

“ท่านพ่อ นี้คือค่ายกลอะไรหรือ”

เขาถึงกับต้องลงมือวาดเองด้วย

ก่อนที่โหรจะเลื่อนขึ้นขั้นสี่ จะผ่านกระบวนการ ‘จดจำค่ายกล’ เป็นเวลายาวนาน

‘จดจำค่ายกล’ ที่กล่าวถึงคือจดจำค่ายกลทั้งหมดที่สามารถควบคุมได้ไว้ในใจ รอจนเลื่อนขึ้นขั้นสี่แล้ว ค่ายกลที่ตราตรึงอยู่ในสมองเหล่านั้นจะกลายเป็นสัญชาตญาณ

เวลาที่แสดงค่ายกลนั้น แค่ใช้จิตนึกคิดค่ายกลก็จะก่อตัวขึ้นเอง

สำนักโหราจารย์มีมหาคัมภีร์ค่ายกลสองเล่ม ‘เทียนกัง’ และ ‘ตี้ซ่า’ มีค่ายกลใหญ่ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดหลัง ค่ายกลใหญ่แต่ละหลังแบ่งย่อยเป็นค่ายกลเล็กอีกสิบกว่าหลังหรือหลายสิบหลัง

สวี่หยวนซวงอายุสิบเจ็ดปีสามารถจดจำค่ายกลได้สองหลัง ก็เกือบจะทำให้หน้าผากของนางเถิกขึ้นสูงแล้ว

แต่นางรู้ว่าโหรระดับขั้นอย่างบิดาได้จดจำ ‘เทียนกัง’ และ ‘ตี้ซ่า’ จนขึ้นใจมานานแล้ว ตอนแสดงค่ายกลก็สามารถแสดงได้ตามใจชอบ

ค่ายกลที่ให้เขาลงมือวาดด้วยตนเองนั้น จะต้องเป็นประเภทที่ล้ำลึกอย่างถึงขีดสุด

“ค่ายกลอะไรน่ะหรือ” สวี่ผิงเฟิงมองดูบุตรสาวแล้วยิ้มกล่าว

“นี่คือค่ายกลที่พ่อขโมยชะตาบ้านเมืองต้าฟ่งในปีนั้น แน่นอนว่าเทียบกับค่ายกลใหญ่ตะลึงโลกหลังนั้นแล้ว ค่ายกลนี้คือผลิตผลที่รวบรัดแล้วรวบรัดอีก บทบาทของมันมีแค่หนึ่งเดียวก็คือรวมโชคชะตา”

‘ดาบ’ ที่ชายชราแปลงร่างมากระแทกเข้ากับผิวระฆังทอง เสียงแหลมคมดังก้องไปทั่วฟ้า

สวี่ชีอันอยู่ห่างจากสนามรบไม่ไกล ประสบภัยพิบัติเป็นคนแรก สูญเสียโสตสัมผัส หูอื้อไปพักหนึ่ง

คนที่อยู่บนยอดเขาใต้ก็ตกอยู่ในสภาวะหูอื้อ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต้องเอามือปิดหูด้วยความเจ็บปวดทรมาน ไม่มีกำลังวังชาใคร่ครวญทิศทางการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แล้ว

‘เปรี๊ยะ!’

ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเป็นเวลาสั้นๆ สิบกว่าวินาที ผิวของระฆังทองเกิดรอยร้าวเส้นหนึ่ง

ขณะเดียวกัน ‘พลังหนึ่งดาบ’ ของชายชราก็หมดลง

ร่างทองคำที่น่าเกรงขามและสูงตระหง่านไม่ให้โอกาสเขาได้ฟันดาบที่สองออกไป มือข้างที่กุมกระบี่เทพทองคำอยู่กวัดแกว่งไปมาก่อนฟันกระบี่เทพลงมา

ลางสังหรณ์วิกฤตของชาวยุทธได้บอกเป็นนัยให้หลบหลีก ชายชรากลายร่างเป็นเศษเงาหลบไปด้านข้าง

‘โครมคราม!’

ท่ามกลางเสียงพังทลายของขุนเขา กระบี่เทพฟันหินที่ร่วงลงมาเป็นชิ้นใหญ่ๆ กระบี่นี้ไม่มีคลื่นสั่นไหวของพลังปราณ แต่เมื่อยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงอยู่ตรงหน้ามันแล้ว ก็ดูราวกับเป็นกองทราย

โค่นล้มได้อย่างง่ายดาย

ขณะนี้เทพอารักษ์อสูรก็คว้าโอกาสร่นถอยไปบนบ่าของร่างธรรมเทพอารักษ์

ไม่มีสถานที่ใดปลอดภัยเท่าที่นี่แล้ว

หนึ่งกระบี่ฟันอากาศ ยังไม่ทันได้เห็นกระบี่กลับมา กระบองทองก็หวดลงบนศีรษะ

‘ตูม!’

ระเบิดเศษหินนับไม่ถ้วน ยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงถูกระเบิดอย่างสมบูรณ์จนเตี้ยลงไปท่อนหนึ่ง

‘ตูม! ตูม! ตูม!’

ชายชราอาศัยลางสังหรณ์วิกฤตของชาวยุทธหลบไปซ้ายบ้างขวาบ้างราวกับแมลงสาบที่ว่องไวตัวหนึ่ง

แขนทั้งยี่สิบสี่ของร่างธรรมเทพอารักษ์เปิดคันธนูพร้อมกัน ดาบ กระบี่ กระบอง ไม้พลองกระทุ้งลงมาไม่หยุด

โจมตีจนหินกระเด็นกระดอนไปกลางอากาศ ยอดเขาหลักของเขาเฉวี่ยนหลงแตกครั้งแล้วครั้งเล่า แตกกระจายกลายเป็นดินและหินนับพันนับหมื่นตัน

‘ตูม!’

กระบองทองคำยาวทุบลงมา เงาร่างของชายชราแตกเป็นจุน ร่างจริงมาปรากฏอยู่บนกระบองที่มีขนาดใหญ่ราวกับต้นไม้ยักษ์

‘ตึง ตึง ตึง’…เขาพุ่งตามกระบองไปยังร่างธรรมที่สูงใหญ่กว่ายอดเขาลูกนี้

เขายิ่งวิ่งยิ่งเร็ว ราวกับดาบที่คำรามออกมา อากาศบริเวณรอบๆ บิดเบี้ยว

ปลายดาบชี้ตรงไปยังระหว่างคิ้วของร่างธรรมเทพอารักษ์

‘ป้าบ!’

ฝ่ามือยักษ์สองข้างของร่างธรรมเทพอารักษ์ตบเข้าหากันราวกับตบแมลงวัน และตบชายชราในอากาศ

ครู่ต่อมา มือทั้งคู่สั่นอย่างรุนแรง ยากที่จะประกบเข้าด้วยกันได้

หลังจากไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กันเป็นเวลาหลายวินาที ชายชราก็ทะลวงฝ่ามือออกมา เลือดอาบทั่วลำตัว มือเท้าบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด หน้าอกยุบลง

ร่างและวิญญาณของทหารขั้นสองถูกร่างธรรมทำลายในการโจมตีเดียว

ร่างธรรมเทพอารักษ์ไม่ให้โอกาสเขาได้พักหายใจ เพราะรู้ว่าการโจมตีเช่นนี้ยากจะสังหารทหารเหนือมนุษย์ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งให้ตายได้ การโจมตีอย่างรุนแรงพุ่งเข้ามาติดต่อกัน

ร่างทองคำที่สูงหลายร้อยจั้งมีแสงพุทธะนับหมื่นเปล่งประกาย ทำให้เขาเฉวี่ยนหรงในระยะรัศมีหลายสิบลี้กลายเป็นสีทอง

กลิ่นอายของมันน่าหวาดกลัวกว่าเหวลึก ทำให้สรรพชีวิตที่ถูกแสงพุทธะสาดส่องต้องตัวสั่นงันงก คลานอยู่บนพื้น

สวี่ผิงเฟิง!

พอมองเห็นสถานภาพของ ‘คนไม่เอาไหน’ อย่างชัดเจน สวี่ชีอันก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เขากล่าวยิ้มเยาะ

“แค่ร่างอวตารร่างหนึ่ง ก็กล้าร้องเอะอะต่อหน้าข้า”

ไม่ลนลาน ไม่ลนลาน ร่างเดิมของเขามีท่านโหราจารย์จับจ้องอยู่ มาไม่ได้…สวี่ชีอันจดจ่ออยู่กับปฏิกิริยาโต้ตอบ ไม่คลายความประมาทใดๆ ลงเลย

“ก็เพราะเป็นร่างอวตาร ดังนั้นเมื่อครู่ถึงหยุดยั้งเจตนาอันเป็นศัตรูต่อเจ้าได้ ที่มาก็เพื่ออยากพูดกับเจ้าสองสามประโยค”

สวี่ผิงเฟิงเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเผยรอยยิ้มอบอุ่น

น้ำเสียงที่พูดจาก็สงบอ่อนโยน ราวกับทั้งสองมีความสัมพันธ์แบบพ่อกล่าวลาลูกยิ้มร่า แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบพ่อเมตตาลูกกตัญญู

“ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรที่ต้องคุยกัน”

สวี่ชีอันมือซ้ายกุมดาบไท่ผิง มือขวากุมกระบี่คุ้มเมือง

สวี่ผิงเฟิงหันไปกล่าวกับชายชราที่พ่ายแพ้จนร่นถอยไปไกลด้วยรอยยิ้ม

“ร่างธรรมเทพอารักษ์โจมตีและป้องกันได้ไม่เป็นรองใคร ในหนึ่งหยดแก่นโลหิตแฝงไปด้วยพลังของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ แฝงไปด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อร่างธรรมเทพอารักษ์ อย่างที่รู้ว่าที่เจียหลัวซู่กลายเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีพลังต่อสู้อันดับหนึ่งของสำนักพุทธได้ สิ่งที่เขาพึ่งพาคือร่างธรรมเทพอารักษ์นี้ เหตุใดเสินซูถึงแข็งแกร่งเกรียงไกรเช่นนี้ ก็เป็นเพราะร่างธรรมเทพอารักษ์นี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตาแก่ที่เพิ่งบรรลุระยะแรกของขั้นสองจะสามารถโจมตีแตกกระเจิงได้”

นี่เขากำลังพูดตบตาข้าว่าร่างธรรมที่เสินซูแสดงออกมาก็คือร่างธรรมเทพอารักษ์! ทว่าเกิดการพลิกเปลี่ยนเล็กน้อย…สวี่ชีอันนิ่งเงียบ ในสมองคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ใคร่ครวญถึงจุดประสงค์ในการปรากฏตัวของสวี่ผิงเฟิง

หลังจากแสดงความคิดเห็นสั้นๆ ไปหนึ่งประโยค สวี่ผิงเฟิงก็ละสายตากลับมา ไม่สนใจการต่อสู้อีก และกล่าวว่า

“หนิงเยี่ยน เห็นแก่ที่เราเป็นพ่อลูกกัน สุดท้ายข้าจะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง ข้ายินดีรับเจ้า เจ้าตามข้ากลับไปอวิ๋นโจว บุญคุณความแค้นที่ผ่านมาให้แล้วๆ กันไป ข้าจะหาวิธีช่วยเจ้าปลดตะปูตอกมาร ส่วนทางด้านเชื้อพระวงศ์ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เพียงสาบานต่อสวรรค์ว่าจะไม่เรียกตนเองว่าจักรพรรดิ พวกเขาย่อมดีใจต่อการเข้าร่วมของเจ้า เจ้าก็รู้ว่าการนำชะตาบ้านเมืองกลับมา ใช่ว่าจะต้องดึงเอามาให้ได้ ดึงเจ้าเข้าร่วมกองกำลังในบังคับบัญชา ก็ทำให้เราชะตาเมืองเฉียนหลงเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้นได้เหมือนกัน”

สวี่ชีอันจ้องมองเขาสองสามอึดใจก่อนหัวเราะ

“ในเมื่อดึงข้าเป็นพวกก็มีผลลัพธ์เช่นเดียวกัน เหตุใดวันนั้นถึงจะเอาข้าให้ตายให้ได้”

สวี่ผิงเฟิงถอนหายใจ

“เจ้าเติบโตเร็วเกินไป ตั้งแต่เจ้าผงาดขึ้นมาจนถึงวันนี้ ก็ใช้เวลาแค่ปีกว่าๆ ดึงเจ้าเป็นพวกมันเสี่ยงมาก โดยเฉพาะนิสัยของเจ้า ยอมหักไม่ยอมงอ ให้เจ้าทรยศต้าฟ่งเจ้าจะยอมหรือ”

สวี่ชีอันจ้องมองเขาราวกับคนโง่

“ตอนนี้ข้าจะยอมหรือ”

สวี่ผิงเฟิงกล่าว

“แผ่นดินต้าฟ่งสถานการณ์ง่อนแง่น ประชาชนไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ ทั้งหมดนี้เจ้าก็เห็นแล้ว ที่ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ก็เป็นเพราะนิสัยเจ้าเช่นกัน อีกไม่นานข้าจะก่อการแล้ว มีสำนักพุทธคอยช่วย ภูเขาใหญ่ของท่านโหราจารย์ลูกนี้ ใช่ว่าจะไม่อาจสั่นคลอนได้อีก เข้าร่วมกับเมืองเฉียนหลง ร่วมมือกันโค่นล้มราชวงศ์เน่าๆ ประชาชนถึงจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้ หนิงเยี่ยน นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าอยากเห็น คือเป้าหมายที่เจ้าพยายามเพื่อมันมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ที่เจ้ามีโชคชะตาร่วมกับต้าฟ่ง ก็แก้ไขได้ง่ายดายเช่นกัน หลังจากบำเพ็ญคู่กับลั่วอวี้เหิง เจ้าก็บรรลุระยะกลางของขั้นสามแล้ว จุดสูงสุดของระดับสามก็นับวันรอได้เลย พอถึงเวลาเจ้าชิงหลิงอวิ๋นของมู่หนานจือมา ก็สามารถย่ำเข้าขั้นสองได้แล้ว ยังจำคำที่ข้าพูดกับเจ้าในเมืองหลวงได้หรือไม่ หากเจ้าสามารถผสานเต๋าได้ ก็ไม่ต้องตายเพราะถูกดึงออกห่างจากชะตาบ้านเมือง”

สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับใดๆ ความเงียบคือคำตอบ

สวี่ผิงเฟิงกล่าวต่อ

“เพื่อปกป้องชีวิตเจ้า แม่เจ้าถึงกับละทิ้งวงศ์ตระกูลแอบมาคลอดเจ้าที่เมืองหลวง ยี่สิบปีมานี้นางถูกกักขังบริเวณอยู่ที่เมืองเฉียนหลง ไม่อาจออกไปได้แม้เพียงก้าวเดียว แม้ไม่ได้พูดออกมาอย่างแจ่มแจ้ง แต่ข้ารู้ว่านางคิดถึงเจ้ามาก แอบให้หยวนซวงสืบข่าวของเจ้า มองดูเจ้าเติบโตทีละก้าว มีชื่อเสียงเลื่องลือ หนึ่งปีมานี้รอยยิ้มบนใบหน้ามีมากขึ้นทุกวัน หยวนซวงกับหยวนไหวคือพี่น้องของเจ้า เพราะความสัมพันธ์ของข้า พวกเขาถึงมีท่าทีเป็นศัตรูกับเจ้าอยู่บ้าง แต่ต่อให้เป็นหยวนไหวก็แค่ไม่ยอมรับเจ้าด้วยใจจริงเท่านั้น ไม่ได้โกรธแค้นเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าต้องละทิ้งความขัดแย้งระหว่างเรา สวามิภักดิ์ต่อเมืองเฉียนหลง สิ่งที่เจ้ามีอยู่ทั้งหมดในตอนนี้ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งยังมีแม่ น้องสาว และน้องชายเพิ่มมาอย่างละหนึ่งคน ทั้งยังมีอวิ๋นโจวด้วย หลังจากสำเร็จคุณูปการอันยิ่งใหญ่ในการครอบครองที่ราบกลาง อวิ๋นโจวจะถูกเปลี่ยนเป็นสวี่โจว เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของข้า ภายหน้าสวี่โจวก็จะเป็นของเจ้า เป็นของสายเลือดเจ้า”

จากนั้นก็ให้กำเนิดลูกหลานที่นอนอยู่บนบัญชีคุณูปการบรรพบุรุษ ยกถ้วยขึ้นกินข้าวแล้ววางถ้วยลงด่าแม่หรือ

สวี่ชีอันกล่าวเรียบๆ

“หากข้าไม่ยินยอมล่ะ”

สวี่ผิงเฟิงค่อยๆ หุบยิ้มแล้วมองลงจากด้านบน

“เจ้ากลัวข้า กลัวจนนอนไม่หลับทั้งคืน”

เขาเยาะเย้ยถากถางอย่างเหยียดหยาม แต่ประโยคนี้กลับเป็นประโยคที่แฝงไปด้วยความหมายที่ยั่วเย้าและเหน็บแนมที่สุดในโลก

‘เจ้ากลัวข้า กลัวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าอาศัยลักษณะท่าทีของผู้แข็งแกร่งให้โอกาสเจ้า เจ้าที่เป็นผู้อ่อนแอกว่าไม่รู้สึกเป็นเกียรติ รู้สึกยินดี และรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกหรือ’

………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง