ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 629

บทที่ 629 พ่อเห็นลูกยังไม่ตายจึงดึงหมาป่าออกมาเจ็ดตัว (1)

บทสนทนาของทั้งสองดังก้องไปทั่วท้องฟ้าและส่งผลอย่างมากต่อผู้คนในที่นั้น

อสุราระดับเพชรล่าถอยแล้วไปยืนเคียงเทพอารักษ์ตู้หนานทันที จากนั้นก็จดจ้องไปยังศัตรู

ขณะเดียวกัน เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจิตดาบของจอมยุทธ์จึงสามารถทำลายกายระดับเพชรของเขาได้ เพราะนี่คือจอมยุทธ์ขั้นสองและเป็นจิตดาบขั้นผสานเต๋า

ผสานเต๋า นั่นหมายความว่าเป็นผู้นำของเต๋า

น่าหลันเทียนลู่หยุดนั่งสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วเพื่อให้ตัวเองพ้นจากสมรภูมิรบและเลี่ยงไม่ให้จอมยุทธ์ขั้นสองผู้นั้นเพ่งเล็งได้

‘ชายชราจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั่นเลื่อนขั้นแล้ว?’

ที่ภูเขาห่างไกล พวกหลิ่วหงเหมียนต่างก็มองหน้ากัน

“กลับไปที่เรืออวี่เฟิงก่อน จะได้ถอยเมื่อใดก็ได้” หลิ่วหงเหมียนเอ่ยเสียงเบา

“ไม่ หากกลับไปที่เรืออวี่เฟิง พวกเราก็จะกลายเป็นเป้า” ฉีฮวนตานเซียงส่ายหน้าและปฏิเสธคำแนะนำของนาง

จิ้งซินส่ายหน้าช้าๆ แล้วประนมมือ

“ทุกคนไม่เป็นอันใด ระดับเพชรทั้งสองท่านยังมีวิธีการป้องกันศัตรูอยู่”

พวกหลิ่วหงเหมียนรีบหันขวับไปมองทันที

สีหน้าของจิ้งซินสงบนิ่งอย่างมั่นใจยิ่ง

‘ขั้นสอง? ท่านบรรพชนเลื่อนขั้นเป็นขั้นสองแล้ว? เพราะรากบัวเก้าสีที่ฆ้องเงินสวี่ส่งให้อย่างนั้นหรือ?’

ความสุขใหญ่ยิ่งนี้แทบจะทำให้คนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เป็นลมให้ได้

จอมยุทธ์ขั้นสองคือสิ่งใดกัน จิ่วโจวใหญ่โตเช่นนี้ จะมีขั้นสองสักกี่คน?

ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ลั่วอวี้เหิงก็เป็นขั้นสองเหมือนกัน

หรือพูดอีกอย่างก็คือ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มีจอมยุทธ์ขั้นสองอยู่หนึ่งคน สามารถจัดอยู่ในกลุ่มสำนักทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดได้แล้ว

และทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่ฆ้องเงินสวี่นำมาให้

“ท่านบรรพชนเลื่อนขั้นสู่ขั้นสองแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ…”

“ฆ้องเงินสวี่คือดาวนำโชคของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จริงๆ”

“ตอนที่ชิงเม็ดบัวคราวนั้น การที่ผู้นำพันธมิตรเฉาไม่ได้สร้างศัตรูกับเขาช่างเป็นเรื่องฉลาดจริงๆ นักรบผู้ชาญฉลาด”

“ใช่ ผู้นำพันธมิตรเฉาเป็นนักรบผู้ชาญฉลาด”

ฟู่จิงเหมิน หยางซุยเสวี่ย และเหล่าจอมยุทธ์ต่างก็ดีใจแทบบ้า คิดเพียงแต่ว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังจะได้พบกับยุคสมัยที่รุ่งเรืองและเป็นเป็นเลิศที่สุดแล้ว

เมื่อได้ยินคนข้างๆ เอ่ยชื่นชมฆ้องเงินสวี่ คุณชายหลิ่วก็ทอดมองไปยังเซียวเยว่หนูอย่างอดมิได้

มุมปากของนางมีรอยยิ้มงดงามแต้มอยู่ ไม่รู้ว่าดีใจเพราะท่านบรรพชนทะลวงระดับได้ หรือว่าเพราะฆ้องเงินสวี่เป็นผู้กำจัดวิกฤตให้

‘ผู้ดูแลหอเซียวจะชื่นชมฆ้องเงินสวี่ด้วยหรือไม่นะ…สตรีจากหอหมื่นบุปผาอย่างพวกนางมักจะชอบบุรุษรูปงามหล่อเหลา และผู้วิเศษที่จัดได้ว่าเป็นอัจฉริยะอย่างฆ้องเงินสวี่ แม้ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นสิ่งล่อลวงพวกนางมากแค่ไหน…มีเพียงคนงามหมดจดเช่นผู้ดูแลหอเซียวเท่านั้นที่คู่ควรกับฆ้องเงินสวี่…’

เมื่อคุณชายหลิ่วคิดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกหัวใจแตกสลาย

บนเรืออวี่เฟิง จีเสวียนค่อยๆ ถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

“เข้าใจแล้ว เขายื้อเวลามาโดยตลอดเพื่อรอให้ชายชราผู้นั้นเลื่อนสู่ขั้นสอง เฮ้อ ถ้าหากน่าหลันเทียนลู่และระดับเพชรสำนักพุทธฟังคำแนะนำจากพวกเราที่ให้ทำลายสถานที่กักตนของเฒ่าชราไปเสียให้สิ้นซาก การต่อสู้ครานี้พวกเราคงจะชนะได้แล้ว”

สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงเรียบ

“ในสายตาของพวกเขา กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่สำคัญ เฒ่าชราผู้นั้นจะอยู่หรือตายก็ไม่สำคัญเช่นกัน อีกอย่าง จอมยุทธ์อายุเพียงไม่กี่ร้อยปีที่ประกาศตนว่าเหนือสามัญจะนับว่าเป็นอะไรได้”

นางในตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความเศร้าโศกสักนิด ราวกับที่ร้องไห้ไปเมื่อครู่ไม่ใช่ตน

สวี่หยวนซวงเอ่ย

“ด้วยไหวพริบของท่านพ่อ ย่อมไม่มีทางไม่คำนวณเรื่องรากบัวเก้าสีที่อยู่กับตัวสวี่ชีอันหรอก ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงมีรากบัวเก้าสี แต่ท่านพ่อต้องรู้แน่ พอคิดจากเรื่องนี้แล้ว คาดว่าท่านพ่อก็น่าจะมีวิธีการอื่น หรือไม่ก็ ท่านกับบิดามีแผนการอีกอย่างแล้ว?”

จีเสวียนเอ่ยหัวเราะ

“น้องหยวนซวงช่างฉลาดเป็นกรด ลองเดาดูสิ”

สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วไม่เอ่ยพูด

เส้นผมด้านหลังของชายชราห่อหุ้มร่างกายราวกับหนวดและปกปิดตำแหน่งสำคัญเอาไว้

“นับว่าไม่เลว”

เขาสังเกตดูตนเองอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็มองไปยังระดับเพชรแล้วหัวเราะ

“ระดับเพชรสำนักพุทธมาเยือนเจี้ยนโจวของข้าเสียได้ เมื่อไหร่กันที่มือของดินแดนประจิมทิศยื่นมายาวเช่นนี้”

อสุราระดับเพชรประนมมือ น้ำเสียงเคร่งขรึมหนักแน่น

“แสงสว่างแห่งพุทธส่องไปสู่ทุกคน ยังจะมีที่ใดที่ไปไม่ได้”

ชายชราหรี่ตาลงแล้วเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ

“รวบรวมปราณมังกรของต้าฟ่ง มีเจตนาจะปลุกปั่นยุยงในภาคกลาง สำนักพุทธยังคงอวดเก่งบ้าคลั่งเช่นเดิม เห็นว่าต้าฟ่งของเราไม่มีคนแล้วจริงๆ สิท่า”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าอสุราระดับเพชรแล้วยื่นมือออกมาดั่งคมดาบ

เพราะสัญชาตญาณเตือนภัยทำให้อสุราระดับเพชรตอบสนองได้ล่วงหน้า เขายกแขนขึ้นมาป้องกันอก จากนั้นพลังของระดับเพชรก็พวยพุ่งแล้วกลายเป็นม่านปราณทรงกลม

นี่คือพลังที่สามารถใช้ออกมาได้เมื่อฝึกพลังเทพวชิระจนถึงระดับลึกล้ำแล้ว

‘แกร่ก!’

ชายชราใช้ฝ่ามือดาบสะกิดเบาๆ ก็เจาะม่านปราณทรงกลมได้แล้ว

แสงสีทองแตกกระจายกลายเป็นระลอกคลื่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวหลายสิบเมตร

ทันใดนั้น เขาก็หันศีรษะไปด้านข้าง หมัดสีทองเฉียดผ่านลำคอของเขา โดยที่คราแรกมันตั้งใจจะชกไปที่ด้านหลังศีรษะของเฒ่าชรา

เทพอารักษ์ตู้หนานไม่รู้ว่าเคลื่อนไหวตั้งแต่เมื่อใด เขาเข้ามาโจมตีจากทางด้านหลัง

ชายชราพลิกข้อมือ เขาตวัดฝ่ามือมีดไปโดนข้อมือของเทพอารักษ์ตู้หนานได้พอดิบพอดี จิตดาบที่รวมกันบนคมดาบเฉือนผ่านผิวหนังสีทองคำ

เลือดสีทองไหลหยด

“ผิวหยาบเนื้อหนา!”

ชายชราที่เดิมทีคิดจะฟันฝ่ามือของระดับเพชรในการโจมตีครั้งเดียวก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น

กายเนื้อที่มีระดับเพชรป้องกัน แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสองอย่างมาก

ข้อมือของเทพอารักษ์ตู้หนานเจ็บปวดอย่างยิ่ง เขาตัดสินใจถอยออกมาอย่างรวดเร็ว

แต่เขาไม่อาจถอยกลับไปได้สำเร็จ เพราะข้อมือถูกชายชราจับเอาไว้ แล้วดึงกระชากจนทุ่มศัตรูข้ามไหล่ไปล้มลงกับพื้น

‘ตึง!’

ระดับเพชรที่สูงใหญ่ราวกับเจดีย์เหล็กกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง พลังอันน่าสะพรึงพุ่งผ่านตัวเขาแล้วทะลุภูเขา ผ่าหินด้านในจนแตกร้าว รอยแตกกระจายไปจนถึงด้านในเนื้อของภูเขา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ภูเขาหลักของภูเขาเฉวี่ยนหรงแตกร้าวไปทั่วราวกับกระเบื้องลายคราม

เบื้องหน้าเทพอารักษ์ตู้หนานเป็นสีดำสนิท จิตสำนึกของเขาสั่นสะเทือน ขณะที่ร้องครวญคราง เลือดสีทองก็พุ่งออกมาจากปากของเขาเป็นจำนวนมาก

เสียเปล่าซะแล้ว…สวี่ชีอันที่อยู่ไกลๆ กลืนน้ำลายไปคำหนึ่ง

แววตาของเทพอารักษ์ตู้หนานเลื่อนลอยแล้วสลบไสลไปชั่วขณะ

อีกด้านหนึ่ง อสุราระดับเพชรตู้ฝานก็ยกก้อนหินขนาดใหญ่ที่หนักหลายสิบตัน จากนั้นก็ส่งเสียงร้องเบาๆ แล้วเขวี้ยงใส่ชายชราเต็มกำลัง

‘ฮู่ว…’

เงาดำหลายสายเข้ามาปกคลุมชายชรา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง