บทที่ 634 คิดบัญชีย้อนหลัง
สิ้นสุรเสียง เหล่าองค์หญิงและท่านหญิงต่างมีสีหน้าเป็นกังวล
ในบรรดาพวกนาง บางคนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเองจึงไม่ใส่ใจนัก บ้างก็แอบดีใจที่ผู้เป็นบิดาและพี่น้องต่างจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ บ้างก็กลัวว่าชีวิตอันผาสุกที่กินดีอยู่ดีจะได้รับผลกระทบ
มีเพียงหลินอันผู้เดียวที่เป็นห่วงเป็นใยผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดด้วยใจจริง
ฮว๋ายชิ่งเองก็เป็นกังวลห่วงใยอย่างจริงใจเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของจักรพรรดิหย่งซิ่ง แต่เป็นมุมมองภาพรวมในระดับสูงกว่า
“ถ้าหากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ข้าราชการทั้งหลายจะไม่บังคับให้ฝ่าบาทออกพระราชกฤษฎีกาสำนึกโทษหรือ?”
“บางคนอาจฉกฉวยโอกาสกล่าวหาว่า ฝ่าบาททรงเรียกร้องเงินบริจาคจึงทําให้เหล่าบรรพบุรุษพิโรธ” บรรดาขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋นที่ไม่พอใจพระองค์เหล่านี้ย่อมมีเหตุผลโจมตีฝ่าบาทอยู่แล้ว”
“ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถือเป็นการทำลายเกียรติยศของพระองค์อย่างใหญ่หลวง”
พวกนางโต้เถียงกันจนฟังไม่ได้ศัพท์ ฮว๋ายชิ่งเห็นใบหน้าของหลินอันแล้วก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว คิ้วเรียวขมวดมุ่น ในใจทุกข์ร้อน
ตั้งแต่จักรพรรดิหย่งซิ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ หลินอันมีความกังวลเรื่องกิจการบ้านเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ และให้ความสนใจทั้งเรื่องสำคัญและเรื่องเล็กน้อยทั้งหมด
แน่นอนว่านางไม่ได้มุ่งมั่นในด้านการเมืองและเริ่มกระหายอำนาจในทันที
ก่อนหน้านี้ที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเรืองอำนาจ นางต้องแสร้งเป็นนกขมิ้นที่ไร้กังวลเท่านั้น สำหรับเรื่องทางการเมือง นางไม่อาจข้องเกี่ยวและไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม
ปัจจุบันจักรพรรดิหย่งซิ่งขึ้นครองราชย์แล้ว ภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นเปรียบเหมือนโรคภัยร้ายแรง ล้มล้างราชวงศ์ที่กำลังสูญสิ้น
ในฐานะพี่น้องของจักรพรรดิก็ต้องเป็นหนังหน้าไฟ เผชิญหน้ากับความกดดันนี้โดยตรง ราวกับเหยียบย่ำอยู่บนธารน้ำแข็งแผ่นบาง
เมื่อครองบัลลังก์ช่วงแรกๆ ทรงบริหารจัดการบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองอย่างแข็งขัน บัดนี้แรงกำลังฮึกเหิมนั้นหมดลง จักรพรรดิองค์ใหม่เริ่มเผยความอ่อนแอให้เห็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมุหราชเลขาธิการหวางเจ็บป่วยด้วยโรคภัย ไม่สามารถก้มหน้าก้มตาร่างหนังสือราชการได้ตลอดทั้งคืนเหมือนแต่ก่อน ความกดดันของจักรพรรดิก็ยิ่งมากขึ้น
ในฐานะน้องสาวของจักรพรรดิหย่งซิ่ง หลินอันไม่สามารถทำอะไรไม่รู้จักคิด เป็นองค์หญิงผู้ไร้ความกังวลใจเหมือนก่อนหน้านี้ได้
ว่ากันตามจริงแล้ว จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่สามารถให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่นางได้ นางจะกังวลและเป็นห่วงพี่ชายของนางเสมอ
ในช่วงรัชสมัยจักรพรรดิหยวนจิ่ง แม้ว่าสถานการณ์ของราชวงศ์จะไม่ค่อยดี ความแข็งแกร่งของประเทศชาติก็ลดลงทุกคืนวัน แต่กระนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งก็เป็นกษัตริย์ที่ปราบปรามขุนนางได้
เวลานี้ ขันทียกชาร้อนมาให้องค์หญิงใหญ่
ฮว๋ายชิ่งหยิบติดมือขึ้นมา จิบอย่างไม่ตั้งใจนัก ต่อจากนั้นจึงสังเกตเห็นความสงสัยและความประหลาดใจสะท้อนในดวงตาของขันที
นางหรี่ตาเล็กน้อย วางแก้วน้ำชาลงโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ร้อนจัง”
ขันทีกราบบังคมทูลว่า “ข้าน้อยสมควรตาย”
ฮว๋ายชิ่งขานรับ “อืม” ไม่มีเจตนาที่จะลงโทษ สองมือวางประสานกันบนหน้าท้องแบนราบ จดจ่ออยู่กับการครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาของวัดหย่งเจิ้นซานเหอ
‘ตึก ตึก’ …นางเคาะโต๊ะชาอยู่หลายครั้ง เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ของเหล่าสตรีชนชั้นสูงพลันหยุดลง
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดแผ่นดินไหว?” นางถาม
หลินอันส่ายหน้า “ตามรายงานกองทหารรักษาวัง พวกเขาไม่รู้ว่ามีแผ่นดินไหว ภายในวังก็ไม่มีแผ่นดินไหวเช่นกัน มีเพียงที่ซังผอเท่านั้น”
ซังผออยู่ใกล้พระราชวังและกองกำลังรักษาวัง ถ้าเกิดแผ่นดินไหวจริง เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะไม่รับรู้แม้แต่น้อย
หลินอันลังเลเล็กน้อย เอนแนบข้างหูฮว๋ายชิ่ง กระซิบว่า
“ข้าได้ยินจ้าวเสวียนเจิ้นบอกว่ารูปปั้นของจักรพรรดิเกาจู่ถล่ม
“ดาบสยบดินแดนหายไปแล้ว”
รูม่านตาฮว๋ายชิ่งหดตัวลงเล็กน้อย จ้องนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ใบหน้าไข่หงส์ของหลินอันก็จริงจังมากเช่นกัน จิกกระชากหัวนางอย่างแรง
ถ้าเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์เป็นส่วนใหญ่ นอกจากโหราจารย์แล้ว บนโลกไม่มีใครสามารถควบคุมกระบี่สยบดินแดนได้ตามต้องการ…พอท่านโหราจารย์เอากระบี่สยบดินแดนไป หลังจากนั้นในวัดหย่งเจิ้นซานเหอ เกิดเหตุแผ่นป้ายบรรพบุรุษทั้งหมดล้มลงและรูปปั้นของจักรพรรดิเกาจู่ก็ถล่ม…
เวลานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงต้องให้ท่านโหราจารย์ใช้กระบี่สยบดินแดน? ไม่สิ เขาไม่จำเป็นต้องใช้เอง ด้วยสถานะของท่านโหราจารย์ อาจไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่สยบดินแดนเสียด้วยซ้ำ…
สวี่ชีอันงั้นหรือ!
ใบหน้าชายเจ้าชู้มากรักผุดขึ้นในสมองฮว๋ายชิ่ง นางสูดลมหายใจเข้าลึก สลัดใบหน้านั้นออกไปจากความคิดของนาง
ต่อมา นางจึงใช้ข้ออ้างว่าจะไปห้องพระบังคน จึงออกจากห้องโถงด้านข้าง มาถึงภายในห้องสะอาดกว้างขวางและเงียบสงบมีม่านทอไหมสีเหลืองห้อยลงมา นางดึงถุงบุหงาจากสายคาดเอว หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจากในถุง
หมายเลขหนึ่ง “กระบี่สยบดินแดนหายไป ทุกคนรู้รายละเอียดหรือไม่?”
ผ่านไปสักครู่ก็ยังไม่มีคนตอบกลับมา
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว ส่งกระแสจิตกลับไป
หมายเลขหนึ่ง “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะ”
ยังไม่มีเสียงตอบรับ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเลย
หมายเลขห้า “กระบี่สยบดินแดนหายหรือ งั้นก็รีบไปหามันสิ”
ในที่สุดก็มีคนตอบรับ แต่น่าเสียดายที่เป็นลี่น่า
หมายเลขห้า “หมายเลขหนึ่ง พระราชวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ กระบี่สยบดินแดนแห่งต้าฟ่งถูกผนึกไว้ในซังผอไม่ใช่รึ มาบอกว่าหายก็หายเลยหรือไร? ที่นั่นคือซังผอเชียวนะ”
หมายเลขห้า “กระบี่สยบดินแดนก็ยังสูญหายได้ เช่นนั้นจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งก็ต้องระมัดระวัง โจรยังขโมยกระบี่สยบดินแดนไปได้ ย่อมขโมยพระเศียรของพระองค์ได้เช่นกัน”
‘เอาเถอะ ข้าพูดไปเสียยกใหญ่’
‘ไม่คุ้มที่จะต้องเสียเวลากับนาง พูดจาไม่ชัดเจน…’ ฮว๋ายชิ่งจำใจตอบกลับ
“ไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลัง”
เก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีใหม่อีกครั้ง
…
ภายในห้องทรงอักษร
สมาชิกราชวงศ์มารวมตัวกัน ที่แห่งนี้รวบรวมคนสามชั่วอายุไว้ด้วยกัน มีทั้งเสด็จอาลี่หวาง เสด็จอาอวี้อ๋องของจักรพรรดิหย่งซิ่งและพี่น้องของเขา
บรรยากาศภายในห้องโถงจริงจังกันมาก ท่านอ๋องในชุดไปรเวทท่านหนึ่งขมวดคิ้วแน่น
“สำนักโหราจารย์สามารถตอบกลับได้หรือไม่?”
“ท่านโหราจารย์ยังไม่ได้ตอบกลับมา”
ชินอ๋องทุกคนค่อนข้างผิดหวัง โกรธและไม่มีทางเลือก แม้แต่ในช่วงที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงครองราชย์ ท่านโหราจารย์ก็ยังไม่สนใจเขาและจงรักภักดีต่อรักราชวงศ์เลย
“กระบี่สยบดินแดนอยู่ที่ใดกัน?”
“กระบี่สยบดินแดนถูกท่านโหราจารย์นำไปตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน เรื่องเขารู้ดีกว่าเรา”
เสียงถามตอบดําเนินไปครู่หนึ่ง จากนั้นเหล่าชินอ๋องและจวิ้นอ๋องก็สงบ
“ถ้าไม่ใช่เพราะแผ่นดินไหว แล้วอะไรทำให้บรรพบุรุษพิโรธได้เล่า?” อย่างที่บอกไว้แต่ไหนแต่ไรว่าไม่ต้องเรียกร้องรับเงินบริจาค จะทำให้ทรงเสียพระทัย ฝ่าบาทไม่ฟังคำเตือนจากเราเลย พาลให้ตอนนี้พวกบรรพบุรุษพากันกริ้วใหญ่ เฮ้อ…” ชินอ๋องอีกท่านกล่าวเสียงขรึม
ได้ยินเช่นนี้ ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องต่างชำเลืองมองจักรพรรดิหย่งซิ่ง ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา
แผ่นป้ายบรรพบุรุษทุกท่านแตกหัก นี่เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก
ถ้าหากเกิดเรื่องนี้ขึ้นในบางตระกูลใหญ่ๆ คนในตระกูลอาจจะถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์
แม้นคุณสมบัติของผู้ปกครองประเทศ กำหนดไว้ว่าไม่สามารถทดแทนกันได้ง่ายๆ แต่กระนั้น สายตาของสมาชิกราชวงศ์ที่มองจักรพรรดิหย่งซิ่งก็เต็มไปด้วยการตำหนิติเตียน
คิดว่าเขาไม่ใช่กษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา
หลังจากความเงียบปกคลุมชั่วขณะ จวิ้นอ๋องผู้มีผมเผ้าหงอกขาวก็กล่าวว่า
“เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับการประคับประคองชีพจรในอวิ๋นโจวหรือไม่?”
บรรดาชินอ๋องตกตะลึง
หลังจากสวี่ชีอันขจัดความวุ่นวายจากจักรพรรดิองค์ก่อน สวี่ผิงเฟิงก็ปรากฏตัว ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา ได้เผยให้เห็นภายใต้แสงอรุณแล้ว
บุคคลสำคัญในราชวงศ์ คนกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นแกนนำหลักของอำนาจเช่นปราชญ์มหาสำนักราชเลขาธิการและบรรดาชินอ๋อง รู้ว่าห้าร้อยปีก่อนมีการประคับประคองชีพจรนั้นซุ่มซ่อนอยู่ในอวิ๋นโจว เพื่อก่อการกบฏ
“ความหมายของอวี้อ๋องก็คือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาบ้านเมืองงั้นหรือ”
“สวี่ผิงเฟิงเป็นลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์ และโหรย่อมใกล้ชิดกับชะตาบ้านเมือง…”
“สำหรับจักรพรรดิเกาจู่ ขบวนประคับประคองชีพจรห้าร้อยปีก่อน ก็ถือเป็นลูกหลานของตระกูลจีเช่นกัน…”
จักรพรรดิหย่งซิ่งยิ่งฟังความ สีหน้ายิ่งผันเปลี่ยนดูน่ากลัว
แววตาขององค์ชายสี่ทอประกาย ตรัสเสียงขรึมว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง