ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 633

บทที่ 633 หลี่หลิงซู่ ‘ถึงเวลาที่ข้าต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คนแล้ว’

ชั่วขณะที่สวี่ชีอันบินอยู่บนฟ้าก็พบร่างของเทพอารักษ์อสูรในพื้นที่ราบระหว่างภูเขาแห่งหนึ่ง

เขาจมอยู่ในแอ่งเลือดสีทองเข้มอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาทั้งสองข้างว่างเปล่าและตายอย่างเงียบๆ

สวี่ชีอันร่อนลงบนพื้น ก่อนจะก้าวไปที่ข้างศพของเทพอารักษ์อสูรทันที เขาใช้เจิ้นกั๋วเจี้ยนตัดหลอดเลือดของเทพอารักษ์อสูร ก่อนจะอ้าปากดูดเลือดเข้าไป

‘อึกอึก…’

ลูกกระเดือกม้วนตัวอย่างกระหาย เลือดของเทพอารักษ์กลายเป็นลำธารไหลเข้าไปในปาก แผดเผาช่องท้องของสวี่ชีอันราวกับลาวาร้อนระอุ

ร่างของเทพอารักษ์อสูรแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

ยิ่งดูดกลืนเลือดศักดิ์สิทธิ์ของเทพอารักษ์มากขึ้นเรื่อยๆ รูม่านตาของสวี่ชีอันก็เปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม เส้นเลือดสีทองปูดโปนขึ้นบริเวณโหนกแก้ม จากนั้นผิวหนังก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีทอง

เขาถูกห่อหุ้มไปด้วยแสงสีทองวูบวาบราวกับลมหายใจเข้าออก

กระบวนการนี้กินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม จากนั้นแสงสีทองก็ค่อยๆ ลดความสว่างลง

สวี่ชีอันในเวลานี้ ผิวของเขาเป็นสีทองเข้ม กล้ามเนื้อเป็นมัดค่อยๆ ยืดออกทีละน้อย วงแหวนไฟปรากฏขึ้นที่ด้านหลังศีรษะ อุณหภูมิโดยรอบเริ่มสูงขึ้น

เขากลายเป็นผู้น่าเกรงขามและสุขุมอย่างยิ่ง ราวกับผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรองค์หนึ่ง

“พลังปราณไม่เปลี่ยนแปลง แต่พลังและความแข็งแกร่งของร่างกายพุ่งสูงขึ้น ข้าในตอนนี้ ต่อให้ไม่มีเจิ้นกั๋วเจี้ยนก็สามารถเอาชนะตู้หนานหรือเทพอารักษ์ตู้ฝานได้ตัวต่อตัว…ข้าในตอนนี้ เทียบเท่ากับการรวมตัวของยอดฝีมือขั้นสามและเทพอารักษ์ขั้นสาม”

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง สวี่ชีอันก็รู้สึกปลื้มปีติอย่างยิ่งที่ค้นพบว่าในที่สุดเขาก็ก้าวทันพลังเทพวชิระและก้าวเข้าสู่ขอบเขตของเทพอารักษ์ขั้นสาม

ตอนนี้เขามีร่างของเทพอารักษ์ขั้นสามและความสามารถในการรักษาตัวเองของจอมยุทธ์ขั้นสามอยู่ในครอบครอง

ในขอบเขตขั้นสามนี้ เขาเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างสมบูรณ์ หากสามารถปลดตะปูผนึกมารและฟื้นฟูการบำเพ็ญได้ เช่นนั้นการเป็นอันดับหนึ่งในอาณาจักรนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“รวบรวมปราณมังกรของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ได้ทั้งสองตัว ได้รับสถานะของเทพอารักษ์ ข้าได้กำไรแล้ว…ข้าจำได้ว่าจ้าวโส่วเคยบอกว่า การอัญเชิญเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ต้องชดใช้ด้วยราคามหาศาล แม้กระทั่งชีวิต ตอนนั้นที่เว่ยกงอัญเชิญวิญญาณปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็มีความมุ่งมั่นที่จะเดินเข้าสู่หนทางสู่ความตาย ข้าใช้ร่างของขั้นสามในการอัญเชิญวิญญาณจักรพรรดิเกาจู่ นอกจากภาระที่ต้องแบกรับมากจนเกินไปแล้ว ข้าก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลสะท้อนกลับแต่อย่างใด หรือเป็นเพราะข้าต้องรับผิดชอบชะตาบ้านเมืองอย่างนั้นรึ?”

สวี่ชีอันที่ไม่ได้รับคำตอบทิ้งความสงสัยเอาไว้เบื้องหลัง ความสนใจของเขาถูกดึงดูดโดยสร้อยข้อมือที่อยู่บนข้อมือของเทพอารักษ์อสูรแทน

สร้อยข้อมือนี้มีกลิ่นอายของเทียนกู่ เป็นอาวุธเวทมนตร์ขั้นสูงชิ้นหนึ่งที่มีความสามารถในวิชา ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’

มันถูกถักทอขึ้นจากเส้นไหม ห้อยประดับด้วยฟันสัตว์ แผ่นทองแดงและหยกหลากสีสัน

อาวุธเวทมนตร์ของเผ่าเทียนกู่มีสถานะสูงมาก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ผู้เฒ่าเทียนกู่ที่เป็นพันธมิตรกับซินเจียงตอนใต้ได้ทิ้งไว้

“ในอนาคตข้าต้องไปที่ซินเจียงตอนใต้อย่างแน่นอน เก็บอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนี้ไว้ก่อน ถึงเวลาค่อยมอบให้กับหญิงชราแห่งเทียนกู่เป็นของขวัญ ของที่ระลึกของสามีผู้ล่วงลับ นางน่าจะสนใจมันไม่น้อย…”

สวี่ชีอันนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา จากนั้นก็ดูดซับปราณมังกรในร่างกายแล้วนำสร้อยข้อมือและร่างของเทพอารักษ์อสูรเก็บเข้าไปด้านใน

ร่างของเทพอารักษ์ก็เป็นวัตถุชั้นยอดในการกลั่นอาวุธเวทมนตร์หรือยาอายุวัฒนะ เขาวางแผนจะส่งไปให้ซุนเสวียนจีเป็นการตอบแทน

“ตู้หนานและตู้ฝานตกอยู่ที่เจี้ยนโจว สำนักพุทธไม่มีขั้นสามอย่างสมบูรณ์แล้ว และก็ไม่รู้ว่าทางฝ่ายอรัญตาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร พระโพธิสัตว์จะปรากฏตัวออกมาแล้วร่วมมือกันฆ่าข้าหรือไม่?”

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็กัดฟันกรอด

พระอรหันต์ตู้ฉิงถูกปิดผนึกอยู่ที่สำนักโหราจารย์ เทพอารักษ์ตู้ฝานและตู้หนานก็ร่วงหล่น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขา

“ถึงแม้เดิมทีสำนักพุทธและข้าจะมีความขัดแย้งกัน แต่ตอนนี้เกรงว่าคงไม่หยุดจนกว่าจะตาย ข้าที่กำลังจนตรอก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง เฮ้ ชีวิตของตู้หนานและตู้ฝานก็ควรถือว่าเป็นใบมอบตัวสิ”

จนกระทั่งสวี่ชีอันจากไป ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มีเฉาชิงหยางเป็นตัวแทนถึงค่อยๆ ค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงและค้นหาตนเอง

“จบแล้วรึ ไม่มีศัตรูอีกแล้วกระมัง?”

“สำนักพุทธยังมีพระโพธิสัตว์ย่างกรายมาด้วยรึ? เช่นนั้นสำนักพ่อมดยังมียอดฝีมือขั้นหนึ่งที่ยังไม่มาหรือไม่?”

“ฆ้องเงินสวี่ไปที่ใดแล้วเล่า หรือว่ายังมีศัตรูทรงพลังที่ต้องจัดการอีกรึ?”

ในฝูงชนมีคนตั้งคำถามไม่หยุด สงสัยว่าการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดและทั้งสองฝ่ายยังมีไพ่ใบสุดท้ายที่ยังไม่เปิดออกมา

หลังจากเณรน้อยขั้นสี่แห่งสำนักพุทธจู่โจมกะทันหัน จนถึงความชุลมุนวุ่นวายระหว่างขั้นสี่และการต่อสู้ระหว่างชายในชุดคลุมทั้งแปดกับเฉาเหมิงจู่ ตามด้วยการพุ่งลงมาจากฟากฟ้าของเทพอารักษ์ ศิษย์อันดับสองของท่านโหราจารย์ ‘ปิดประตู’ ใส่เทพอารักษ์ จากนั้นเจ้าแห่งวัสสานสำนักพ่อมดก็ลงมือโจมตีด้วยสายฟ้าฟาด

ฆ้องเงินสวี่ปรากฏตัวออกมา ทำให้เจ้าแห่งวัสสานสำนักพ่อมดได้รับบาดเจ็บสาหัส บรรพชนเอาชนะอุปสรรค ร่างสีทองพร้อมแขนสิบสองคู่เยื้องกรายมาถึง ชายชุดขาวปรากฏตัวขึ้น ฆ้องเงินสวี่อัญเชิญร่างธรรมของจักรพรรดิเกาจู่ออกมา…

การที่สำนักพุทธ ‘พลิกแพลงตามสถานการณ์’ ที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ทำให้เกิดความเจ็บปวดในจิตใจกับทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

การต่อสู้ของเทพเจ้าทำให้กลุ่มมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาเหมือนกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ

‘ตุบ’ …ชายชราคนหนึ่งมาถึงที่ยอดเขาทางใต้ เขากวาดสายตามองทุกคน จากนั้นก็มองเฉาชิงหยางและกล่าวว่า “จัดการแก้ปัญหาที่ตามมากันเถอะ”

ตอนนี้เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ ยืนยันได้แล้วว่าการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

ทุกคนต่างก็โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก

“ขอรับ ท่านบรรพชน!”

เฉาชิงหยางสังเกตมองผู้เฒ่าอย่างลับๆ พลางนำกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาออกไป

“ท่านบรรพชน ฆ้องเงินสวี่ไปไหนรึ?”

เซียวเยว่หนูยังไม่เดินไปและแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม

ทันใดนั้นทุกคนก็มองไปที่ท่านบรรพชนทันที

“ไม่ต้องเป็นห่วงเขา”

ผู้เฒ่าโบกมือหย็อยๆ

ทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ถึงวางใจลง

ในภูเขาที่แห้งแล้งอันห่างไกลจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ตงฟางหว่านหรงร่อนลงสู่ข้างลำธารเล็กๆ บนภูเขา

“ฮู้…”

นางกุมหน้าอกพลางทอดถอนใจ ก่อนจะนั่งลงบนพื้นและกล่าวด้วยความรีบร้อน “ท่านอาจารย์ ทำไมต้องหนีด้วยเล่า? โหรชุดขาวเมื่อครู่ใช่ลูกศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ที่ท่านพูดถึงหรือไม่”

น่าหลันเทียนลู่ตอบรับ “อืม” และกล่าวว่า “เขาเป็นหนึ่งในผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนยุทธการด่านซานไห่”

เป็นเขาจริงๆ ด้วย…ตงฟางหว่านหรงสูดหายใจเข้าและกล่าวด้วยความสับสนว่า “เช่นนั้นก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องหนีเลย อย่างที่ท่านพูด แม้เขาจะไว้ใจไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นพันธมิตรชั่วคราวได้”

น่าหลันเทียนลู่เงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของยาโลหิตจากร่างเด็กคนนั้น”

“ใครรึ?” ตงฟางหว่านหรงไม่เข้าใจ

น่าหลันเทียนลู่กล่าวว่า “เจ้าเด็กจีเสวียนนั่น ร่างของเขามีกลิ่นอายของยาโลหิต ข้าเดาว่าสวี่ผิงเฟิงต้องการอาศัยพลังของปราณมังกรในการช่วยให้จีเสวียนเลื่อนสู่ขั้นสาม”

เขารู้ว่าตงฟางหว่านหรงไม่เข้าใจ จึงพยายามอธิบายอย่างอดทน “ตั้งแต่สมัยโบราณ มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จอมยุทธ์จะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสาม วิธีแรกคือการพึ่งพาภูมิหลังของตนเอง ให้ความอบอุ่นหล่อเลี้ยงกายเนื้อ ละทิ้งร่างกายของมนุษย์ธรรมดา เปิดประตูสู่เส้นทางเหนือมนุษย์ วิธีที่สองคือรวบรวมแก่นแท้แห่งชีวิตเพื่อสร้างยาโลหิต กลั่นปราณชีวิตมากมายมหาศาลเพื่อเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสาม เส้นทางนี้อันตรายมาก แทบจะไม่มีใครทำได้สำเร็จ แต่มันก็สอดคล้องกับกฎของสวรรค์และโลก ดังนั้นมันจึงมีความเป็นไปได้เล็กน้อย ผู้ที่แบกรับโชคชะตาจะได้รับพรจากสวรรค์ หากกลืนกินยาโลหิตก็จะมีประกายแห่งความหวัง”

ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้วกล่าวว่า “สอดคล้องกับกฎของสวรรค์และโลกงั้นรึ?”

น่าหลันเทียนลู่กล่าวว่า “ดอกไม้ นก ปลา แมลง มนุษย์ สัตว์ประหลาด ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนกำลังปล้นทุกสิ่งที่สามารถปล้นได้ ชีวิตขึ้นอยู่กับการปล้น บางทีรูปแบบการปล้นอาจจะเปลี่ยนไป แต่ธาตุแท้แก่นสารไม่เปลี่ยน ด้วยเหตุนี้ การเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตและกลั่นยาโลหิตเพื่อเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสามจึงไม่ใช่หนทางสู่ความตายเสมอไป”

ตงฟางหว่านหรงพยักหน้า จู่ๆ นางก็นึกถึงสวี่ชีอัน บุคคลนี้เติบโตขึ้นมาจากปีที่มีการตรวจสอบข้าราชสำนัก ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี เขาแซงหน้าสหายรุ่นเดียวกันและเลื่อนขั้นเป็นเหนือมนุษย์

เห็นได้ชัดว่าเขาก็เดินอยู่ในเส้นทางนี้ด้วย

น่าหลันเทียนลู่กล่าวต่อไปว่า “มนุษย์ทุกคนต่างก็มีชะตากรรม อย่างเช่นเจ้าแห่งวัสสานขั้นสอง แม้จะสามารถส่งผลโดยตรงต่อพลังการรบโดยรวมของสำนักพ่อมด แน่นอนว่าก็เป็นผู้ที่มีโชค เทพอารักษ์ทั้งสองก็เป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งของระดับบรรลุธรรมล้วนเป็นคนที่มีโชคมาก ข้อแตกต่างมีเพียงความมากน้อยของโชคเท่านั้น”

สีหน้าของตงฟางหว่านหรงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านอาจารย์หมายความว่าศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ท่านนั้นต้องการจะฆ่าท่าน และปล้นโชคของท่านรึ?”

น่าหลันเทียนลู่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่เขาปรากฏตัว เขาทำนายโชคชะตาให้ข้า เห็นได้ชัดว่าข้ามีโชคมาก แต่โหรระดับบรรลุธรรมสามารถอำพรางความลับสวรรค์และยับยั้งวิชาพยากรณ์โชคชะตาได้ การระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาด หากสวี่ชีอันไม่ตาย เช่นนั้นพวกเราก็จะอยู่ในอันตราย”

“ด้วยสถานะการเป็นอาจารย์และลูกศิษย์ของพวกเรา การอยู่ที่นั่น ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะก็ล้วนเป็นอันตราย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ถอยก่อนเล่า? สำหรับผลสุดท้าย เฮ้อ ตามสืบหลังจากจบเรื่องก็ย่อมได้”

ท่านอาจารย์ยังคงมั่นคงมาก…ตงฟางหว่านหรงเลื่อมใสศรัทธาอยู่ในใจ

ท่ามกลางท้องฟ้าสูง เรืออวี่เฟิงกำลังบินอยู่เหนือทะเลเมฆ

ลมแรงถูกปิดกั้นอยู่ที่นอกค่ายกล บนเรือถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัด สวี่ผิงเฟิงและจีเสวียนต่างไม่พูดไม่จา สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวก็ไม่กล้าเปิดปากพูดเช่นกัน

แพ้อีกแล้ว แม้แต่บุคคลที่คำนวณเรื่องราวทุกอย่างได้ดีอย่างท่านพ่อก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานจากสวี่ชีอันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นท่านพ่อยั้งสติไม่อยู่เช่นนี้…สวี่หยวนซวงแม้ริมฝีปากสีแดงก่ำและเริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวและความทรงพลังของพี่ชายท้องเดียวกันอีกครั้ง

ในสายตาของนาง ท่านพ่อเป็นคนมีปฏิญาณไหวพริบ เป็นคนที่สามารถเอาชนะเกมหมากรุกกับสวรรค์ได้

ไม่มีเรื่องอะไรบนโลกที่ท่านพ่อคิดคำนวณไม่ได้ ศัตรูของเขาคือท่านโหราจารย์ เป็นกลุ่มคนอันดับต้นๆ ในแผ่นดินจิ่วโจว

อย่างไรก็ตาม พี่ชายที่ถูกท่านพ่อมองว่าเป็นเครื่องมือและลูกชายที่ถูกทอดทิ้ง ตอนนี้ได้เติบโตขึ้นมากลายเป็นบุคคลยอดเยี่ยม หนึ่งในไม่กี่คนในแผ่นดินจิ่วโจวที่สามารถแข่งเกมหมากรุกกับท่านพ่อได้

ท่านพ่อจะรู้สึกเสียใจภายหลังที่ทอดทิ้งสวี่ชีอันหรือไม่นะ…สวี่หยวนซวงแอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจ

พี่เจ็ดดูเหมือนจะโกรธและอิจฉามาก…สวี่หยวนไหวครุ่นคิดพลางชำเลืองมองจีเสวียนเป็นพักๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง