บทที่ 636 ข้อตกลง
‘ไม่เกี่ยวกับจักรพรรดิรึ?’
ลี่หวางและคนอื่นๆ ไม่สนใจที่จะอธิบายให้สาวน้อยฟังว่าอะไรคือความรับผิดชอบของผู้เป็นประมุข
จักรพรรดิหย่งซิ่งจึงคิดว่าผู้เป็นน้องสาวจะร้องขอความเป็นธรรมกับตน แต่สถานการณ์ที่เห็นในตอนนี้ ไม่อาจให้นางสร้างความก่อกวนได้จริงๆ เลยชิงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “หลินอัน อย่าทำตัวเสียมารยาท”
“ข้ามีเรื่องต้องหารือกับท่าน เสด็จอาทั้งหลาย พวกท่านกลับไปก่อนเถิด”
ตอนนั้นเองชินอ๋องคนหนึ่งก็ส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมเอ่ยว่า “ในช่วงที่จักรพรรดิองค์ก่อนครองราชย์นั้น ทรงเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการบำเพ็ญธรรม จึงละเลยเรื่องการสมรสขององค์หญิงอยู่หลายพระองค์ ฝ่าบาท ยามนี้ถึงเวลาที่ต้องพิจารณาเรื่องการสมรสขององค์หญิงหลินอันแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างองค์หญิงก็อายุไม่น้อย ควรต้องอภิเษกสมรสได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ และขอให้ลดการทำตัวบุ่มบ่ามก้าวราวเช่นนี้ด้วย มิเช่นนั้นก็จะไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อยเอานะพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี การแต่งงานก็เป็นตัวเร่งที่ดีที่สุดในการทำให้คนเรารีบเติบโตและเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น
ด้านหลินอันมีสีหน้าเรียบนิ่ง หาได้ยิ้มแย้มต่อเหล่าเสด็จอาไม่ จากนั้นก็กล่าวอย่างมีมารยาทว่า “เสด็จพี่จักรพรรดิ ข้าทราบถึงสาเหตุที่วัดหย่งเจิ้นซานเหอสั่นสะเทือนแล้ว บรรพชนมิได้พิโรธ แต่เป็นเพราะเหตุผลอื่นต่างหาก”
จักรพรรดิหย่งซิ่งพลันตกตะลึง ไม่เคยคิดว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของนาง หลังได้รับเรื่องราวอันน่าตกใจก็ทำการสอบสวนทันที และถามกลับไปว่า “บรรพชนมิได้พิโรธ แต่เป็นเพราะเหตุผลอื่นหรือ? หลินอัน เจ้าพูดมาดีๆ ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“ตอนนี้สวี่ชีอันกำลังถือดาบสยบดินแดนเข้าต่อสู้กับสำนักพุทธ สำนักพ่อมด และพวกคนเมืองอวิ๋นโจวที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงในเมืองเจี้ยนโจว เพื่อปกป้องปราณมังกรกับภูเขาเฉวี่ยนหรง และที่วัดหย่งเจิ้นซานเหอเกิดการสั่นสะเทือนก็คงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพคะ”
หลินอันกล่าวตามเนื้อหาข่าวสารที่ฮว๋ายชิ่งได้บอกนางไว้ก่อนหน้านี้อย่างเป๊ะๆ
ทว่านางไม่ได้พูดว่าเป็นศึกสงครามแห่งภูเขาเฉวี่ยนหรงอย่างชัดเจน และก็ไม่ได้อธิบายด้วยว่าวัดหย่งเจิ้นซานเหอที่สั่นสะเทือนและศึกสงครามนั่นมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งเพียงใด
แต่เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันของราชสำนัก เพราะข้อมูลเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาปะติดปะต่อและวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ได้แล้ว
‘ยามนี้สวี่ชีอันถือครองดาบสยบดินแดนในมือ และเขากำลังต่อสู้กับกองกำลังมากมายที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง เพื่อปกป้องปราณมังกร…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งรูม่านตาขยาย พร้อมกับเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนว้าวุ่นยิ่ง
แต่พอได้รู้ความจริง ในใจก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมามากโข
สวี่ชีอันคนนั้นเสมือนกับผู้นำทัพในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เก่งกาจมากความสามารถ คอยอารักขาชายแดน จนสามารถทำให้ประมุขของชาตินอนสบายไม่ต้องกังวลใจอันใด
‘นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคนนั้น…’ ภายในห้องทรงพระอักษรพลันเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ส่วนด้านบรรดาชินอ๋องก็สงบปากสงบคำอยู่นานทีเดียว
“ที่แท้ก็ไปอยู่ในมือของสวี่ชีอันนี่เอง…”
หลังจากผ่านไปนาน อวี้อ๋องผู้ผมเผ้าหงอกขาวก็พึมพำกล่าวว่า “ดูท่าท่านโหราจารย์ที่เป็นคนเอาดาบสยบดินแดนไปนั้น จะมอบให้กับสวี่ชีอัน นึกไม่ถึงเลยว่าสำนักพุทธ สำนักพ่อมด และกลุ่มกบฏจากเมืองอวิ๋นโจว จะรวมหัวกันอยู่ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง”
ชินอ๋องคนหนึ่งก็หน้าบึ้งขมวดคิ้วเอ่ย “แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับป้ายบรรพชนที่หล่นแตกหักและรูปปั้นจักรพรรดิเกาจู่พังเสียหายเล่า?”
ผู้เฒ่าลี่หวางใช้ไม้เท้ายันตัวลุกขึ้นยืน และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ว่าอย่างไร การปกป้องปราณมังกรก็เป็นเรื่องดี แต่ต้องขอให้ทางสมุหเทศาภิบาลแห่งเจี้ยนโจวทำการตรวจสอบเรื่องนี้ทันทีว่าสำนักพุทธ สำนักพ่อมด และพวกกากเดนจากเมืองอวิ๋นโจวได้ส่งกำลังพลผู้มีฝีมือไปจำนวนเท่าใด ผ่านการรบมากี่คราเป็นต้น ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ตรวจสอบมาให้หมด
“เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว บางทีพวกเราอาจรู้สาเหตุที่รูปปั้นจักรพรรดิเกาจู่พังเสียหายก็เป็นได้
“การที่ทำให้ท่านโหราจารย์ถึงกับนำดาบสยบดินแดนออกนอกเมืองหลวง ศึกครั้งนี้คงไม่ธรรมดาแน่ ต้องตรวจสอบให้ดี”
หลังกล่าวจบ เขาก็มองไปทางหลินอันด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากกว่าเดิม แล้วพูดว่า “แม่หนู เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
หลินอันเชิดคางขึ้น “ข้าย่อมมีวิธีติดต่อกับสวี่ชีอันอยู่แล้วน่ะสิ”
ลี่หวางขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปทางจักรพรรดิหย่งซิ่งด้วยความสงสัย
ซึ่งใบหน้าของบุคคลดังกล่าวที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์อันใหญ่โตก็ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้น “เสด็จปู่ที่ฝึกฝนขัดเกลาตนเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมเสมอ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ท่านเลยไม่รู้ว่ายามที่สวี่ชีอันผู้นั้นยังไม่ฟื้น ก็เป็นหลินอันที่คอยดูแลเขา มิตรภาพของทั้งสองคนจึงลึกซึ้งยิ่ง ตัวข้าที่มีโฉมหน้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์ เมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่ชีอัน ก็ยังสนิทกับเขาไม่ถึงหนึ่งหรือสองส่วนในสิบของหลินอันด้วยซ้ำ พวกเขาจะมีวิธีติดต่อกันเป็นการส่วนตัว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
‘มิตรภาพลึกซึ้งยิ่ง…’ ลี่หวางเหลือบมองหลินอัน ทันใดนั้นแววตาก็พลันเป็นประกาย
จักรพรรดิหย่งซิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก้มตัวลงเล็กน้อยมองลี่หวาง ต่อจากนั้นก็มองบรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องที่อยู่รอบด้าน แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ เช่นนั้นข้ายังต้องออกกฤษฎีกาต้องโทษอยู่หรือไม่?”
ลี่หวางโบกมือเป็นการปฏิเสธ
อวี้อ๋องก็พูดขึ้นว่า “สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้ก็คือตรวจสอบเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ ยิ่งผลงานของฆ้องเงินสวี่ใหญ่หลวง ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาท หากมีผู้ใดใช้ประโยชน์จากเรื่องป้ายบรรพชนที่วัดแตกหักมาโจมตีฝ่าบาท ฝ่าบาทก็ถือโอกาสนี้ประกาศความจริง
“ไม่เพียงแต่ฝ่าบาทจะไม่เสื่อมเสียแล้ว กลับยังจะได้เปรียบอีกด้วย”
รอยยิ้มที่มุมปากของจักรพรรดิหย่งซิ่งกว้างยิ่งกว่าเก่า พร้อมกับชำเลืองมององค์ชายสี่เล็กน้อย
องค์ชายสี่ก้มศีรษะลง มิได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกอันใด
…
หลังการประชุมจบลง
ฮว๋ายชิ่งก็ย่างกรายงามงดดุจปทุม ชายกระโปรงลอยเหิน มาพร้อมกับเหล่านางกำนัล มุ่งหน้ากลับไปยังสวนเต๋อซิน
“ฮว๋ายชิ่ง”
องค์ชายสี่บังเอิญเดินสวนกับนาง เมื่อเจอน้องสาวฝาแฝดอยู่เบื้องหน้า ก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา
ฮว๋ายชิ่งชะลอฝีเท้าลง และรออีกฝ่ายเข้ามาหา ในเวลาเดียวเหลือบมองนางกำนัลทั้งสองที่อยู่ข้างกาย ให้พวกนางถอยออกไปก่อน
ครั้นองค์ชายสี่ก้าวเข้ามาหา และเดินเคียงข้างไปพร้อมนาง ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “เกลียดชะมัด! เดิมทีนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง กลับเอาแต่จะตรวจสอบชื่อเสียงของเขา และทำให้เกียรติยศเสียหาย
“เจ้าไม่เห็นหรือ ยามที่เขาบอกว่าสวี่ชีอันและหลินอันมีมิตรภาพอันลึกซึ้งน่ะ ใบหน้านั้นดูพึงพอใจมากเหลือเกิน จงใจพูดให้เราได้ยินชัดๆ และพอลี่หวางได้ฟัง ท่าทีที่มีต่อหลินอันก็เปลี่ยนไปพริบตาอีก…”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ องค์ชายสี่ก็พินิจมองน้องสาวฝาแฝดตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่า เดิมทีสวี่ชีอันนั่นเป็นคนของเจ้านี่ วันนั้นเจ้าพาเขามาที่เมืองหลวงเพื่อร่วมงานเลี้ยง และเขาก็กล่าวบทกลอนอย่าง ‘หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’ ออกมา
“ดูท่าตอนนี้เจ้าจะโดนหลินอันแย่งชิงไปเสียแล้วล่ะ”
ฮว๋ายชิ่งยังคงหน้านิ่งไร้อารมณ์ แต่ก็ดูราวกับจะโกรธเคืองอยู่บ้างเล็กน้อย จากนั้นนางจึงหันหน้าไปมององค์ชายสี่ และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ เสด็จพี่คิดว่าหากเสด็จพี่ได้นั่งบัลลังก์มังกร ก็อาจทำได้ดีกว่าหย่งซิ่งงั้นหรือ?”
“ข้า…ย่อมทำออกมาดูดีกว่าเขา” องค์ชายสี่มุ่นคิ้วตอบ
“ทว่ามันเป็นเรื่องความแตกต่างระหว่างห้าสิบก้าวกับร้อยย่างก้าว ต้าฟ่งในทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกกอบกู้ด้วยความพยายามของคนคนเดียว ไม่ว่าใครจะนั่งตำแหน่งนั้น ก็ไม่ได้ต่างกันมากนักหรอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเสด็จพี่ถึงต้องกังวลใจเล่า” ฮว๋ายชิ่งพูดอย่างเรียบนิ่ง
องค์ชายสี่จ้องมองนาง “ความหมายของเจ้าคือ…”
จากนั้นฮว๋ายชิ่งก็หมุนตัวจากไป “เสด็จพี่สี่คงมิได้อ่านตำราประวัติศาสตร์มานานแล้ว ในเนื้อหาของตำราโจวจี้เล่มสองบทที่สิบสาม น่าสนใจมากทีเดียว ยามเสด็จพี่ว่าง ก็ลองไปอ่านดูนะเพคะ”
…
ณ เจี้ยนโจว
ตอนนี้สวี่ชีอันกำลังควบคุมเจดีย์พุทธะ พามู่หนานจือ แม่ม้าน้อย ไป๋จี และไฉซิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ในเมืองเจี้ยนโจวกลับไปยังภูเขาเฉวี่ยนหรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง