บทที่ 637 ห้าร้อยปีต่อมา
คำสัญญา…ชายชราได้ยินเช่นนี้ก็หรี่ตาลง ก่อนจะละสายตาจากสวี่ชีอันพลางมองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่ห่างไกล
มีความเฉี่อยชาปรากฏขึ้นในตัวเขา อันที่จริงคำว่าเฉื่อยชานี้ไม่ใช่คำดูถูกแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการโหยหาชีวิตใหม่ของมนุษย์ ดังนั้นคำนี้จึงมักจะไม่ถูกใจผู้คนเท่าใดนัก
ความเฉี่อยชาในตัวของชายชราเป็นกลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
เขาอายุเท่ากับอาณาจักร เกิดในช่วงสุดท้ายของสมัยต้าโจว เขาได้เห็นทั้งความรุ่งเรืองและร่วงโรยของทั้งสองยุคสมัย
เขาชูธงขึ้นก่อการปฏิวัติท่ามกลางยุคสมัยที่ยุ่งเหยิง เป็นผู้นำกองกำลังทหารรบเพื่อล้มล้างการปกครองแบบเผด็จการ เขาผ่านเรื่องราวมามากเกินไป พบเจอผู้คนมามากเกินไป
ความเฉื่อยชาค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในกระดูกของเขาอย่างช้าๆ
สิ่งที่น่าแปลกคือ สวี่ชีอันไม่เห็นความเฉื่อยชาเช่นนี้ในตัวของท่านโหราจารย์ พระอรหันต์ตู้ฉิงหรือแม้แต่ยอดฝีมือเหนือมนุษย์อย่างเทพอารักษ์ทั้งสองท่านแต่อย่างใด
เป็นเพราะเขาอยู่ในสังคมโลกมนุษย์มาโดยตลอดงั้นรึ?…หรือเป็นเพราะเขาเป็นจอมยุทธ์ที่หยาบคาย…สวี่ชีอันคิดในใจ
หลังจากนั้นไม่นาน ชายชราก็กล่าวช้าๆ ว่า “ตอนที่จักรพรรดิอู่จงก่อกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ ข้ายังไม่ได้เก็บตัว ตอนนั้นจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งสนิทสนมกับขุนนางทุจริต ทำให้ราชสำนักและประชาชนทั้งหมดตกอยู่ในความสับสน แน่นอนว่าความวุ่นวายทางการเมืองชั่วขณะนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเมื่อเทียบกับความวุ่นวายของราชวงศ์ในช่วงปลายยุคสมัย มันไม่ควรค่าแก่การพูดถึง อู่จงเป็นหลานชายของเกาจู่ พรสวรรค์ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าปู่ของเขา ทั้งลักษณะนิสัยก็ยังเหมือนกัน พวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นฮีโร่ที่เก่งกาจและมีกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม เขาใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจของราชสำนักและประชาชนที่มีต่อขุนนางทรยศในตอนนั้นในการรับสมัครทหาร ซื้อม้าและเริ่มก่อกบฏเพื่อกำจัดขุนนางชั่วข้างองค์จักรพรรดิ ซึ่งเป็นวิธีการที่ฉลาดมาก หากเขาก่อการกบฏขึ้นโดยตรง เขาก็จะไม่สามารถเอาชนะใจประชาชนได้และคงไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทหาร ตอนนั้นเขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสาม การคิดที่จะก่อกบฏภายใต้สายตาขอโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องยากพอๆ กับการขึ้นสวรรค์ ดังนั้น เขาจึงหาผู้ช่วยทั้งสามอย่างชาญฉลาด นั่นก็คือ ลัทธิขงจื๊อ สำนักพุทธ และท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่ชีอันก็อดที่จะพูดขัดจังหวะด้วยความแปลกใจไม่ได้ “แต่ข้าได้ยินมาว่า การก่อกบฏของจักรพรรดิอู่จงเมื่อห้าร้อยปีก่อน ลัทธิขงจื๊อวางตัวเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ”
ชายชราหัวเราะเฮอเฮอพลางกล่าวว่า “การวางตัวเฉยนั่นแหละเป็นการช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มิเช่นนั้น ด้วยเส้นสนกลในของลัทธิขงจื๊อในตอนนั้น ประกอบกับโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง อู่จงจะทำสำเร็จรึ? เว้นแต่พระพุทธเจ้าจะลงมือเอง ลัทธิขงจื๊อไม่พอใจจักรพรรดิในตอนนั้นมานานแล้ว เพียงแต่มีโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งตรวจสอบและถ่วงดุลอยู่ในนั้น ทำให้ลัทธิขงจื๊อหมดหนทาง”
เขารอครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสวี่ชีอันไม่มีข้อสงสัยอีก จึงกล่าวต่อไปว่า “ในช่วงเริ่มแรก จักรพรรดิอู่จงไม่มีทหารและม้าเพียงพอที่จะต่อกรกับต้าฟ่ง ดังนั้น เขาจึงหันไปสนใจกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ และคนที่รับผิดชอบในการเที่ยวพูดให้ข้าเคลื่อนทัพก็คือท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน ในตอนแรกข้าไม่เห็นด้วย ถ้าเรื่องนี้จบลงแล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร? อู่จงไม่มีทางยกเจี้ยนโจวให้ข้า แต่ถ้าแพ้ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่ข้าเพียรพยายามประคองมากว่าร้อยปีก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกทำลายในบัดดล เจ้าน่าจะเดาออกว่าท่านโหราจารย์พูดโน้มน้าวข้าอย่างไร”
สวี่ชีอันคล้อยตาม “เกี่ยวกับคำสัญญานี้หรือไม่?”
ชายชราพยักหน้า ก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง “ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือมันเป็นข้อตกลง ในช่วงร้อยกว่าปีที่ข้ากลับมาเจี้ยนโจวและก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ข้าเลื่อนสู่ระดับสูงสุดของขั้นสามนานแล้ว แต่กลับไม่สามารถทำตามข้อตกลงได้มาโดยตลอด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกไม่ใช่ความยากลำบากและความพ่ายแพ้ แต่เป็นการไร้ซึ่งความหวัง สกุลจีในตอนนั้นคล้ายกับข้าในตอนแรก หลังจากประกาศตัวเป็นจักรพรรดิ โชคก็เพิ่มขึ้น การบำเพ็ญพัฒนาขึ้นทุกวัน จนในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่ขบวนของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ข้าไม่ค่อยมั่นใจนัก ดังนั้นจึงไม่เคยอายที่จะถามเขาเกี่ยวกับประสบการณ์ของระดับผสานเต๋า”
“ตอนนั้นข้าไม่รู้กฎที่ว่าคนที่ได้รับโชคจะไม่สามารถมีชีวิตยืนยาว หลังจากนั้นหลายสิบปี ข้ายังไม่ทันเกลี้ยกล่อมตนเอง สกุลจีก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน กลายเป็นผีอายุสั้น…”
ชายชราส่ายศีรษะพลางแค่นหัวเราะ “เกรงว่าเหล่ามารดารุ่นแรกคงร้องไห้ฟูมฟายเป็นแน่ ฮ่าๆๆ ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าเขาเป็นเทพกระต่าย แค่ก แค่ก…สรุปคือข้าหยุดอยู่ระดับสูงสุดของขั้นสามมากหลายปี ไม่สามารถฝ่าฟันไปได้ และมองไม่เห็นความหวังที่จะผ่านมันไปเช่นกัน จนกระทั่งวันนั้น ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันมาหาข้า เขาพูดว่า ตราบใดที่ข้าเต็มใจเคลื่อนทัพไปช่วยอู่จงชิงราชบัลลังก์ เขาก็จะช่วยให้ข้าเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสอง”
สวี่ชีอันหัวเราะฮ่าขึ้นมาเสียงดัง “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านผู้เฒ่าถูกท่านโหราจารย์หลอกแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนั้นท่านโหราจารย์ก็เป็นนักการเมืองด้วย”
ชายชราชำเลืองมองเขาและแสยะยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “แต่ก่อนข้าก็เคยคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ข้าเลื่อนสู่ขั้นสองอย่างแท้จริงแล้ว”
ภายในสิบวินาทีหลังจากประโยคนี้จบลง รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่ชีอันยังคงเหมือนในตอนแรก หลังจากนั้นดูเหมือนเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง รอยยิ้มนั้นค่อยๆ แข็งขึ้น สุดท้ายก็จางหายไปช้าๆ
หากมีกล้องบันทึกกระบวนการทั้งหมดในตอนนี้ นับว่า ‘ทักษะการแสดง’ ของเขาน่าเหลือเชื่ออย่างมาก
…สวี่ชีอันมองชายชราด้วยความเฉื่อยชา ริมฝีปากขยับและกล่าวด้วยความยากลำบาก “ท่านหมายถึงรากบัวเก้าสี ไม่สิ การช่วยเหลือของข้าเป็นเพราะท่านโหราจารย์กำลังทำตามสัญญาในตอนนั้นรึ?”
ชายชราตอบรับ ‘อืม’ และกล่าวต่อไปว่า “ข้าคิดคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว”
‘ตึก! ตึก! ตึก!’
สวี่ชีอันก้าวถอยหลังไปสามก้าวพลางจ้องมองชายชราด้วยความว่างเปล่า สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นความประหลาดใจหรือหวาดกลัวกันแน่
หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง
บุคคลภายนอกไม่มีทางรู้ความเคลื่อนไหวในจิตใจของเขา ภายใต้ใบหน้าอันเฉื่อยชานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ทรงพลังและข้อมูลที่เดือดพล่านราวกับระเบิด
หากเรื่องราวเป็นจริงอย่างที่ชายชรากล่าว เช่นนั้นความหมายอันลึกซึ้งคืออะไร?
“ข้าจำได้ว่าสวี่ผิงเฟิงเคยบอกว่าปรมาจารย์ลิขิตฟ้ามีความสามารถในการสอดส่องความลับสวรรค์และสามารถทำนายอนาคตได้ในระดับหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ท่านโหราจารย์จึงไม่สามารถแทรกแซงเรื่องที่เขาทำนายได้ ทำได้เพียงวางหมากและผลข้างเคียงอย่างลับๆ สอดส่องความลับสวรรค์เป็นการทำลายกฎธรรมชาติ หากความลับรั่วไหล สวรรค์ก็จะลงโทษโดยตรง แต่นี่ก็ยังไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือ…ห้าร้อยปีก่อน ท่านโหราจารย์ไม่ใช่ปรมาจารย์ลิขิตฟ้า เขาจะทำนายอนาคตได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไร!”
สีหน้าของสวี่ชีอันแทบจะดูไม่ได้ ราวกับทัศนคติทั้งสามพังทลายลงแล้ว
“ดูเหมือนเจ้าจะคิดอะไรออกงั้นรึ?” ชายชราเห็นสีหน้าของเขาไม่ปกติอย่างมากจึงขมวดคิ้วถาม
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบกลับ แต่สีหน้ายังคงดูไม่ได้เช่นเดิม เขาใช้เวลาอยู่นานถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้
หลังจากนั้น จากข้อมูลนี้ก็ทำให้เขาเดาออกสามข้อและเกิดความสงสัยหนึ่งข้อ
เดาข้อที่หนึ่ง คนที่ทำนายเหตุการณ์ห้าร้อยปีต่อมาในตอนนั้นไม่ใช่ท่านโหราจารย์ แต่เป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ความลับที่เกี่ยวข้องในนั้นก็น่ากลัวมาก
เดาข้อที่สอง ตัวตนของท่านโหราจารย์คนปัจจุบันมีปัญหา มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะเป็นโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ลูกศิษย์ในตอนแรกอาจจะเป็นหุ่นเชิดของรุ่นที่หนึ่ง
แต่หากเป็นเช่นนี้ ทำไมรุ่นที่หนึ่งถึงครุ่นคิดอย่างหนักในการ ‘ฆ่าตัวตาย’ จุดประสงค์คืออะไรกัน?
นอกจากนี้ พระโพธิสัตว์ของสำนักพุทธก็เข้าร่วมในเรื่องนี้ด้วย พระโพธิสัตว์ทุกองค์ล้วนมีอานุภาพล้นฟ้า จึงยากมากที่รุ่นที่หนึ่งคิดจะซ่อนหุ่นเชิดจากพวกเขา
เดาข้อที่สาม สองข้อก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด เรื่องที่ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันสามารถทำนายเหตุการณ์ห้าร้อยปีข้างหน้าได้เป็นเพราะตัวเขาเองมีปัญหา
สำหรับข้อสงสัย…
ตอนนี้เมื่อนึกย้อนไปถึงระบบโหร คำสาปที่ลูกศิษย์ทรยศอาจารย์นั้น ความจริงก็ยังมีความขัดแย้งอยู่
ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันน่ากลัวเพียงใด รุ่นที่หนึ่งน่ากลัวเพียงใด
ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันสามารถทำนายอนาคตได้ รุ่นที่หนึ่งก็ทำได้ เขาสามารถหาทางกำจัดจักรพรรดิอู่จงก่อนที่จะก่อกบฏได้อย่างสมบูรณ์
แม้ว่าปรมาจารย์ลิขิตฟ้าจะไม่สามารถแทรกแซงอนาคตได้ แต่สวี่ชีอันเชื่อว่าในช่วงชีวิตการรบของจักรพรรดิอู่จงต้องมีสถานการณ์รอดตายมานับครั้งไม่ถ้วน
ตราบใดที่โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งคว้าโอกาสในการสร้างผลกระทบข้างเคียง จักรพรรดิอู่จงก็จะสวรรคต
โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ยังมีวิธีการที่คล้ายกันอีกมากมาย โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งมีความสามารถในการทำให้จักรพรรดิอู่จงหาโอกาสที่จะก่อกบฏไม่ได้
ตรรกวิทยานี้ มองผ่านๆ จะดูเหมือนยืนยันการคาดเดาข้อที่หนึ่งและข้อที่สองได้แล้ว แต่ความจริงก็สามารถยืนยันการคาดเดาข้อสามได้เช่นกัน
หากตัวท่านโหราจารย์คนปัจจุบันมีปัญหา เช่นนั้นก็สามารถทำลายตรรกวิทยานี้
“อีกหนึ่งคำอธิบายคือ โหราจารย์รุ่นที่หนึ่งมองเห็นการทรยศของโหราจารย์คนปัจจุบันล่วงหน้า แต่ไม่ได้ขัดขวางและเลือกที่จะเล่นเกมกับเขา เช่นเดียวกับทัศนคติของโหราจารย์คนปัจจุบันที่มีต่อสวี่ผิงเฟิง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการทรยศข้า แต่ข้าไม่ขัดขวาง พวกเราใช้วิธีการของโหรมาสู้สุดตัวครั้งสุดท้าย ว่าตามคำพูดของสวี่ผิงเฟิง นี่คือคำสาปของระบบโหรที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เว้นแต่จะทำให้ระบบโหรถูกตัดขาด ตราบใดที่ต้องการสืบทอดต่อไปก็จำเป็นต้องรับลูกศิษย์ หลังจากนั้นก็ยอมรับการทรยศของลูกศิษย์ หรือที่เรียกติดปากกันว่า…กฎของเส้นทางสายนี้!”
นอกจากการคาดเดาทั้งสามข้อและข้อสงสัยอีกหนึ่งข้อแล้ว ในใจของสวี่ชีอันยังมีเหตุผลข้อหนึ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
เหตุผลนี้ไม่มีทฤษฎีสมทบอะไรมากมายนัก ความจริงก็คือ ท่านโหราจารย์ในตอนนั้นเป็นนักการเมืองเฒ่าที่เอาแต่หลอกคนอื่นไปทั่วจริงๆ
อย่างที่ทราบกันว่า นักการเมืองในโลกนี้ล้วนทำการต่อรองไว้ก่อนเพื่อผลประโยชน์ในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่ท่านโหราจารย์เลื่อนสู่ขั้นหนึ่งอย่างราบรื่น กลับกลัวการแก้แค้นจากจอมยุทธ์หยาบคายคนหนึ่งงั้นรึ?
ห้าร้อยปีต่อมา ตาเฒ่าพึ่งพารากบัวเก้าสีในการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นสองจริงๆ เป็นไปได้ว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ท่านโหราจารย์ค้นพบว่าตนเองสามารถรักษาสัญญาได้ด้วยการช่วยเหลือรากบัวเก้าสี ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางแผนและดำเนินการ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง