บทที่ 638 หลี่หลิงซู่ในถิ่นอสุรา (1)
ไป๋จีขดตัวอยู่บนหินในท่านอนหลับ ไม่กี่วินาทีต่อมา จิตใจที่น่ากลัวและเผด็จการก็ตื่นขึ้นในร่างของนาง
ชั่วขณะนี้ สิงสาราสัตว์และนกในป่าก็เงียบเสียงลงอย่างพร้อมเพรียงกัน บ้างก็หมอบลงบนพื้น บ้างก็กางปีกออกมาคลุมศีรษะของตนเอง
แรงกดขี่ของสิ่งมีชีวิตระดับสูงกว่าทำให้สิ่งที่มีชีวิตทั้งมวลที่อยู่ใกล้เคียงตัวสั่นงันงกราวกับวันโลกาวินาศกำลังใกล้เข้ามา
ที่ยอดสูงสุดของเทือกเขาเฉวี่ยนหรงที่ทรุดตัวลงครึ่งหนึ่ง ตาเฒ่าโค่วหยางโจวมีความรู้สึกบางอย่าง เขาขมวดคิ้วและหันไปมองในระยะไกล
ไอปีศาจแข็งแกร่งมาก สุนัขจิ้งจอกขาวที่อยู่ข้างสวี่หนิงเยี่ยนตัวนั้น…เขาจ้องมองอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ถอนสายตากลับและไม่สนใจอีก
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากจิตใจที่เผด็จการมาถึง ไป๋จีก็ลืมตาขึ้น ดวงตาข้างหนึ่งของมันประกายแสงแวววาว ดวงตาอีกข้างสีดำแป๋วไร้เดียงสา
“องค์หญิง!”
ไป๋จีตะโกนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จากนั้นมันก็เปิดปากพูดอีกครั้ง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเสียงผู้หญิงวัยสุกงอมที่มีเสน่ห์ดึงดูด
“คนสกุลสวี่ไม่อยู่ที่นี่ สาวน้อย เจ้ามีเรื่องอะไรจะรายงานรึ”
น้ำเสียงของไป๋จีสลับไปมาอย่างไร้รอยต่อ และเปลี่ยนกลับมาเป็นน้ำเสียงของเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง
“องค์หญิง ตอนนี้ข้าอยู่ที่กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในเจี้ยนโจว เพิ่งมีการสู้รบเพื่อแย่งชิงปราณมังกรที่นี่ มันเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ เจ้าแห่งวัสสานสำนักพ่อมด และยังมีโหรจากเมืองอวิ๋นโจวด้วย”
จิ้งจอกเก้าหางเงียบลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนการต่อสู้นี้จะรุนแรงมาก มิเช่นนั้น เจ้าคงไม่คิดที่จะตามหาข้า”
ไป๋จีพยักหน้าอย่างหนักแน่นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฆ้องเงินสวี่ชนะแล้ว ครั้งนี้สำนักพุทธได้รับความเสียหายอย่างหนัก”
น้ำเสียงของจิ้งจอกเก้าหางเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “แล้วบทสรุปเป็นอย่างไร”
ไป๋จีกล่าวว่า “เทพอารักษ์ทั้งสองท่านอย่างตู้ฝานและตู้หนานถูกโค่นลงแล้ว”
หลังจากกล่าวจบแล้ว จิ้งจอกเก้าหางก็เงียบลงและไม่พูดอะไรอยู่นาน ไป๋จีจึงอดที่จะพูดไม่ได้
“องค์หญิง?”
จิ้งจอกเก้าหางถึงเริ่มกล่าวว่า “จงเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังโดยละเอียด”
ไป๋จีถ่ายทอดข้อมูลที่ได้ยินจากสวี่ชีอันให้องค์หญิงฟังอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่มันพูดค่อนข้างกระชับ เพราะสวี่ชีอันพูดสั้นและกระชับมาก เขาเพียงแค่บอกกระบวนการต่อสู้ทั่วไปเท่านั้น
“ข้าพอจะจินตนาการถึงความตื่นเต้นจนอกสั่นขวัญหายได้ เมื่อตู้หนานและตู้ฝานสิ้นชีพ พลังการต่อสู้ขั้นสูงของสำนักพุทธในตอนนี้ก็จะเหลือเพียงพระโพธิสัตว์สามองค์ ได้แก่ เจียหลัวซู่ กว่างเสียน และหลิวหลี ยังมีพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อีกองค์ ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนสั้นๆ สำนักพุทธสูญเสียยอดฝีมือเหนือมนุษย์มากกว่าห้าร้อยปีที่ผ่านมาเสียอีก สมแล้วที่เป็นบุคคลซึ่งแบกรับโชคชะตาครึ่งหนึ่งของประเทศ”
ไป๋จีฟังออกว่ามีความยินดีแฝงอยู่ในน้ำเสียงขององค์หญิง มันยกอุ้งเท้าขึ้นมาตบหินพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงเวลาที่จะตอบโต้ภูเขาสือว่านและยึดดินแดนอาณาจักรหมื่นปีศาจของพวกเราคืนมาแล้ว”
จิ้งจอกเก้าหางหัวเราะพลางกล่าวว่า “ยังไม่ถึงช่วงเวลาติดสัด ลมปราณแข็งแกร่งเช่นนี้ ลูกสุนัขจิ้งจอกแรกเกิดไม่กลัวเสือ แต่ที่เจ้าพูดก็ถูก โอกาสที่จะยึดภูเขาสือว่านคืนมาอยู่ไม่ไกลแล้ว”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง นางก็ไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่อและกล่าวด้วยความเศร้าสร้อย “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านโหราจารย์จะเต็มใจรับการสะท้อนกลับตามกฎธรรมชาติเพื่อเขา ตอนนี้ข้ามีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับจุดประสงค์ของท่านโหราจารย์”
จากการตอบสนองของไป๋จี นางไม่เห็นสัญญาณว่าสวี่ชีอันจะถูกแรงสะท้อนกลับแต่อย่างใด
ไป๋จีเอียงศีรษะเล็กน้อย “การสะท้อนกลับตามกฎธรรมชาติ?”
“พลังแห่ง ‘พ่อมดผู้ประสาทพร’ ของสำนักพ่อมดสามารถอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษและวิญญาณที่พัวพันกับเหตุและผลของตนเองได้ โดยทั่วไปแล้ว สามารถอัญเชิญได้เพียงวิญญาณผู้กล้าในขอบเขตเดียวกันเท่านั้น ถ้าเป็นวิญญาณผู้กล้าระดับสูงก็จำเป็นต้องพึ่งพาพลังภายนอก ในสงครามที่เว่ยเยวียนโจมตีเมืองจิ้งซาน เขาอาศัยดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอกในการอัญเชิญวิญญาณปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ออกมา เขาจึงมีราคาที่จำเป็นต้องจ่ายสำหรับสิ่งนี้ ราคาที่ต้องจ่ายในที่นี้ไม่ใช่เพียงตัวเขาในฐานะพาหะ กายเนื้อก็จะถูกทำลายด้วยพลังที่เหนือกว่า นอกจากนี้ยังมีการสะท้อนกลับตามกฎธรรมชาติ เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ ไม่ว่าเว่ยเยวียนจะปิดผนึกพ่อมดสำเร็จหรือไม่ เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอน”
ไป๋จีตกตะลึงในฉับพลัน
“เช่นนั้นฆ้องเงินสวี่…”
จิ้งจอกเกาหางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิเกาจู่ไม่ใช่ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ผลการสะท้อนกลับไม่ได้หนักหนาอะไรเช่นนั้น ในฐานะโหราจารย์ที่เป็นโหรขั้นหนึ่งย่อมสามารถแบกรับได้ แต่หากเป็นขั้นสามอย่างสวี่ชีอัน…”
ต่อให้เขาจะโชคดีพอที่รักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายอันหนักหนาจนเกินจะทนเช่นกัน
“เช่นนั้นตู้หนานที่แบกรับร่างธรรมระดับเพชรจะประสบผลการสะท้อนกลับของกฎธรรมชาติด้วยหรือไม่” ไป๋จีนึกถึงเทพอารักษ์ตู้หนาน
“สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าอัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษแล้วจะไม่ถูกสะท้อนกลับจากกฎธรรมชาติ เพียงแต่เขาในฐานะเทพอารักษ์ขั้นสามที่ต้องทนต่อการปลุกเสกของร่างธรรมขั้นหนึ่ง หลังจากจบเรื่องจึงมีราคาที่ต้องจ่ายที่ไม่อาจจินตนาการได้ จัดการศัตรูได้หนึ่งพัน ฝั่งตนสูญเสียไปแปดร้อยก็ช่างมัน นอกจากนี้ เหตุที่เขาสามารถแบกรับแก่นโลหิตของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ได้ เพราะเขาก็เป็นเทพอารักษ์เช่นกัน ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีทางแสดงร่างธรรมเทพอารักษ์ได้”
ไป๋จีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หลังจากพูดคุยธุระแล้ว มันก็ถามว่า “องค์หญิงพบเผ่าเดียวกันที่นอกอาณาจักรบ้างหรือไม่”
จิ้งจอกเก้าหางส่ายศีรษะ
“นอกอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล มหาสมุทรไร้ขอบเขต การค้นหาเผ่าเดียวกันก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ข้าได้พบกับทายาทปีศาจตัวหนึ่งและข้าก็ได้เรียนรู้เรื่องที่น่าสนใจจากมัน”
ไป๋จีถามด้วยความสนใจอย่างยิ่ง “ทายาทปีศาจรึ?”
“เป็นบุคคลที่เคยปรากฏตัวที่เมืองไป๋ตี้ในอวิ๋นโจว เขาบอกความลับบางอย่างเกี่ยวกับยุคปีศาจให้ข้าฟัง และยังบอกเป็นนัยๆ ถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดทายาทของปีศาจจึงหนีออกจากแผ่นดินจิ่วโจวในตอนแรก”
นางยิ้มตาหยีและกล่าวต่อไปโดยไม่รอให้ไป๋จีถาม “ความลับสวรรค์มิอาจเปิดเผยได้ ตอนนี้การบำเพ็ญของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะจ่ายราคาสำหรับการรู้คำตอบ เอาล่ะ พาข้าไปพบเขา”
…
เวินเฉิงปี้กลับไปที่ห้องประชุม เมื่อเข้าผลักประตูเข้าไป เฉาชิงหยางและคนอื่นๆ ก็หยุดพูดทันทีและหันมามองเขา
“ท่านบรรพบุรุษบอกว่าอย่างไร?”
เฉาชิงหยางจ้องใบหน้ารองผู้นำพันธมิตรครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนเจ้าจะพอใจกับคำตอบของท่านบรรพบุรุษมาก”
ฟู่จิงเหมินและคนอื่นมุ่ยปากทันที เวินเฉิงปี้เป็นผู้เสนอให้สร้างอาคารส่วนกลางบนภูเขา ซึ่งการสร้างอาคารส่วนกลางบนพื้นราบปกติแตกต่างกับการสร้างบนภูเขาอย่างสิ้นเชิง
เวินเฉิงปี้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านบรรพบุรุษบอกว่าความวุ่นวายกำลังจะมา อาคารส่วนกลางจะต้องสร้างบนภูเขาเพื่อครอบครองภูมิประเทศ”
เฉียวเวิงจากสมาคมการค้าเจี้ยนโจวขมวดคิ้วและกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ท่านบรรพบุรุษมิใช่คนดูแลบ้าน ไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้นั้นมีราคาแพง ทุกท่านก็อย่าขออะไรที่มากเกินควร ต่อไปก็จงใช้ชีวิตอย่างประหยัดเถอะ”
หัวหน้าสำนักและผู้นำขั้นสี่ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจ
ไม่ใช่ว่าไม่เต็มใจจะจ่าย เพียงแต่ฝ่ายชาวยุทธภพย่อมไม่สามารถเก็บภาษีได้เหมือนราชสำนัก พวกเขามีธุรกิจของตนเอง
แต่เนื่องจากทั้งภัยธรรมชาติและภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ธุรกิจของนิกายได้รับผลกระทบอย่างหนัก และธุรกิจก็ซบเซามาก แต่กลุ่มคนที่อาศัยพวกพ้องในการดำรงชีวิตควรได้รับการสนับสนุนหรือช่วยเหลือ ทั้งยังต้องร่วมมือกับราชสำนักในการจัดหาโจ๊กเพื่อบรรเทาสาธารณภัย ทำให้พวกเขาประสบปัญหากดดันทางการเงินอย่างหนัก
ตอนนี้ยังต้องรับภาระค่าก่อสร้างอาคารส่วนกลางขนาดใหญ่ แค่คิดก็รู้ว่าชีวิตลำบากยากแค้นเพียงใด
ในเวลาเช่นนี้ บรรทัดฐานคุณธรรมที่สูงเกินไปจึงกลายเป็นภาระแทน
หากเป็นนิกายชาวยุทธภพธรรมดาที่ห่วงใยชีวิตและความตายของประชาชน นั่นก็เป็นเรื่องที่ราชสำนักต้องกังวล
เมื่อเวินเฉิงปี้เห็นสีหน้าท้อแท้ของทุกคน มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย
“ทุกท่านไม่ต้องกังวล สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการสร้างอาคารส่วนกลางคือกำลังคนและเงิน ตราบใดที่พวกเราแก้ปัญหาสองข้อนี้ได้ เช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่รึ”
ฟู่จิงเหมินเหล่ตาพลางกล่าวด้วยความเย้ยหยัน “แต่พวกเราแก้ปัญหาเรื่องเงินไม่ได้ เจ้าเปลี่ยนได้รึ?”
ทุกคนมองไปที่รองผู้นำพันธมิตรด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เวินเฉิงปี้ไม่ได้ตื่นตระหนก แต่กล่าวอย่างฉะฉาน “พวกเราทุกฝ่ายทุกพรรคต่างก็ต้องการบริจาคเงินและเสบียงอาหาร อีกทั้งยังร่วมมือกับราชสำนักในการจัดหาโจ๊กเพื่อสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเพียงแค่รวบรวมผู้ประสบภัยขึ้นมา ให้พวกเขาสร้างอาคารส่วนกลางสำหรับทุกคนโดยใช้แรงงานมาแลกกับการช่วยเหลือ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาด้านกำลังคนเท่านั้น พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินออก เรียกว่า การสงเคราะห์การทำงาน”
ทั่วทั้งห้องประชุมเงียบชั่วขณะ หัวหน้าของแต่ละฝ่ายแต่ละพรรคทุกคนต่างก็ตกตะลึงอยู่นาน จากนั้นเสียงการสนทนาก็ปะทุขึ้นในเสี้ยววินาที
“ดูเหมือนจะเข้าท่า เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินออกเพิ่มเติม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องจ่ายเงินและเสบียงเพื่อสงเคราะห์ผู้ประสบภัยอยู่ดี”
“ใช่ ใช่ ใช่ มีผู้ประสบภัยมากมายถึงเพียงนั้น ไม่จ่ายจะดีกว่า อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องให้เงินเพิ่มเติม แค่อิ่มก็พอ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง