บทที่ 639 หลี่หลิงซู่ในถิ่นอสุรา (2)
ไฉซิ่งเอ๋อร์สวมชุดประโปรงผ้าธรรมดาๆ แต่กลับยากจะปกปิดความงามตามธรรมชาติของนางได้ นางมีใบหน้ารูปผลแตงที่สวยไม่หยอก
สีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยตามแบบคนป่วยไข้ทำให้บุคลิกบอบบางของนางยิ่งดูน่าเอ็นดูมากขึ้น
นางเป็นสตรีประเภทที่ชวนให้บุรุษออกตัวปกป้องได้ แต่ในสายตาของหลี่หลิงซู่ ณ เวลานี้ นางเหมือนกับเป็นเส้นชนวนของปืนใหญ่เสียมากกว่า
หลี่หลิงซู่ยิ้มขืนๆ
“ซิ่งเอ๋อร์ออกมาได้อย่างไรกัน?”
สวี่ชีอันจงใจทำท่าทางทอดถอนใจออกมา
“พอรู้ว่าครั้งนี้จะต้องต่อสู้กับศัตรูแกร่ง ข้าก็เลยปล่อยไฉซิ่งเอ๋อร์ออกมาก่อน แต่ลืมบอกเจ้าไป ถึงแม้นางจะมีความผิดใหญ่หลวง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหญิงงามของเจ้า ดังนั้นข้าก็ย่อมต้องรับผิดชอบชีวิตของนางให้ดี”
“ข้าขอบใจท่านจริงๆ!” หลี่หลิงซู่ตอบกลับด้วยท่าทางขบเขี้ยว
ไฉซิ่งเอ๋อร์มองพินิจไปยังตงฟางหว่านชิง ตงฟางหว่านชิงก็มองดูไฉซิ่งเอ๋อร์อยู่เช่นกัน
“คุณชายหลี่ นางเป็นใคร?”
พวกนางเอ่ยขึ้นเสียงเดียวกัน
คุณชายหลี่…ดีเลย ทีนี้ไม่ต้องถามกันแล้ว แค่คำเรียกก็บอกทุกอย่างหมดแล้ว
ไฉซิ่งเอ๋อร์และตงฟางหว่านชิงจ้องหน้ากัน ประกายไฟปะทุไปทั่วทุกด้าน
‘ฟู่ ฟู่…’ หลี่เมี่ยวเจินเกือบจะยื่นมือมาปิดปากไม่ให้ตัวเองหัวเราะอยู่รอมร่อ
นางคิดในใจ ‘หลี่หลิงซู่หนอหลี่หลิงซู่ ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้’
ตงฟางหว่านชิงเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดชัง
“คุณชายหลี่ นี่เป็นนางจิ้งจอกที่ท่านเลี้ยงไว้ที่ไหนอีกเล่า? มีแค่ข้ากับท่านพี่ยังไม่พอ ไปคบค้าสมาคมกับนางแพศยาจากสมาคมการค้าเหลยโจวก็ยังไม่พอ นี่ท่านมีผู้หญิงอยู่ข้างนอกอีกเท่าไหร่กัน”
“นางจิ้งจอก?”
ไฉซิ่งเอ๋อร์เลิกคิ้วแล้วหัวเราะเย็น “ใครเป็นนางจิ้งจอกตัวจริงก็ยังไม่แน่หรอก ตอนที่ข้ากับคุณชายหลี่เอ่ยคำสาบานต่อกัน แม่หนูอย่างเจ้ายังไม่หย่านมเลยกระมัง”
ตงฟางหว่านชิงก้าวเท้าเข้าไปด้วยท่าทางเย็นชาหยิ่งยโส
“นางแพศยา ตอนนี้ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ยิ้มเยาะ “เดิมทีข้าก็เป็นนักโทษที่ถูกขังอยู่แล้ว คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก”
หลี่หลิงซู่เจ็บปวดใจ เขาเอ่ยเสียงขรึมแทรกคำพูดของทั้งสอง
“ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าจะไม่เป็นอันใด พี่สวี่รับปากข้าแล้วว่าจะมอบปราณชีวิตหนึ่งสายให้เจ้า”
สวี่ชีอันเหลือบมองไฉซิ่งเอ๋อร์ ในใจกล่าวว่า สุดยอดแท้ รู้สึกเปลี่ยนข้อเสียให้เป็นข้อได้เปรียบ ทำให้ได้ความเห็นอกเห็นใจของหลี่หลิงซู่มา ศิลปะการชงเช่นนี้ ด้อยกว่าน้องสาวที่บ้านข้านิดเดียวเอง
ไฉซิ่งเอ๋อร์หลั่งน้ำตาเงียบๆ
“ข้ารู้มานานแล้วว่าท่านเป็นบุรุษเจ้าชู้ประตูดิน แต่ข้าก็แค่ตัดใจจากท่านไม่ได้ และลืมท่านไม่ลง ตอนอยู่ที่เซียงโจว ท่านเคยเอ่ยคำสาบานว่าชีวิตนี้จะรักเพียงแต่ข้าคนเดียว”
“ซิ่งเอ๋อร์ ทุกคำที่ข้าเอ่ยนั้นเป็นความจริง…”
หลี่หลิงซู่ยังไม่ทันเอ่ยจบ ตงฟางหว่านชิงก็คิ้วตั้งขึ้นมา
“หลี่หลิงซู่! คำพูดเช่นนี้เจ้าเคยเอ่ยกับสตรีกี่คนแล้ว!?”
ทางด้านนี้กำลังปะทะคารมกันอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอัน หลี่เมี่ยวเจิน เหิงหย่วน ฉู่หยวนเจิ่น และมู่หนานจือนั่งเรียงกัน ทั้งไม่ได้ซ้ำเติมและไม่ได้ประนีประนอมให้
ต่างพากันชมดูเทพบุตรแก้ปัญหาความรักอยู่เงียบๆ
ข้าต้องเรียนรู้สักหลายๆ วิธีการ ต่อไปจะได้เอาไปเกลี้ยกล่อมเหล่าปลาตัวน้อยได้…สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจ
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงทางจิตมาให้
“ศิษย์พี่ผู้นี้ของข้า ความสามารถไม่มี แต่วิธีการยั่วยวนสตรีมีมากนัก ตอนนั้นเป็นเพราะเขาทิ้งขว้างสองพี่น้องตงฟางจึงได้ถูกล่าสังหารนับพันลี้ แล้วถูกจับขังมาตั้งครึ่งปี”
ฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียงทางจิตเอ่ยขึ้น
“คนเจ้าชู้ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะความรักเช่นนี้ล่ะ แต่เมื่อเทียบกับความลำบากที่หนิงเยี่ยนเจอในสำนักโหราจารย์แล้ว เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นแค่การทะเลาะกันเล็กน้อย”
จะดูเรื่องสนุกก็ดูไปสิ เจ้าจะมาพูดถึงข้าทำอะไร…สวี่ชีอันที่เดิมกำลังเป็นสุขในความทุกข์ของผู้อื่นพลันสีหน้าแข็งกระด้างขึ้นมา
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองมู่หนานจือ แล้วจงใจกระแอมไอออกมาสองคำก่อนเอ่ยว่า
“ศิษย์พี่ของข้ากับนิสัยเจ้าคนแซ่สวี่นั้น ล้วนแต่เป็นพวกเจ้าชู้บ้าตัณหาเหมือนกัน พระชายา ท่านว่าถูกหรือไม่”
‘ที่แท้ก็เป็นพระชายา…’ ฉู่หยวนเจิ่นรับรู้อยู่ในใจ
“เกี่ยวอันใดกับข้า!”
มู่หนานจือขมวดคิ้ว “ข้ากับสวี่ชีอันเป็นแค่เพื่อนร่วมทางท่องยุทธภพเท่านั้น เขาจะเจ้าชู้หรือไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าสักนิด เจ้าเอ่ยลองใจเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเป็นคนรักของเขาด้วยหรือ?”
สีหน้าของหลี่เมี่ยวเจินเปลี่ยนไป นางอุทาน ‘หา’ ยกใหญ่
“ความสัมพันธ์ของข้ากับสวี่ชีอันก็เป็นแค่สหายเต๋าเท่านั้น พระชายาอย่าได้กล่าวโดยไม่คำนึงถึงความจริงสิ”
สวี่ชีอันรีบขัดขวางการประชันของพวกนางแล้วเอ่ยว่า
“เมี่ยวเจิน พี่ฉู่ ไต้ซือเหิงหย่วน พวกท่านไม่สงสัยหรือว่าไฉซิ่งเอ๋อร์ผู้นี้คือใคร เรื่องนี้พูดแล้วยาว ข้าจะอธิบายคร่าวๆ ให้ฟัง…”
“ไม่สนใจ!”
“ไม่อยากรู้”
“ใต้เท้าสวี่ อาตมาก็ไม่อยากรู้เช่นกัน”
“…”
อีกด้านหนึ่ง หลี่หลิงซู่ปลอบโยนไฉซิ่งเอ๋อร์และตงฟางหว่านชิงได้อย่างยากเย็น ในที่สุดก็รู้สึกราวกับยกหินออกจากอก ความจริงแล้วเขามีวิธีประนีประนอมความขัดแย้งระหว่างคนงามในแบบที่ดีกว่านี้อยู่
แต่จนใจที่เจ้าพวกสุนัขจากพรรคฟ้าดินกลุ่มหนึ่งกำลังดูละครกันสนุกอยู่ข้างๆ ทำให้เขาลำบากใจจะใช้วิธีนั้น
“วิธีการเกลี้ยกล่อมสตรีของศิษย์พี่ของข้าร้ายกาจอย่างยิ่ง ผู้หญิงทุกคนต่างตำหนิด่าว่าเขา แต่ก็รักเขาแทบเป็นแทบตายกันทั้งนั้น”
เมื่อเห็นดังนั้น หลี่เมี่ยวเจินก็ส่งเสียงทางจิตเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
สตรีของหลี่หลิงซู่ พลังการต่อสู้ช่างอ่อนแอเกินไปแล้ว แบบนี้เขาเรียกว่าแค่ลดธงก็เงียบเสียงกลอง[1] อืม อาจเป็นเพราะมีข้าอยู่ข้างๆ พวกนางจึงไม่กล้าเร้าหรือสินะ…สวี่ชีอันคิดในใจ
เมื่อละครจบลง เขาก็ปัดฝุ่นแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยว่า “ข้ายังมีธุระ เช่นนั้นขอให้ทั้งสองเข้าไปหลบภัยอยู่ในเจดีย์ชั่วคราวก่อนเถิด”
เขาหยิบเจดีย์พุทธะออกมาแล้วนำไฉซิ่งเอ๋อร์กับตงฟางหว่านชิงเข้าไปไว้ในชั้นที่หนึ่ง
ฉู่หยวนเจิ่นหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้วเอียงหน้ากระจก จากนั้นก็มีเงาคนหลายคนกลิ้งออกมา นั่นก็คือพวกหลิ่วหงเหมียนนั่นเอง
สวี่ชีอันกวาดตามอง “จิ้งซินล่ะ”
หลี่เมี่ยวเจินพองแก้ม “ปล่อยให้เขาหนีไปได้น่ะสิ ข้ารั้งเขาไม่อยู่”
สวี่ชีอัน ‘อ้อ’ เป็นการตอบรับ “ก็แค่ตัวละครตัวเล็กๆ ช่างมัน”
หลี่เมี่ยวเจินพอใจกับท่าทีของเขาเป็นอย่างยิ่ง จึงตบเข้าที่ถุงหนังใบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“วิญญาณของพวกเขา ข้าผนึกเอาไว้ในถุงแล้ว เจ้าจะจัดการอย่างไร”
ส่วนหลี่หลิงซู่ก็ถือโอกาสนี้มอบกระจกเทพฮุ่นเทียนคืนให้สวี่ชีอัน
สวี่ชีอันเก็บกระจกเทพฮุ่นเทียนไว้ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พลางได้ยินเสียงครวญครางของกระจกดังขึ้นในหู
“สบายจัง สบายจริงๆ ปราณมังกรเข้มข้นกว่าเดิมเยอะเลย…”
“อย่าได้ล่อลวงข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีทางยอมกลับไปอยู่ข้างกายนายท่านหรอก…”
แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
หลังได้รับปราณมังกรสองสายจากกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ มังกรทองในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ยิ่งเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
สวี่ชีอันรับถุงหนังไปแล้วเปิดออก จิตเดิมอันทรงพลังทั้งสี่สายก็ลอยออกมาแล้วเข้าไปอยู่ในกายเนื้อของแต่ละคน
ฉีฮวนตานเซียง ไป๋หู่ หลิ่วหงเหมียน และจิ้งหยวนทั้งสี่คนเริ่มฟื้นแล้วลืมตาขึ้นมา
สวี่ชีอันยกเท้าขึ้นกระทืบ พลังปราณแผ่กระจายราวกับระลอกคลื่น ทั้งสี่คนราวกับถูกฟ้าผ่าและเหมือนกับถูกสะกดควบคุมเอาไว้ การตอบโต้รุนแรงที่อยากจะปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัวก็ถูกสยบลงไปด้วย
“พวกเจ้าทั้งหลาย มาคุยกันหน่อยเถอะ”
สวี่ชีอันย้ายเก้าอี้มาพร้อมยิ้มหยี ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าพวกเขา
สีหน้าของฉีฮวนตานเซียงที่มีนิสัยสุดโต่งเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ไป๋หู่และจิ้งหยวนมีสีหน้าตึงเครียด
หลิ่วหงเหมียนกลับมีท่าทางน่าเวทนาสงสาร
“แน่นอนว่าพวกเจ้าจะไม่ยอมให้ความร่วมมือก็ได้ อย่างมากข้าก็แค่ลำบากนิดหน่อยโดยการสังหารพวกเจ้าเสีย จากนั้นค่อยเรียกวิญญาณมาถาม”
คำพูดของสวี่ชีอันราวกับมีดที่เสียดแทงใจของทั้งสี่คนและทำลายความคิดยอมตายไม่ยอมจำนนของพวกเขาทิ้งไป
หลิ่วหงเหมียนเอ่ยอย่างอ่อนแรง
“ข้าน้อยรู้อะไรก็จะบอกโดยไม่มีปกปิดแน่นอนเจ้าค่ะ ขอเพียงฆ้องเงินสวี่ไว้ชีวิตสตรีตัวเล็กๆ คนนี้ก็พอ”
หลี่หลิงซู่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเติมฟืนลงไป “หากเจ้ายอมเป็นสาวใช้อุ่นเตียงให้ฆ้องเงินสวี่ของเรา เขาก็อาจจะไว้ชีวิตให้ก็ได้”
ทำไมจะต้องทำร้ายกันด้วยเล่า…สวี่ชีอันแอบจำเอาไว้ในใจ ต่อไปจะต้องหาโอกาสเอาคืนเทพบุตรคนนี้ให้ได้
“จริงหรือ?”
หลิ่วหงเหมียนดวงตาสว่างวาบ
“ฆ่าทิ้งเถอะ” มู่หนานจือตัดสินโทษประหารให้นาง
“ข้าจะช่วยเจ้าจัดการนางเอง” จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินชอบช่วยเหลือผู้คน ทั้งยังกล้าหาญและใจเด็ด
สวี่ชีอันใช้สายตาหยุดยั้งเรื่องไร้สาระของพวกนางแล้วหันไปจ้องเขม็งพวกจิ้งหยวนที่เหลืออีกสามคน
“บอกข้ามา ทั้งเรื่องผัง ที่ตั้ง กองทัพ และข้อมูลต่างๆ ของเมืองเฉียนหลง ใช้ความจริงมาแลก จากนั้นข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”
ไป๋หู่นิ่งคิดไป “คำพูดนี้คือความจริงหรือ?”
ไป๋หู่พยักหน้าทันที “เช่นนั้นเจ้าถามมา”
ผู้ที่รู้สถานการณ์คือวีรบุรุษ การฝึกตนมาถึงขั้นสี่นั้นไม่ง่ายเลย การรักษาชีวิตไว้ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อจากนี้ก็สามารถกลับมาแก้แค้นสวี่ชีอันได้ ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีโอกาส
ฉีฮวนตานเซียงก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน ในใจจึงหวั่นไหว แต่ก็ยังมีสีหน้าเย่อหยิ่งดังเดิม เขาให้ความร่วมมือโดยการแสดงเจตจำนงและฝังความคิดในใจไว้ใต้ก้นบึ้ง
การประนีประนอมเป็นกลยุทธ์ที่ดีเพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ พวกเขาประสบความพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของสวี่ชีอันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่การแข่งขันระหว่างราชครูและเจ้าคนแซ่สวี่ยังไม่จบ
และสักวันหนึ่ง พวกเขาจะต้องแก้แค้นคืนให้ได้
เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะสังหารญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าคนแซ่สวี่ทั้งหมด
“เมืองเฉียนหลงตั้งอยู่ในภูเขาลึกทางตอนใต้ของอวิ๋นโจว มีฐานที่มั่นบนภูเขากระจายอยู่เจ็ดสิบสองแห่งโดยมีเมืองเป็นจุดศูนย์กลาง ฐานที่มั่นบนภูเขานี้คือสถานที่ฝึกอบรมทหารและเป็นที่ประจำการของกองทัพ มีหน้าที่ปล้นสะดมผู้คนและคาราวานพ่อค้า จำนวนประชากรโดยละเอียดนั้นไม่รู้แน่ชัด แต่ในหนึ่งฐานที่มั่นบนภูเขา อย่างน้อยมีถึงร้อยคน อย่างมากมีถึงพันคน เมื่อคำนวณรวมกันแล้ว คงไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นคน”
ไป๋หู่พูดจบ ฉีฮวนตานเซียงก็เอ่ยเสริมต่อ
“ประชากรในเมืองเฉียนหลงมีสองแสนคน มีคนในชุดเกราะสองหมื่นคนที่ล้วนแต่ปล้นสะดมอยู่ในที่ต่างๆ ของอวิ๋นโจวเพื่อเติมจำนวนคน ในนั้นยังมีบุคคลจากยุทธภพมากมายที่หลบหนีมายังอวิ๋นโจวด้วย”
หลี่เมี่ยวเจินคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้
“ไม่ใช่สำนักพ่อมดที่สนับสนุนโจรภูเขา แต่เป็นเมืองเฉียนหลงของพวกเจ้างั้นหรือ”
สวี่ชีอันส่ายหน้า
“ผิดแล้ว สำนักพ่อมดก็มีการสนับสนุนโจรภูเขา ทั้งยังสั่งสมกำลังทหารในที่ลับด้วย เรื่องนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่สวี่ผิงเฟิงช่วยข้าในตอนนั้น เพราะการขยายตัวของสำนักพ่อมดส่งผลถึงตัวเขา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง