ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 654

บทที่ 654 ลูกสาว

เมื่อกล่องเปิดออก ของที่อยู่ข้างในก็ปรากฏต่อสายตาทุกคน

มันคือลำตัว ไม่มีขา แขนและศีรษะ แต่กลับเป็นร่างกายที่ดูสมบูรณ์แบบที่สุดของเสินซูที่สวี่ชีอันเคยเห็นมา

ที่น่าสนใจคือ ช่วงล่างของร่างกายนี้คลุมด้วยกระโปรงสั้นที่ทำจากหนังสัตว์ ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงลิงปากห้อยบนโทรทัศน์เมื่อตอนนั้นอย่างไม่มีเหตุผล

“ยังไม่ถึงสิบปี เหตุใดจึงปลุกข้าขึ้นมา!”

ลำตัวมีชีวิตขึ้นมา มันค่อยๆ ‘ยืนขึ้น’ แล้วลอยอยู่ตรงหน้าทุกคน จากนั้นก็ลบกลิ่นอาย

“ไต้ซือเสินซู ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากองค์หญิงให้ปลดผนึก เพราะมีเรื่องต้องการจะขอร้องท่าน”

แรงกดดันของเย่จีเบาลง นางโค้งคำนับอย่างโล่งอก

ลำตัวของเสินซูค่อยๆ หมุนไปครึ่งหนึ่ง เหมือนจะกำลังกวาดตามองทุกคนในถ้ำ จนกระทั่งมันเห็นสวี่ชีอัน…

ถั่วดำสองเม็ดบนหน้าอกแตกออกอย่างแรงกลายเป็นดวงตา กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง เย่จีกับวานรขาวถอยหลังไปก้าวแล้วก้าวเล่า ใบหน้าซีดขาว

“เจ้ามีกลิ่นอายของข้าอยู่บนตัว ร่างกายส่วนหนึ่งของข้าเป็นกาฝากอยู่ภายในร่างของเจ้า”

หน้าอกบนลำตัวจ้องมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย ในทรวงอกส่งเสียงเหมือนฟ้าแลบฟ้าร้องออกมา

“มันคือแขนขวา!”

สวี่ชีอันตอบกลับอย่างใจเย็น เขาไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูหรือจิตมุ่งร้ายอย่างรุนแรงจากลำตัวนี้

นั่นหมายความว่าอุปนิสัยของอีกฝ่ายคือ ‘อ่อนโยน’ เหมือนกับแขนขวาที่เป็นกาฝากอยู่ภายในร่างของเขา

“ตะปูตอกวิญญาณ…”

ลำตัวของเสินซูมองพินิจเขาและพูดว่า “เจ้าเป็นศัตรูกับสำนักพุทธงั้นหรือ อืม เช่นนั้นก็เป็นเพื่อนข้า ตบะไม่เลว รากฐานมั่นคง เป็นนักรบที่ดี หากมีเวลามาดื่มกัน”

มาดื่มกัน…สวี่ชีอันมองแผลเป็นขนาดใหญ่บนคอของมันแล้วไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไรไปชั่วขณะ

แต่อุปนิสัยก็พอใช้ได้ ห้าวหาญนิดๆ ไม่เหมือนไอ้โรคจิตในเจดีย์ที่วันๆ เอาแต่ตะโกนว่าฆ่าๆๆ

“ไต้ซือ เขาเป็นผู้ช่วยที่องค์หญิงเชิญมา”

เย่จีบอกเรื่องข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายกับลำตัวของเสินซูและกล่าวต่อว่า

“อาซูหลัวคุ้มกันวัดหนานฝ่าอยู่ พลังของเขาน่ากลัวมากจนเราไม่อาจต่อกรได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากให้ท่านช่วยเขาถอนตะปูตอกวิญญาณออกล่วงหน้า”

ลำตัวของเสินซูดิ่งลงอย่างกระปรี้กระเปร่า “ไม่มีปัญหา แต่การถอนตะปูตอกวิญญาณออกจะทำให้ข้าสูญเสียพลังไปอย่างมหาศาล หลังจากนั้นข้าต้องการแก่นโลหิตจำนวนหนึ่งเพื่อเติมเต็มส่วนที่เสียไป”

เย่จีพยักหน้า “ข้าน้อยเข้าใจ”

ในภูเขาสือว่าน สัตว์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้มากที่สุด พวกมันสามารถจู่โจมเมืองเล็กๆ กับหมู่บ้านและปล้นแก่นโลหิตของเหล่าผู้คนในดินแดนประจิมทิศได้

สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นในใจและถามว่า

“ไต้ซือ ท่านสามารถเป็นกาฝากอยู่ในร่างของข้าได้หรือไม่ เหมือนท่อนแขนข้างขวาของท่าน”

หากเป็นเช่นนี้ เขาก็สามารถใช้พลังเทพจากลำตัวของเสินซูได้ฟรีๆ

“ไม่ได้ ภายในร่างของเจ้ามีตะปูตอกวิญญาณ ข้าไม่อาจไปเป็นกาฝากได้”

ลำตัวของเสินซูปฏิเสธ

เช่นนี้นี่เอง ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ไม่ได้จริงๆ…สวี่ชีอันส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ดูเหมือนจะต้องไปจัดการอาซูหลัวด้วยตัวเอง

“ท่านผู้อาวุโสจะถอนตะปูตอกวิญญาณสองดอกไหนออกหรือ”

ตาคู่นั้นจ้องมองเขาครู่หนึ่งแล้วหัวเราะฮึๆ ในทรวงอก “ตะปูสองดอกบนตัวเจ้า”

เยี่ยม ข้าเป็นบุตรแห่งโชคชะตาจริงๆ แต่หากเกิดขึ้นซ้ำอีกคราวนี้ ก็น่าสงสัยว่าโชคชะตาภายในร่างจะเป็นของปลอม…สวี่ชีอันหันไปสั่งทุกคน “พวกเจ้าออกจากถ้ำไปก่อน”

จากนั้นก็มองไปทางลำตัวของเสินซู “ขอท่านผู้อาวุโสช่วยถอนตะปูตอกวิญญาณออกด้วย”

เมื่อซุนเสวียนจีกับเย่จีและผู้พิทักษ์หยวนพาเหล่าปีศาจสาวออกจากถ้ำ ลำตัวของเสินซูก็ทรุดตัวลงแล้วเกิดพายุหมุนขึ้น

‘เปรี๊ยะ’

ในพายุหมุนมีประกายไฟสีทองลุกโชนขึ้น ทำให้ภายในถ้ำส่องสว่างวูบวาบ

‘ฟิ้ว’ ประกายไฟสีทองพุ่งออกมาจากใจกลางพายุหมุนแล้วสาดใส่ท้องน้อยของสวี่ชีอัน ซึ่งตรงกับตะปูตอกวิญญาณในเส้นลมปราณพอดี

จากมุมของผู้สังเกตการณ์ ประกายไฟสีทองกลายเป็นเชือกยาวเชื่อมลำตัวของเสินซูกับสวี่ชีอันเข้าด้วยกัน

พายุหมุนหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ แรงดึงดูดก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เชือกที่แปลงมาจากประกายไฟสีทองรัดแน่นขึ้นและดึงตะปูตอกวิญญาณ

เสียงสวดก้องอยู่ในหูของสวี่ชีอัน เขารู้ว่านี่คือสัจจคาถาสำหรับถอนตะปูตอกวิญญาณ

สองครั้งแรกที่ถอนตะปูตอกวิญญาณออก พระอรหันต์ตู้ฉิงกับแขนซ้ายของเสินซูร่ายคาถาช่วย

สวี่ชีอันแอบจดไว้ แต่น่าเสียดายที่หลังจากลองแล้วก็พบว่าการร่ายคาถาเพียงอย่างเดียวไม่อาจถอนตะปูตอกวิญญาณได้

ตะปูตอกวิญญาณถูกดึงออกทีละน้อยๆ ใบหน้าเขากระตุกอย่างแรง เม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาราวกับสายฝน

เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดจากการที่ร่างกายถูกฉีกเป็นชิ้นๆ อีกครั้ง

‘ฟึ่บ’ พร้อมกับเสียงตะปูตอกวิญญาณแยกออกจากร่างเนื้อ พลังปราณภายในตันเถียนพุ่งพรวดอย่างไม่อาจควบคุมได้ราวกับกระแสน้ำขึ้นสูง แต่ไม่อาจระบายออกมาได้

แขนสองข้างของสวี่ชีอันสั่นเทิ้ม ‘ตู้ม’ พลังปราณโหมกระหน่ำอยู่ในถ้ำ ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

เย่จี ซุนเสวียนจีและคนอื่นๆ ที่อยู่นอกถ้ำรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงผืนดินใต้ฝ่าเท้าที่กำลังสั่นสะเทือน

‘ฟิ้ว’

ลมกระโชกแรงพวยพุ่งออกมาตามทางเดิน ‘พัด’ คบเพลิงและก้อนกรวดทั้งหมดออกจากทางเดิน

ซุนเสวียนจียื่นฝ่ามือขวาออกไปแล้วยันไปข้างหน้าเล็กน้อย

ค่ายกลรูปกระดองเต่าที่ก่อตัวจากแสงใสปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน ขวางลมกระโชกแรงที่ ‘พัด’ ทีเดียวก็คร่าชีวิตทหารที่ต่ำกว่าระดับหกได้

‘แข็งแกร่งนัก’ ผู้พิทักษ์หงอิงกับผู้พิทักษ์ชิงมู่และปีศาจตนอื่นๆ แอบตกใจ

ภายในถ้ำ หลังจากระบายรอบนี้ สวี่ชีอันก็ทำให้พลังปราณภายในตัวเถียนสงบลง แล้วสิ่งที่ตามมาคือพลังแห่งการฟื้นตัว

‘ผลัวะ!’

เขาออกหมัดอย่างแรงราวกับจะระเบิดอากาศ

ระดับความมั่นคงของพลังปราณและพละกำลังกายเพิ่มขึ้นอย่างมาก พลังปราณที่บำเพ็ญคู่กับท่านน้า ในที่สุดก็มีประโยชน์เสียที…อืม ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ รวมกับพลังเทพวชิระที่บรรลุสมบูรณ์ ข้าสามารถเอาชนะตู้หนานหรือตู้ฝานคนใดคนหนึ่งได้ ถึงสองต่อหนึ่งก็สามารถยืนหยัดไร้เทียมทานได้

หลังจากกลืนกินเลือดอสูรเทพอารักษ์ตู้ฝาน พลังเทพวชิระของเขาก็บรรลุสมบูรณ์ และสามารถดวลต่อตัวต่อกับเทพอารักษ์ได้

แต่ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะเทพอารักษ์ได้

หากพิจารณาเพียงพละกำลังกาย ข้าคงไม่แพ้อาซูหลัว แม้จะยังเป็นรอง แต่ก็ต่างกันไม่มาก เมื่อถอนตะปูตอกวิญญาณอีกดอก พลังของข้าก็ได้ยกระดับขึ้นอีกขั้น แต่ในเวลาเดียวกันอาซูหลัวก็เป็นพระอรหันต์ด้วย อืม ก็ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีวิธีอื่น การพันธนาการเขายิ่งสบายมาก

สวี่ชีอันเก็บความคิดของตัวเองกลับไปแล้วออกหมัดไปทางลำตัวของเสินซูซึ่งกลิ่นอายอ่อนลงมาก

“ท่านอาวุโสโปรดดำเนินการต่อเลย”

ลำตัวของเสินซูถอนตะปูตอกวิญญาณดอกที่สองให้เขาด้วยวิธีเดิม หลังจากสวี่ชีอันทำให้พลังปราณที่ยุ่งเหยิงสงบลง มันก็เอ่ยชม

“ภูมิหลังของเจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการมาก หากถอนตะปูตอกวิญญาณออกทั้งหมด พลังของเจ้าจะเข้าใกล้บรรลุสมบูรณ์ คิดๆ ดูแล้วเดิมทีเจ้าก็อยู่ระดับนี้”

ความหมายของมันคือ สวี่ชีอันอยู่ระดับบรรลุสมบูรณ์ขั้นสาม แต่ถูกตะปูตอกวิญญาณผนึกไว้

“สำนักพุทธใช้ตะปูตอกวิญญาณน้อยมาก ตัวตนของเจ้าไม่ธรรมดาเลย เจ้าหนุ่ม เจ้าฝึกวิทยายุทธ์มาหลายร้อยปีแล้วใช่หรือไม่”

ข้าฝึกฝนมาครึ่งปี…สวี่ชีอันออกหมัด

“คิดรวมทั้งหมดก็หนึ่งปีครึ่ง”

เสินซูเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวช้าๆ “อย่าล้อข้าเล่นแบบนี้”

“ผู้น้อยไม่ได้ล้อท่านเล่น” สวี่ชีอันกล่าว

ลำตัวของเสินซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสับสน “เจ้าไม่ได้โกหก แต่มันเป็นไปไม่ได้”

สวี่ชีอันตอบตามตรง “ผู้น้อยแบกรับชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของราชวงศ์แห่งที่ราบตอนกลางไว้”

นี่ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ…สวี่ชีอันพึมพำในใจแล้วตอบว่า

“ผู้ที่มีมหาโชคชะตาจะได้รับพรจากสวรรค์ให้สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมได้ในเวลาอันสั้น แม้ว่าจะเกินจริง แต่ก็ไม่เท่าไหร่ ”

เขาประสบความสำเร็จได้อย่างในตอนนี้ นอกจากพรสวรรค์ของตัวเองแล้ว ยังเกี่ยวเนื่องกับความขยันหมั่นเพียรและความเอาใจใส่ของผู้อาวุโสด้วย

สวี่ชีอันสรุปว่าที่เขาบังเอิญเจอแต่ความโชคดีทุกครั้งนั้นเป็นเพราะโชคชะตา

“ข้ารู้แค่ว่าผู้ที่มีโชคชะตาไม่อาจอยู่ค้ำฟ้าได้ อืม พูดให้ถูกคือมีชะตาบ้านเมืองติดตัว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีจักรพรรดิที่มีชีวิตเป็นอมตะอยู่ในโลก”

เสินซูชะงักกลางอากาศและจ้องมองเขา

“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ที่มีโชคชะตาสามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมได้ภายในหนึ่งปีครึ่ง”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วและพูดว่า

“อาจเป็นเพราะชะตาบ้านเมืองแตกต่างกับโชคชะตาส่วนบุคคลหรือไม่”

เสินซูถามกลับอีกครั้ง

“เช่นนั้น จักรพรรดิทุกองค์ในประวัติศาสตร์ก็สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับบรรลุธรรมได้ภายในหนึ่งปีครึ่ง แล้วเหตุใดคนอื่นถึงทำไม่ได้ แต่เจ้าทำได้”

สวี่ชีอันตกตะลึง “นั่น นั่น…”

เขาอยากพูดออกมาอย่างลืมตัวว่า จักรพรรดิเกาจู่กับจักรพรรดิอู่จงแห่งต้าฟ่งก็ทำได้เช่นกัน

แต่ต่อมาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะแม้ว่าจักรพรรดิทั้งสองจะเลื่อนขั้นสู่ขั้นหนึ่งได้ แต่นั่นก็หลายปีผ่านไป

แถมพวกเขายังเริ่มต้นจากขั้นสาม

เขาตั้งสมาธิและออกหมัด

“ผู้น้อยเองก็ไม่ทราบ แต่ผู้น้อยมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะเรื่องหนึ่ง”

“ว่ามา”

“จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่งในที่ราบตอนกลางอยู่ขั้นสามก่อนที่จะประกาศตนเป็นจักรพรรดิ หลังจากประกาศตนเป็นจักรพรรดิถึงเลื่อนขั้นสู่ขั้นหนึ่ง หนึ่งร้อยปีต่อมา หลานชายของเขาก็ก่อกบฏและชิงบัลลังก์ไป แล้วก็เป็นเช่นเดียวกัน” สวี่ชีอันพูดรัวเร็ว

“มันมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง