เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 656

บทที่ 656 พลังแห่งสายเลือด

‘ตึง!’

ศีรษะมนุษย์ร่วงลงบนพื้น ส่งเสียงดังชัดเจน ระหว่างกลิ้งลุนๆ หมวกคลุมหลุดออก เผยให้เห็นส่วนหัวที่หลอมด้วยเหล็ก ฝังไม้มะเกลือสีเข้ม

ป้อมปืนลอยเด่นอยู่ในอากาศไม่ไหวติง ท่านกลางลำแสงเจิดจรัส ปรากฏชายชุดขาวคนหนึ่ง มีหน้าตาธรรมดา ความสูงทั่วๆ ไป อารมณ์สงบปกติ เขาเป็นศิษย์พี่สองที่ไม่ธรรมดาของสำนักโหราจารย์

ซุนเสวียนจียืนประนมมือ มองอาซูหลัวอยู่บนยอดเจดีย์

อาซูหลัวเหวี่ยงมือ เปลี่ยนหุ่นเชิดอาวุธวิเศษราคาแพงให้กลายเป็นผุยผง

ในฐานะพ่อมดที่ไม่เก่งเรื่องการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ซุนเสวียนจีและขั้นสามในระบบอื่นจะเป็นเหมือนกัน เมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ก็จะมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ซึ่งแตกต่างจากยอดฝีมือระบบอื่นๆ พ่อมดที่เชี่ยวชาญในการปรับแต่งอาวุธวิเศษ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเส้นทางการอัดฉีด ทำให้ลงมือได้ในวงกว้างขึ้นและตบตาได้มากขึ้น

หุ่นเชิดสิ่งประดิษฐ์นี้เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของซุนเสวียนจี ร่างกายของมันแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสี่ ซึ่งมีค่ายกลเล็กๆ เก้าสิบเก้าชิ้นสลักไว้อยู่บนลำตัว สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลคุ้มภัยและค่ายกลใหญ่ห้าธาตุ

แขนทั้งสองข้างเป็นปืนใหญ่ขนาดเล็กที่ถ้ายอดฝีมือขั้นสี่ถูกยิงเข้า เป็นต้องเจ็บสาหัสทุกราย

นอกจากนี้ ความสามารถหลักของมันคือค่ายกลชุมนุมทวยเทพที่สลักอยู่บนขมับ ซุนเสวียนจีสามารถแยกจิตเดิมได้

หุ่นเชิดสามารถปลดปล่อยพลังของพ่อมดขั้นสามได้ในระยะเวลาอันสั้น

อย่างไรก็ตามเมื่อจิตเดิมติดอยู่กับหุ่นเชิด ร่างของซุนเสวียนจีไม่สามารถทำหน้าที่ได้เพราะพลังของหุ่นเชิดจะด้อยกว่าร่างจริงเล็กน้อย

ดังนั้นหุ่นเชิดวิเศษจึงไม่สามารถใช้งานได้จริง แต่เมื่อพูดถึงการใช้เหยื่อ มันก็สมบูรณ์แบบใช้ได้

ถ้าอาซูหลัวไม่มีกำลังสำรอง ซุนเสวียนจีคงฉวยโอกาสนี้บุกเข้าทำลายเจดีย์ปิดผนึก ปลดปล่อยมือเท้าทั้งสี่ของเสินซู

ในทางกลับกัน ก็สามารถทดสอบไพ่ใบสุดท้ายของอาซูหลัวได้

เห็นได้ชัดว่าบุตรชายคนสุดท้องของราชันอสูรผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขามีการเตรียมการล่วงหน้าเช่นเดียวกัน

“พ่อมดแห่งต้าฟ่ง”

อาซูหลัวเอ่ยเนิบนาบ เขาถูกโค่นในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี และในเวลานั้น ระบบพ่อมดก็ปรากฏขึ้นมาแล้วหลายร้อยปี

“ทานพละ!”

ซุนเสวียนจีสบถเพียงสองคำ

สิ้นคำ อาซูหลัวที่สู้รบตบมือกับสวี่ชีอันก็สลายกลายเป็นแสงสีทองอร่าม

หนึ่งในสามพละของพระอรหันต์ ได้แก่ ทานพละ

ทานพละ ตามความหมายของชื่อ ควรได้รับการสนับสนุนจากสวรรค์ เพราะเป็นธรรมที่ลึกซึ้งที่สุดในสำนักพุทธ พระอรหันต์ผู้ที่พิสูจน์การสมาทานทานพละได้นั้น จึงถือเป็นหนึ่งในผู้มีเมตตาในไม่กี่คน

ทานพละมีความสามารถหลักๆ สองประการคือ การให้พรและรับทาน

การให้พร ฆราวาสจะต้องถวายเครื่องสักการะและขอพร จากนั้นพระอรหันต์ผู้รับผิดชอบทานพละจะสามารถบรรลุตามความปรารถนาของฆราวาสผู้นั้นได้

แน่นอนว่ามีข้อจำกัดในเรื่องนี้และเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุความปรารถนาใดๆ

การรับทาน พระอรหันต์ผู้ครองพละ จะสามารถร้องขอเครื่องสักการะได้

ด้านในเจดีย์ปิดผนึก จะมีแท่นสำหรับว่าอัฐิธาตุทานพละ

ก่อนสงคราม อาซูหลัวที่เตรียมการมาเป็นเวลานาน คอยถวายเครื่องสักการะ ขอพรกับอัฐิธาตุ โดยอธิษฐานขอให้มีผู้ช่วยที่เหมือนกับตัวเขาเอง

อัฐิธาตุตอบรับคำวิงวอนจากเขา ด้วยพลังทานพละอันแรงกล้า จึงจัดหาผู้ช่วยที่เหมือนอาซูหลัวทุกประการ

หลังจากนั้น อาซูหลัวก็ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่โดยรอบ

ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ต่อสู้กับสวี่ชีอันตลอดมาคือผู้ช่วยที่ถูก ‘เรียก’ โดยอัฐิธาตุ ไม่ใช่ตัวอาซูหลัวเอง

ผู้ช่วยคนนี้ถูกจำกัดตามลักษณะนิสัยอัฐิธาตุ แม้ว่ามันจะลอกเลียนความสามารถของอาซูหลัวได้ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ไม่สามารถบำเพ็ญได้ถึงขั้นสามระดับต้น

และมีอายุขัยสั้นมาก สามารถใช้งานได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ไม่สามารถใช้นานๆ

อาซูหลัวกำลังหลอกล่อสหายคู่คิดของสวี่ชีอัน แน่นอนว่าเขาสามารถเลือกโจมตีได้พร้อมร่างเสมือน แต่ทำเช่นนั้นเป็นเพียงแหวกหญ้าให้งูตื่น ทำให้สวี่ชีอันตกใจเท่านั้น

ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ต่อสู้กัน ต่างฝ่ายต่างวางแผนและวางกับดัก

ผลลัพธ์ที่ได้คือครึ่งต่อครึ่ง

“การจับตาดูครั้งล่าสุดของข้า ทำให้ความระแวดระวังเจ้าเพิ่มมากขึ้นรึ?”

สวี่ชีอันกระชับดาบไท่ผิงในมือขวา สืบเท้ามุ่งตรงไปยังเจดีย์ปิดผนึก

“พระโพธิสัตว์กว่างเสียนคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปีศาจทักษิณจะใช้ประโยชน์จากสำนักพุทธเข้าแทรกแซงตอนระบบศูนย์กลางดั้งเดิมขัดแย้งกัน รอสบโอกาสยึดครองภูเขาสือว่าน”

น้ำเสียงยังหนุ่มทุ้มนุ่มของอาซูหลัวเอ่ยขึ้น “จึงฝากให้ข้าเฝ้าซินเจียงตอนใต้รึ”

ข้าเกลียดศัตรูที่มีสมองเสียจริง…หัวเข่าทั้งสองข้างของสวี่ชีอันพุ่งลงกระแทกอาซูหลัวราวกับลูกธนู ดาบไท่ผิงในมือฟันแสงดาบพร่างพรายออกไป บิดเบี้ยวกลางอากาศ

ตึง!

ดาบไท่ผิงชะงักค้างระหว่างสองนิ้ว แม้นจะคลายปราณดาบ ก็หาได้ทำลายกายาศักดิ์สิทธิ์เทพอารักษ์ของอาซูหลัวไม่

สวี่ชีอันพลิกหมุนตัวราวกับลูกข่าง หมุนคมดาบไท่ผิงให้หลุดพ้นจากนิ้วศัตรู

อาซูหลัวที่ชักนิ้วกลับเอ่ยเสียงเรียบ “ละเว้นการเอาชีวิต!”

เมื่อพลังแห่งศีลพ่นออกมา ทำให้เขาไม่คิดสู้หรือต่อต้าน

จิตวิญญาณการต่อสู้อ่อนแรง

ทันใดนั้น วงแหวนเพลิงที่อยู่ด้านหลังศีรษะอาซูหลัวก็ม้อดดับลง ก่อนแทนที่ด้วยแสงสีทองสุกสกาว

บุคลิกของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งเผด็จการ ดุร้ายและเยือกเย็น เหมือนอาวุธวิเศษที่ไร้ปลอกหุ้ม

เจดีย์พุทธะหมุนวนด้วยแรงกดดัน สั่นสะเทือนปลดปล่อยพลังแห่งการปราบปราม พยายามส่งผลต่ออาซูหลัว เพื่อลดทอนความแข็งแกร่งของเขา

ตุ้บ!

อาซูหลัวกำหมัดแน่น เมินพลังที่ส่งมาจากเจดีย์พุทธะ เหวี่ยงหมัดเข้ากลางอกสวี่ชีอัน ผิวหนังสีทองเข้มที่ถูกเขาชกปริแตก ทรวงอกยวบยุบในทันใด

พลังแห่งการแยกขันธ์ เป็นที่เลื่องชื่อในการโจมตีอันทรงพลัง ทำให้พลังเทพวชิระแตกสลายโดยตรง

หากไม่สามารถทำลายพลังเทพวชิระลงได้ อาซูหลัวจะมีคุณสมบัติให้เรียกว่าพระโพธิสัตว์คนต่อไปได้อย่างไร พลังรบต้องมาก่อนไม่ใช่หรือ?

ร่างอวตารสวี่ชีอันกระโจนออกไป ถล่มทั้งกุฏิและวิหารหลังแล้วหลังเล่า จนฝุ่นตลบกลบสิ่งโสมมในวัดหนานฝ่า

เจดีย์ที่สุญเสียการปลุกเสกจากเจ้านาย ทั้งที่ตั้งใจจะโน้มน้าวพระอรหันต์ผู้ที่บรรลุระดับเต๋าแยกขันธ์ จึงจำใจเล็กน้อย

เวลานี้ อาซูหลัวพลันหันด้านข้าง แสงดาบสีทองเข้มพุ่งผ่านหน้าเขา หายลับไปในตัวอาคารวัดหนานฝ่า

ไม่กี่วินาทีต่อมา ทั้งอาคารและวิหารก็ระเบิด เหมือนกับเต้าหู้ถูกบดด้วยใบมีด

สวี่ชีอันอาศัยกระโจนตามแสงเงา ปรากฏกายเงียบๆ ด้านหลังอาซูหลัวเพื่อโจมตี เพราะมีความสามารถปกปิดลมปราณจาก ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ ของเทียนกู่ ทำให้สัญชาตญาณล่วงรู้อันตรายชาวยุทธ์ของอาซูหลัวไม่แจ้งเตือน

แสงวาบเมื่อครู่นี้ เกิดจากการตอบสนองจากสถานที่แห่งนั้นเอง

แต่สิ่งนี้ยังทำให้อาซูหลัวพลาดโอกาส ขณะหลบหลีกแสงดาบด้านข้าง สวี่ชีอันก็ก้าวขึ้นมาพร้อมกับกำปั้นซ้ายและกระบี่ในมือขวา รวมประสานการต่อสู้

ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!

กำปั้นของเขาเหมือนปืนใหญ่ที่ระเบิดบนร่างอาซูหลัวอย่างหนาแน่นราวกับสายฝน

วงล้อแห่งแสงที่อยู่ด้านหลังศีรษะของอาซูหลัววนบรรจบกัน จากนั้นวงแหวนเพลิงลุกโชนเสียงดัง ‘พรึ่บ’ ส่องสว่างท่ามกลางม่านรัตติกาล

ไม่หลงเหลือรอยต่อสลับไปมาระหว่างพระอรหันต์กับเทพอารักษ์อีกต่อไป

ร่างกายที่สูงใหญ่เป็นทุนเดิมของเขา ค่อยๆ ระเบิดกล้ามเนื้อ ขยับขยายใหญ่ขึ้น

ตึง!

เทพอารักษ์อสูรผู้นี้ใช้ค้อนทุบหน้าผากสวี่ชีอัน เขาขัดขวางจังหวะต่อเนื่องของสวี่ชีอันด้วยพลังที่แข็งแกร่งและเหนือยิ่งกว่า

ภาพเบื้องหน้ามืดมัว ในขณะที่หมดสติไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันนึกถึงคำพูดของฝูเซียงขึ้นมาได้ว่า อาซูหลัวบำเพ็ญร่างธรรมเทพอารักษ์ล้มเหลว จึงเปลี่ยนไปพึ่งระบบวิชาฉาน

สิ่งเดียวที่สามารถขัดขวางการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของจอมยุทธ์ได้คือจอมยุทธ์ที่ทรงพลังกว่า

ครู่ต่อมา การไล่รุกและป้องกันผันเปลี่ยน วงแหวนเพลิงด้านหลังอาซูหลัวมอดลง วงล้อส่องสว่างขึ้น จากนั้นกำปั้นห่อหุ้มด้วยพลังเต๋าแยกขันธ์ ทะลวงลึกบนร่างสวี่ชีอันจนยุบตัวเป็นรูลึก

ครานี้ สวี่ชีอันเป็นฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังจากการถูกโจมตีซ้ำๆ จากจอมยุทธ์

ด้วยความแข็งแกร่งของอาซูหลัว ด้วยอาการบาดเจ็บจากพลังเต๋าแยกขันธ์ที่ ‘ไม่มีสิ้นสุด’ แม้ว่าจะไม่สามารถสังหารจอมยุทธ์ผู้เป็นอมตะได้ หากแต่สามารถทำให้สถานภาพและความแข็งแกร่งของเขาลดหลั่นลง

ความสมดุลของชัยชนะจึงเอนเอียง

พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์พลิกผันกะทันหันตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

แข็งแกร็งมาก…สวี่ชีอันหรี่ตา จับจ้องลำแสงนี้ตาไม่กะพริบ

ปลายยอดเจดีย์พุทธะ ปรากฏร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ แสงทองอำไพที่โปรยลงมาจากขวดหยก ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขาและเมื่อรวมกับความสามารถในการรักษาตนอันแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขั้นสาม พลังระดับเต๋าแยกขันธ์จะค่อยๆ ขับออกมาทีละนิด

สมกับเป็นพลังระดับเต๋าแยกขันธ์ซึ่งเป็นของเลื่องชื่อด้านพลังสงครามในสำนักพุทธขั้นสอง แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับกระบี่สยบดินแดน แต่เมื่อสะสมไว้ไม่มากก็น้อย ก็สามารถควบคุมการรักษาตนของจอมยุทธ์ขั้นเหนือชั้นได้…

การต่อสู้เพียงลำพัง ข้าคงเอาชนะอาซูหลัวไม่ได้ หยกสลายเองก็คืนความเสียหายได้เพียงหกสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ฆ่าศัตรูแปดร้อยตนเจ็บพัน โชคดีแท้ๆ ที่มีร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ…

สวี่ชีอันในใจยังคงหวาดผวา

ยอดฝีมือสำนักพุทธผู้อยู่ขั้นสองผนวกสาม มีพละกำลังมากพอจะข่มขวัญ

การยิงถล่มเต็มอัตราของศิษย์พี่ซุนร่วมกับอาการบาดเจ็บที่หยกสลายของข้าก่อไว้ แม้อาซูหลัวจะไม่ตายในทันที แต่คงพอให้คุกคามไม่ได้อีก

สถานการณ์โดยรวมถูกกําหนดไว้แล้ว!

ลำแสงยังคงรักษาลมปราณไว้ประมาณยี่สิบครั้ง ก่อนหมดความแข็งแกร่งแล้วค่อยๆ สลายไป

เงาร่างอาซูหลัวนั่งขัดสมาธิปรากฏท่ามกลางสายตาของทุกคน ลำแสงโจมตีจนเป็นหลุมลึกและเขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางหลุม

จีวรบนร่างกายถูกเผาไหม้ ผิวหนังบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรผู้นี้เกือบไหม้เกรียม ยังเผยให้เห็นเนื้อสีแดงอ่อนนุ่มที่ละลายเหมือนขี้ผึ้ง

สิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดคือศีรษะและเนื้อหนังเขาถูกเผาจนเห็นกะโหลกที่ไหม้เกรียม

อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าหลอมรวมกันเหมือนหุ่นขี้ผึ้งละลาย หลงเหลือเพียงสองเบ้าตากลายเป็นหลุมดำ ลูกตาหายไป

หยกสลายของสวี่ชีอันทำให้ร่างทองของอาซูหลัวแหลกสลาย อวัยวะภายในบาดเจ็บสาหัส

แม้เขาจะใช้วิชาฉานในตอนต้านทาน ‘วิถีกระสุน’ แต่สถานการณ์ไม่นำพา จึงเผชิญหน้ากับการโจมตีของพ่อมดขั้นสามและยากที่จะหลบหนี

ต้องฆ่าเขาตอนที่เขายังบาดเจ็บ…ร่างกายสวี่ชีอันผสานเข้ากับร่างเงา โผล่ออกมาจากทางด้านหลังอาซูหลัว

ดาบไท่ผิงเชือดเฉือน!

หากไม่ได้ปลุกพลังเทพวชิระ วัดจากสภาพอาซูหลัวในตอนนี้แล้ว กายหยาบเขาไม่สามารถต้านทานคมดาบไท่ผิงได้

เพียงตัดศีรษะออก แล้วส่งมอบให้ซุนเสวียนจีปิดผนึก สิ่งที่อาซูหลัวต้องเผชิญก็คือการสูญเสียพลังจนหมดสิ้น

ตึง ตึง ตึง…

เวลานี้ สวี่ชีอันได้ยินเสียงกลอง หนักหน่วงและชวนอึดอัด

แม้จะรู้สึกฉงนใจ หากแต่สิ่งนี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟันดาบไท่ผิง

ตึง!

เสียงเสียดสีของโลหะดังฟังชัด ดาบไท่ผิงบาดผ่านประกายเพลิง แต่มันไม่สามารถเฉือนศีรษะอาซูหลัวได้ เพราะถูกฝ่ามืออีกฝ่ายยกประกบไว้

ฝ่ามือสีดำทมิฬ

ผิวหนังที่ถูกไฟคลอกของอาซูหลัวสร้างขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว กะโหลกขมับที่ถูกถลกให้เห็นเนื้อแดงสด ถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังสีดำ

ภายในไม่กี่อึดใจ อาซูหลัวก็หายจากอาการบาดเจ็บ ขณะเดียวกันรูปร่างของเขาก็เปลี่ยนไป ทั่วร่างกายมืดมนราวกับย้อมหมึกเหมือนอสุรกายในอเวจี

“นานมาแล้วที่ข้าไม่ได้ปลดปล่อยพลังแห่งสายเลือด นานเสียจนข้าเกือบลืมว่าข้าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าอสูร”

ชั่วอึดใจ อาซูหลัวกระดิกนิ้ว ดาบไท่ผิงก็กระเด็นออกจากมือสวี่ชีอัน

จนกระทั่งถึงเวลานี้ สวี่ชีอันถึงตระหนักว่า จังหวะกลองที่หนักอึ้งนั้น คือเสียงหัวใจของอาซูหลัว

นี่มัน…ครั้นเห็นรูปลักษณ์อาซูหลัวเช่นนี้ ม่านตาสวี่ชีอันขยายออกเล็กน้อย สีหน้าตกใจและตื่นตระหนกปรากฏชัด

เขาเสียศูนย์เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวความแข็งแกร่งของอาซูหลัว

แต่เพราะเขาเคยเห็นใครอีกคนที่มีผิวมืดมนแบบนี้มาก่อน

ร่างธรรมสีดำทมิฬของเสินซู

พลังแห่งสายเลือด นี่หรือพลังแห่งสายเลือดของเผ่าอสูร!

เสินซูผู้นั้นคือ…

………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง