ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 657

บทที่ 657 แผนลวง

เสินซูคือเผ่าอสูร เป็นราชาอสูรงั้นรึ!

นี่คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในสมองสวี่ชีอัน

ถ้าเสินซูเป็นคนของเผ่าอสูร สิ่งที่สอดคล้องกับตัวตนเขาเช่นนี้ คงมีเพียงอาซูหลัวที่ถูกพระพุทธเจ้าตอกตะปูตอกวิญญาณผนึกไว้ เพื่อกักขังไว้ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาตามตำนานเล่าขาน

หากว่ากันตามตำนานแล้วไซร้ ราชันอสูรพระองค์นั้นสูญสลายไปนมนานแล้ว

ส่วนจะเป็นคนอื่นในเผ่าอสูรหรือไม่ สวี่ชีอันเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ เหตุผลง่ายๆ หลังจากราชันอสูรล่วงลับแล้ว ผู้ที่สืบทอดตำแหน่ง ‘อาซูหลัว’ คือบุตรคนสุดท้องของราชันอสูร

แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าอาซูหลัวเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของชาวเผ่าอสูร

ด้วยเหตุนี้จึงสันนิษฐานได้ว่า ถ้าหากเสินซูเป็นชาวเผ่าอสูร เทพยุทธ์ครึ่งขั้นของเขาต้องเป็นราชันอสูรเท่านั้น

เสินซูคือราชาอสูร ราชันอสูรและเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจคบชู้กัน นางจิ้งจอกเก้าหางเป็นลูกสาวของราชันอสูรและเป็นพี่น้องของอาซูหลัว…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

น่าสนใจเลยทีเดียว!

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกมากมาย ประเด็นหลักที่สำคัญที่สุดก็คือปัญหาจากห้วงเวลา

ตามความเข้าใจของสวี่ชีอัน คนเผ่าอสูรยอมจำนนต่อสำนักพุทธอย่างน้อยหนึ่งพันปีก่อนหรือนานกว่านั้น ในขณะที่การกวาดล้างปีศาจหกสิบปีเกิดขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ราชันอสูรควรสิ้นพระชนม์ไปเมื่อพันปีก่อน เรื่องที่เสินซูผู้นั้นคือราชันอสูรค่อนข้างพิลึกพิลั่น

ลองนึกภาพว่า หากราชันอสูรเปลี่ยนมานับถือสำนักพุทธ สำนักพุทธต้องแพร่สะพัดออกไปจนโด่งดังและบันทึกลงในคัมภีร์พุทธ ก่อนเปล่าประกาศให้ผู้ศรัทธาในใต้หล้าได้รับรู้ เพื่อสร้างอำนาจของตัวสำนักพุทธเอง

แทนที่จะประกาศว่าราชันอสูรถูกปราบโดยพระพุทธเจ้าผู้ทรงเมตตา

“ใช่แล้ว ข้อตกลง เสินซูและพระพุทธเจ้ามีข้อตกลงร่วมกันอีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้…”

สวี่ชีอันใจกระตุก เขาจับสังเกตบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล แต่ด้วยเวลาทำให้เขาใคร่ครวญมากนัก ลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากอาซูหลัวน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่งผลให้วัดหนานฝ่าทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยเงามืด

อาซูหลัวในเวลานี้เปรียบเหมือนเทพสงครามจากขุมนรกอเวจี ด้วยร่างสูงใหญ่เก้าฉื่อ ผิวพรรณดำทมิฬ กล้ามเนื้อตามตัวยืดขยายตัว ผนวกกับโหนกคิ้วปูดนูนขึ้นดูน่าเกลียดน่ากลัว

ดวงตาคู่คมกริบภายใต้โหนกคิ้ววาวโรจน์ด้วยสีแดงเข้ม

จากดวงตาคู่นี้ สวี่ชีอันเห็นความกระหายเลือด อำมหิตพร้อมต่อสู้

เผ่าอสูรเกิดมาเป็นนักรบ

“อมิตตาพุทธ!”

ไม่ต้องพูดถึงสวี่ชีอัน แม้แต่ภิกษุในวัดหนานฝ่าเองก็ปรับตัวตามอาซูหลัวในเวลานี้ไม่ทันเช่นกัน

พวกเขาหยุดตั้งแถวค่ายกล หยุดสวดคำพุทธมนต์ พร้อมถอยออกมา

อาซูหลัวตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดือดดาล ลักษณะที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น

สวี่ชีอันถือดาบไท่ผิง จดจ่อสมาธิอยู่กับการเตรียมตั้งรับ ขณะเดียวกันเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป กระสุนปืนใหญ่ลูกที่สองของซุนเสวียนจีเริ่มควบแน่นแล้ว

ถ้าเสินซูคือราชันอสูร เช่นนั้นอาซูหลัวจะรู้เรื่องนี้หรือไม่? หากเขาไม่รู้จริงๆ ข้าอาจใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้…สวี่ชีอันใจกระตุก ส่งกระแสจิตกลับไปว่า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครถูกผนึกไว้ในหอคอย?”

“วิญญาณนักบวช!”

อาซูหลัวตอบเขา ด้วยเสียงที่ไม่อ่อนเยาว์นุ่มทุ้มอีกแล้ว แต่แฝงด้วยความเฉยเมยพร้อมมองข้ามทุกสิ่ง

“ถ้าข้าบอกเจ้าว่า ราชันอสูร อาซูหลัวคนสุดท้าย เป็นบิดาของเจ้าล่ะ?”

สวี่ชีอันส่งกระแสจิต

“ใช่แล้วจะเป็นยังไง เมื่อผ่านธรณีประตูสำนักพุทธ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่าทั้งสิ้น”

อาซูหลัวตอบเสียงเรียบ

เพียงแก้แค้นให้พ่อเท่านั้น…ครั้นเห็นอาซูหลัวเป็นเช่นนี้แล้ว สวี่ชีอันนึกถึงพระโพธิสัตว์หลิวหลีหญิงสาวผู้งดงามในตอนนั้น เคยกล่าวไว้ตอนช่วยสวี่ผิงเฟิงจับตัวเขาตั้งแต่ดินแดนประจิมทิศยันเมืองหลวง

เมื่อผ่านธรณีประตูสำนักพุทธ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่าทั้งสิ้น!

หัวใจของเขาชาวาบ

หากพระโพธิสัตว์หลิวหลีทำสำเร็จจริงๆ สถานการณ์ของเขาคงไม่ดีไปกว่าอาซูหลัวมากนัก

‘แกร็ก แกร็ก…’

กรงเล็บดำทมิฬอันแหลมคมผุดงอกออกมาจากปลายนิ้วอาซูหลัว ท่ามกลางความมืดมิด ร่างของเขาจึงหายไป ราวกับเคลื่อนทะลุผ่านด้านหน้าสวี่ชีอัน

เร็วมาก…นัยน์ตาสวี่ชีอันสะท้อนใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวของอาซูหลัว ด้วยสัญชาตญาณในการต่อสู้นั้นเร็วกว่าที่คิด จึงฟันดาบไท่ผิงทันที

‘ฉึก…’

หยาดเลือดสีทองเข้มกระเซ็นออกมา ก่อนที่แขนจะหลุดร่วงลงพร้อมกับดาบไท่ผิง

พละกำลังของระดับเต๋าแยกขันธ์ผสานเข้ากับจิตวิญญาณอสูรของเขา พลังเทพวชิระก็ไม่อาจต้านทานได้เลย…สวี่ชีอันกระโจนหลบไปทางขวาพร้อมพยุงแขนข้างหนึ่ง ก่อนหมุนตัวตีลังกาอย่างสวยงาม

ท่ามกลางขบวนท่านี้ ระหว่างยกแขนข้างที่บาดเจ็บ ก็เปิดใช้งานหยกสลาย มอบความเจ็บปวดคืนสู่อาซูหลัวและขัดขวางการโจมตีจากเขา

แขนขวาสีดำมืดของอาซูหลัวเผยรอยกรงเล็บฝังถึงกระดูก แต่เนื้อแขนไม่ได้ฉีกขาดซะทีเดียว

เขากำหมัดแน่น จนกล้ามเนื้อแขนขวาปูดโปน จากนั้นอาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันใด

สัดส่วนของหยกสลายลดน้อยลงกว่าเดิมไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์…สวี่ชีอันดำดิ่ง จมสู่เงาอันมืดมิด

ระหว่างที่ยืนอยู่ที่เดิม ร่างสูงใหญ่ของอาซูหลัวพลันปรากฏขึ้น หมายจะชกกำปั้นด้านขวาพุ่งเป้าไปที่ศีรษะสวี่ชีอัน

ส่วนสวี่ชีอันปรากฏตัวห่างออกไปอีกสิบจั้ง พร้อมเหวี่ยงดาบไท่ผิงไปทางด้านขวา

ตึง!

เกิดสะเก็ดไฟ เมื่อหน้าอกของอาซูหลัวขึ้นมารองรับคมดาบกะทันหันพอดิบพอดี

ขณะเดียวกัน สวี่ชีอันหลังฟันดาบลงแล้วก็แทรกตัวรวมกับเงามืดอีกครั้ง อำพรางตัวหายไป

เขาปรากฏตัวใต้เจดีย์ที่ถูกปิดผนึก ตึง! สะเก็ดไฟกระเด็นขึ้น สวี่ชีอันจึงกระโดดแฝงในเงาอีกครั้งเพื่อหายตัว

ลานกว้างทิศประจิม ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างน่าพิศวง บางครั้งก็ปรากฏตัวทางทิศตะวันออก บางครั้งก็ปรากฏตัวทางทิศใต้ บางครั้งได้ยินเพียงเสียง “ตึง” พร้อมกับประกายไฟกระเด็นออกมา แต่ไม่เห็นตัวคน

สวี่ชีอันไม่ใช่จอมยุทธ์ป่าเถื่อนอีกต่อไป เขาทำได้เพียงก้มหน้าตรากตรำ ควบคุมเจ็ดยอดกู่ให้เชี่ยวชาญมากพอ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง