ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 657

สรุปบท บทที่ 657 แผนลวง: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 657 แผนลวง – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 657 แผนลวง ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 657 แผนลวง

เสินซูคือเผ่าอสูร เป็นราชาอสูรงั้นรึ!

นี่คือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในสมองสวี่ชีอัน

ถ้าเสินซูเป็นคนของเผ่าอสูร สิ่งที่สอดคล้องกับตัวตนเขาเช่นนี้ คงมีเพียงอาซูหลัวที่ถูกพระพุทธเจ้าตอกตะปูตอกวิญญาณผนึกไว้ เพื่อกักขังไว้ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาตามตำนานเล่าขาน

หากว่ากันตามตำนานแล้วไซร้ ราชันอสูรพระองค์นั้นสูญสลายไปนมนานแล้ว

ส่วนจะเป็นคนอื่นในเผ่าอสูรหรือไม่ สวี่ชีอันเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ เหตุผลง่ายๆ หลังจากราชันอสูรล่วงลับแล้ว ผู้ที่สืบทอดตำแหน่ง ‘อาซูหลัว’ คือบุตรคนสุดท้องของราชันอสูร

แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าอาซูหลัวเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของชาวเผ่าอสูร

ด้วยเหตุนี้จึงสันนิษฐานได้ว่า ถ้าหากเสินซูเป็นชาวเผ่าอสูร เทพยุทธ์ครึ่งขั้นของเขาต้องเป็นราชันอสูรเท่านั้น

เสินซูคือราชาอสูร ราชันอสูรและเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจคบชู้กัน นางจิ้งจอกเก้าหางเป็นลูกสาวของราชันอสูรและเป็นพี่น้องของอาซูหลัว…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

น่าสนใจเลยทีเดียว!

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยที่ไม่สามารถอธิบายได้อีกมากมาย ประเด็นหลักที่สำคัญที่สุดก็คือปัญหาจากห้วงเวลา

ตามความเข้าใจของสวี่ชีอัน คนเผ่าอสูรยอมจำนนต่อสำนักพุทธอย่างน้อยหนึ่งพันปีก่อนหรือนานกว่านั้น ในขณะที่การกวาดล้างปีศาจหกสิบปีเกิดขึ้นเมื่อห้าร้อยปีก่อน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ราชันอสูรควรสิ้นพระชนม์ไปเมื่อพันปีก่อน เรื่องที่เสินซูผู้นั้นคือราชันอสูรค่อนข้างพิลึกพิลั่น

ลองนึกภาพว่า หากราชันอสูรเปลี่ยนมานับถือสำนักพุทธ สำนักพุทธต้องแพร่สะพัดออกไปจนโด่งดังและบันทึกลงในคัมภีร์พุทธ ก่อนเปล่าประกาศให้ผู้ศรัทธาในใต้หล้าได้รับรู้ เพื่อสร้างอำนาจของตัวสำนักพุทธเอง

แทนที่จะประกาศว่าราชันอสูรถูกปราบโดยพระพุทธเจ้าผู้ทรงเมตตา

“ใช่แล้ว ข้อตกลง เสินซูและพระพุทธเจ้ามีข้อตกลงร่วมกันอีกอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้…”

สวี่ชีอันใจกระตุก เขาจับสังเกตบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล แต่ด้วยเวลาทำให้เขาใคร่ครวญมากนัก ลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากอาซูหลัวน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่งผลให้วัดหนานฝ่าทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยเงามืด

อาซูหลัวในเวลานี้เปรียบเหมือนเทพสงครามจากขุมนรกอเวจี ด้วยร่างสูงใหญ่เก้าฉื่อ ผิวพรรณดำทมิฬ กล้ามเนื้อตามตัวยืดขยายตัว ผนวกกับโหนกคิ้วปูดนูนขึ้นดูน่าเกลียดน่ากลัว

ดวงตาคู่คมกริบภายใต้โหนกคิ้ววาวโรจน์ด้วยสีแดงเข้ม

จากดวงตาคู่นี้ สวี่ชีอันเห็นความกระหายเลือด อำมหิตพร้อมต่อสู้

เผ่าอสูรเกิดมาเป็นนักรบ

“อมิตตาพุทธ!”

ไม่ต้องพูดถึงสวี่ชีอัน แม้แต่ภิกษุในวัดหนานฝ่าเองก็ปรับตัวตามอาซูหลัวในเวลานี้ไม่ทันเช่นกัน

พวกเขาหยุดตั้งแถวค่ายกล หยุดสวดคำพุทธมนต์ พร้อมถอยออกมา

อาซูหลัวตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดือดดาล ลักษณะที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น

สวี่ชีอันถือดาบไท่ผิง จดจ่อสมาธิอยู่กับการเตรียมตั้งรับ ขณะเดียวกันเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป กระสุนปืนใหญ่ลูกที่สองของซุนเสวียนจีเริ่มควบแน่นแล้ว

ถ้าเสินซูคือราชันอสูร เช่นนั้นอาซูหลัวจะรู้เรื่องนี้หรือไม่? หากเขาไม่รู้จริงๆ ข้าอาจใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้…สวี่ชีอันใจกระตุก ส่งกระแสจิตกลับไปว่า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครถูกผนึกไว้ในหอคอย?”

“วิญญาณนักบวช!”

อาซูหลัวตอบเขา ด้วยเสียงที่ไม่อ่อนเยาว์นุ่มทุ้มอีกแล้ว แต่แฝงด้วยความเฉยเมยพร้อมมองข้ามทุกสิ่ง

“ถ้าข้าบอกเจ้าว่า ราชันอสูร อาซูหลัวคนสุดท้าย เป็นบิดาของเจ้าล่ะ?”

สวี่ชีอันส่งกระแสจิต

“ใช่แล้วจะเป็นยังไง เมื่อผ่านธรณีประตูสำนักพุทธ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่าทั้งสิ้น”

อาซูหลัวตอบเสียงเรียบ

เพียงแก้แค้นให้พ่อเท่านั้น…ครั้นเห็นอาซูหลัวเป็นเช่นนี้แล้ว สวี่ชีอันนึกถึงพระโพธิสัตว์หลิวหลีหญิงสาวผู้งดงามในตอนนั้น เคยกล่าวไว้ตอนช่วยสวี่ผิงเฟิงจับตัวเขาตั้งแต่ดินแดนประจิมทิศยันเมืองหลวง

เมื่อผ่านธรณีประตูสำนักพุทธ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่าทั้งสิ้น!

หัวใจของเขาชาวาบ

หากพระโพธิสัตว์หลิวหลีทำสำเร็จจริงๆ สถานการณ์ของเขาคงไม่ดีไปกว่าอาซูหลัวมากนัก

‘แกร็ก แกร็ก…’

กรงเล็บดำทมิฬอันแหลมคมผุดงอกออกมาจากปลายนิ้วอาซูหลัว ท่ามกลางความมืดมิด ร่างของเขาจึงหายไป ราวกับเคลื่อนทะลุผ่านด้านหน้าสวี่ชีอัน

เร็วมาก…นัยน์ตาสวี่ชีอันสะท้อนใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวของอาซูหลัว ด้วยสัญชาตญาณในการต่อสู้นั้นเร็วกว่าที่คิด จึงฟันดาบไท่ผิงทันที

‘ฉึก…’

หยาดเลือดสีทองเข้มกระเซ็นออกมา ก่อนที่แขนจะหลุดร่วงลงพร้อมกับดาบไท่ผิง

พละกำลังของระดับเต๋าแยกขันธ์ผสานเข้ากับจิตวิญญาณอสูรของเขา พลังเทพวชิระก็ไม่อาจต้านทานได้เลย…สวี่ชีอันกระโจนหลบไปทางขวาพร้อมพยุงแขนข้างหนึ่ง ก่อนหมุนตัวตีลังกาอย่างสวยงาม

ท่ามกลางขบวนท่านี้ ระหว่างยกแขนข้างที่บาดเจ็บ ก็เปิดใช้งานหยกสลาย มอบความเจ็บปวดคืนสู่อาซูหลัวและขัดขวางการโจมตีจากเขา

แขนขวาสีดำมืดของอาซูหลัวเผยรอยกรงเล็บฝังถึงกระดูก แต่เนื้อแขนไม่ได้ฉีกขาดซะทีเดียว

เขากำหมัดแน่น จนกล้ามเนื้อแขนขวาปูดโปน จากนั้นอาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันใด

สัดส่วนของหยกสลายลดน้อยลงกว่าเดิมไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์…สวี่ชีอันดำดิ่ง จมสู่เงาอันมืดมิด

ระหว่างที่ยืนอยู่ที่เดิม ร่างสูงใหญ่ของอาซูหลัวพลันปรากฏขึ้น หมายจะชกกำปั้นด้านขวาพุ่งเป้าไปที่ศีรษะสวี่ชีอัน

ส่วนสวี่ชีอันปรากฏตัวห่างออกไปอีกสิบจั้ง พร้อมเหวี่ยงดาบไท่ผิงไปทางด้านขวา

ตึง!

เกิดสะเก็ดไฟ เมื่อหน้าอกของอาซูหลัวขึ้นมารองรับคมดาบกะทันหันพอดิบพอดี

ขณะเดียวกัน สวี่ชีอันหลังฟันดาบลงแล้วก็แทรกตัวรวมกับเงามืดอีกครั้ง อำพรางตัวหายไป

เขาปรากฏตัวใต้เจดีย์ที่ถูกปิดผนึก ตึง! สะเก็ดไฟกระเด็นขึ้น สวี่ชีอันจึงกระโดดแฝงในเงาอีกครั้งเพื่อหายตัว

ลานกว้างทิศประจิม ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างน่าพิศวง บางครั้งก็ปรากฏตัวทางทิศตะวันออก บางครั้งก็ปรากฏตัวทางทิศใต้ บางครั้งได้ยินเพียงเสียง “ตึง” พร้อมกับประกายไฟกระเด็นออกมา แต่ไม่เห็นตัวคน

สวี่ชีอันไม่ใช่จอมยุทธ์ป่าเถื่อนอีกต่อไป เขาทำได้เพียงก้มหน้าตรากตรำ ควบคุมเจ็ดยอดกู่ให้เชี่ยวชาญมากพอ

พลังเทพวชิระของสวี่ชีอันยังคงไม่อาจหยุดยั้งได้ นับประสาอะไรกับค่ายคุ้มภัย

ในขณะนี้ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าซุนเสวียนจี เขากางสองแขนออก รองรับหมัดจากอาซูหลัว

สวี่ชีอัน!

กำปั้นดำทมิฬทะลวงหน้าอกสวี่ชีอันในครู่ต่อมา ทำเอาหัวใจของเขาสั่นสะท้านเป็นเนื้อสับในทันที

เวลานี้ ซุนเสวียนจีก็ตอบสนองในที่สุด เขาปล่อยปืนไฟที่ถูกดัดแปลงซ่อนไว้ภายในแขนเสื้อไหลออกมา พลางก้าวขึ้นมาจากด้านหลังสวี่ชีอัน เล็งไปที่หน้าอกอาซูหลัวก่อนเหนี่ยวไก

ลวดลายที่สลักไว้บนปืนไฟพลันสว่างวาบ ก่อนดันตะปูสีทองเข้มออกไป

ทันทีที่ซุนเสวียนจีเหนี่ยวไก สวี่ชีอันเปิดก็บดขยี้หยกสลาย ทำให้หน้าอกอาซูหลัวยวบยุบลงจนเป็นแผลเลือดไหล ทำลายกายหยาบที่ไม่อาจทำลายได้ของเขา

‘ฉึก…’

ตะปูตอกวิญญาณพุ่งทะลุหน้าอกอาซูหลัว

สายตาคมกริบของเขาค่อยๆ เบิกกว้าง ก้มหัวมองตะปูสีทองฝังลึกอยู่ในหัวใจด้วยความตกตะลึง

ผิวดำคล้ำถอยร่นเหมือนกระแสน้ำ ฟื้นฟูสีผิวดั้งเดิมคืนกลับมา อาซูหลัวซวนเซถอยล้มหงายหลัง ขณะเอามือกุมอกพร้อมกับลมหายใจโรยริน

สำเร็จแล้ว…

สวี่ชีอันและซุนเสวียนจีพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกัน

นี่เป็นแผนการที่พวกเขาพูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อเผชิญหน้ากับอาซูหลัวผนวกกับเทพอารักษ์ขั้นสาม สวี่ชีอันและซุนเสวียนจีไม่ได้อวดดีพอที่จะจัดการอีกฝ่ายง่ายๆ

การต่อสู้นองเลือดไม่เป็นผลดีแน่นอน จึงต้องใช้แผนอื่นร่วมด้วย

ตะปูตอกวิญญาณคือมือสังหารของพวกเขา

มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงให้จอมยุทธ์ ทำให้คู่ต่อสู้อ่อนกำลังลง ซึ่งใช้ได้ดีกว่ากระบี่สยบดินแดน

สมมติฐานเกิดขึ้นตามจริง ถ้าสวี่ชีอันยืมกระบี่สยบดินแดนมาอีกครั้ง จะล้มศัตรูได้หรือไม่ก็ไม่อาจพูดได้ อาวุธสยบดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์จากต้าฟ่งเล่มนี้คงอยู่ในซินเจียงตอนใต้ตลอดกาล

พละกำลังกล้าแกร่งของอาซูหลัวไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขั้นสามจะรับมือได้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกยึดอาวุธไป

ในแผนของสวี่ชีอันและซุนเสวียนจี อาซูหลัวพยายามทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับพ่อมดขั้นสามที่สามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย และ ‘จุดอ่อน’ ของพ่อมดจะทำให้จอมยุทธ์เกิดความหละหลวมไปบ้าง

ด้วยเหตุนี้การใช้ตะปูตอกวิญญาณจำต้องยืมมือซุนเสวียนจี

ความเสี่ยงเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ศิษย์พี่ซุนต้องแบกรับอันตรายจากการร่วงหล่น

แต่ค่ายกลเคลื่อนย้ายจากระบบพ่อมดช่วยลดความเสี่ยงนี้ลงได้อย่างมาก หลังสวี่ชีอันรู้ตัวว่าอาซูหลัวหายตัวไปแล้ว จึงตัดสินใจขยี้หยกสลายเคลื่อนย้ายตามมาทันที

จุดเคลื่อนย้ายถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าเสร็จสรรพ มันอยู่บนป้อมปืน ตรงด้านหน้าที่ซุนเสวียนจียืน

สวี่ชีอันอดกลั้นต่อความเจ็บปวดในอก คว้าคออาซูหลัวพากระโจนดำดิ่งสู่เบื้องล่าง

“ศิษย์พี่ซุน ปลดผนึก!”

สวี่ชีอันตะโกน

…………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง