ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 658

บทที่ 658 สิงเทียน?

ในระหว่างที่ร่วงลงมา อาซูหลัวก็คำรามร้องและง้างกำปั้นโจมตีสวี่ชีอัน

‘ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ’…หมัด ศอก เข่า และส่วนอื่นๆ กลายเป็นอาวุธที่แหลมคมที่สุด เขาโจมตีจนสวี่ชีอันที่เสียพลังเทพวชิระและกระดูกหักไปหลายท่อน ทั้งยังมีเลือดสาดกระเซ็นเป็นสาย

แต่ไม่นาน พลังของอาซูหลัวก็เริ่มอ่อนลง เขากลับมาหายใจเป็นปกติ แต่ทุกครั้งที่โคจรปราณเพื่อโจมตีล้วนแต่ทำให้เจ็บปวดที่หัวใจอย่างรุนแรง แขนขาล้วนไร้ซึ่งกำลังและวิงเวียนศีรษะ

พลังปราณที่เดิมทีไหลเวียนอย่างราบรื่น ในตอนนี้กลับกลายเป็นภาระหนักของร่างกายเสียแล้ว

“เป็นอย่างไร? รสชาติของตะปูตอกวิญญาณไม่เลวเลยใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันพ่นเลือดออกมาแล้วเอ่ยเยาะเย้ย

“หัวใจนั้นเป็นแกนหลักของอวัยวะทั้งห้า พอไม่มีมันแล้ว แก่นโลหิตอสุราของเจ้ายังจะโคจรไปได้สักกี่น้ำ”

เขาหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง หมัดหนักๆ กระแทกเข้าที่หน้าผากของอาซูหลัวจนเบื้องหน้าเห็นดาววาววับ ดวงตาก็เหลือกขึ้นจนเห็นตาขาว

เมื่อจอมยุทธ์ต่อสู้กัน แก่นโลหิตล้วนต้องอาศัยหัวใจในการโคจร เมื่อมันหยุดส่งกระแสเลือด สมองก็จะขาดอากาศ เลือดในร่างกายก็จะหยุดชะงัก และแขนขาทั้งสี่ก็จะไร้เรี่ยวแรง

ความเจ็บปวดทรมานของมัน สวี่ชีอันตระหนักรู้ดีที่สุด พลังชีวิตที่แข็งแกร่งเหนือกว่าจอมยุทธ์คนใดทำให้เขาไม่อาจเสียชีวิต แต่ความทรมานยังคงสถิตอยู่ทุกชั่วขณะ

โชคดีที่ตอนที่เขาเลื่อนสู่ขั้นหลอมวิญญาณ เขาได้ฝึกฝนจิตเดิมจนแข็งแกร่งยิ่งยวดและพลังจิตตานุภาพก็มั่นคงแล้ว ดังนั้นจึงยังไม่แตกสลายเพราะถูกความเจ็บปวดทรมานเคี่ยวกรำ

จอมยุทธ์ชั้นยอดทุกคนล้วนแต่มีจุดแข็งที่น่าสะพรึงกันทั้งนั้น

เขาสูดหายใจลึก บาดแผลทะลวงที่หน้าอกและอาการบาดเจ็บต่างๆ บนร่างกายฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว สวี่ชีอันเริ่มทำการโจมตีกลับ ทั้งกำปั้น ศอก เข่า ส่วนที่แข็งต่างๆ ของร่างกายล้วนกลายเป็นอาวุธ เมื่อครู่อาซูหลัวโจมตีเขาอย่างไร เขาก็โจมตีคืนให้แบบนั้น

‘พลั่ก พลั่ก พลั่ก!’…

เสียงใสกระจ่างดุจดังลำไผ่ระเบิดดังขึ้น เลือดไหลกระเซ็นออกมาจากร่างของอาซูหลัวไม่หยุด

บุตรแห่งราชันอสูรสองตาแดงก่ำ ปากร้องคำรามราวกับสัตว์ดุร้ายและพยายามต่อต้านเต็มกำลัง แต่กลับยากจะกลับมาเป็นต่อได้อีกครั้ง

อีกด้านหนึ่ง ซุนเสวียนจีลงมาสู่ยอดเจดีย์อย่างแผ่วเบา ปลายเท้าบังเกิดเป็นค่ายกลทรงกลมขึ้นมาทีละชั้นๆ ค่ายกลทรงกลมสิบสองชิ้นกำลังจะแบ่งเจดีย์ให้เป็นสิบสองส่วนเท่าๆ กัน

จากนั้นค่ายกลหกชิ้นด้านบนก็เริ่มหมุนตามเข็มนาฬิกา ส่วนหกชิ้นด้านล่างก็เริ่มหมุนทวนเข็มนาฬิกา

‘พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!’

อักขระพุทธสีทองที่ปกคลุมภายนอกเจดีย์ที่ถูกผนึกทยอยระเบิดออก นี่ไม่ใช่แรงระเบิดทำลายทั่วไป แต่เป็นวิธีการทำลายที่ล้ำเลิศยิ่งกว่า นั่นคือการทำให้อักขระพุทธที่ก่อตัวเป็นผนึกค่ายกลขนาดใหญ่ถูกทำลายยันรากฐาน

ภิกษุที่ดูอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นภาพนี้ต่างก็มีสีหน้านิ่งงัน เช่นเดียวกับเมื่อสักครู่ พวกเขาไม่เข้าใจการต่อสู้เหนือสามัญที่เปลี่ยนผันจนคาดเดาไม่ได้เช่นนี้เลย

โจรต่างแดนสองคนนี้สามารถบีบให้อาซูหลัวผู้สูงส่งเปิดใช้พลังแห่งสายเลือดได้ เช่นนี้นับว่าเป็นการต่อสู้ที่แม้ตายก็สมเกียรติแล้ว

นี่เป็นความจริง เพราะเมื่อเผชิญหน้ากับอาซูหลัวผู้สูงส่งที่เปิดใช้พลังแห่งสายเลือด ระดับเพชรที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนั้นก็ถอยร่นและวิ่งหนีหางจุกตูดไป

โหรที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นกล้าก็แต่ลอบยิงข้างหลัง

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากอาซูหลัวผู้สูงส่งไล่สังหารขึ้นไปที่ป้อมแล้ว สถานการณ์ก็พลิกผัน ระดับเพชรต่างแดนที่ไม่รู้ว่าเป็นเทพเซียนฝ่ายไหนกลับกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ และโจมตีจนอาซูหลัวผู้สูงส่งไม่อาจโต้กลับได้เลย

อีกอย่างนี่ไม่ใช่การได้เปรียบโดยบังเอิญ พวกเขามองเห็นได้ชัดว่าลมหายใจของอาซูหลัวผู้สูงส่งลดลงอย่างรวดเร็ว

“จะ…จัดกระบวน…”

ภิกษุชราริมฝีปากสั่นเทา เขาตะโกนลั่นด้วยภาษาของดินแดนประจิมทิศ

“รีบจัดกระบวนเร็วเข้า ไปช่วยอาซูหลัวผู้สูงส่งสังหารศัตรูจากภายนอกนั่นแล้วคุ้มกันเจดีย์ไว้”

“รนหาที่ตาย!”

สวี่ชีอันเตะเข้าที่หน้าอกของอาซูหลัวด้วยสองเท้า พร้อมกับขว้างดาบไท่ผิงออกมา

‘ชิ้ง…’

ไท่ผิงกรีดร้องออกมาแล้วกลายเป็นลำแสงสีทองหม่นราวกับปลาที่แหวกว่าย แล้วฟันลงไปในหมู่ภิกษุทั้งหลายอย่างเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ

ทุกที่ที่มันฟันผ่านไป เหล่าฉานซือต่างก็ต้องล้มลงกับพื้น บ้างก็ลอยขึ้น บ้างก็ลำตัวด้านบนและด้านล่างแยกจากกัน หรือไม่ก็เข่าทั้งสองข้างถูกฟันขาด

มีเพียงฉานซือขั้นสี่เพียงน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถใช้วิชาฉานออกมาในช่วงเวลาสำคัญ แสงแห่งพุทธเข้ามาคุ้มกายแล้วต้านทานการฟาดฟันจากลำแสงแห่งดาบเอาไว้

ในบรรดาพลังต่อสู้ที่เหนือสามัญในอดีต ดาบไท่ผิงนั้นแสดงพลังออกมาได้สงบนิ่งสมชื่อ ถึงขั้นออกจะยืดหยุ่นโอนอ่อนไปหน่อยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่แข็งแกร่ง

หลักๆ คือสถานะของศัตรูที่เจ้านายของมันพบเจอนั้นอยู่สูงเกินไปทั้งนั้น ดาบน้อยๆ ที่เพิ่งจะบังเกิดจิตวิญญาณได้ไม่นานอย่างมันเลยยากจะฟาดฟันเพื่อตัดสินชัยชนะให้ชี้ขาดได้

แต่ระหว่างนี้มันได้ปราณมังกรหล่อเลี้ยง ประกายดาบจึงยิ่งคมกริบยิ่งกว่าเดิม

มันเริ่มเติบโตขึ้นและสามารถแสดงแสนยานุภาพออกมาได้ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ได้แล้ว

ตอนนี้การได้ต่อกรกับฉานซือกลุ่มนี้ ไม่อาจพูดว่าเหมือนหั่นผักหั่นแตง แต่กล่าวได้เพียงแค่ว่าเหมือนกับการหั่นเต้าหู้

“จัดกระบวนอยู่กับที่!”

ภิกษุชราคนหนึ่งตะโกนบอก

เหล่าฉานซือพากันตอบสนองโดยทันที คนหลายคนหรืออาจสักสิบกว่าคนพากันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมและเริ่มจัดกระบวนเป็นค่ายฉาน

ผลคือสามารถต้านทานอาวุธเทพที่ไร้เทียมทานนี้ได้ และทำให้มันยากจะทะลวงแสงทองคุ้มกายาที่เปล่งออกมาซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ได้ แต่เช่นนี้ทำให้ภิกษุทั้งหลายไม่มีกำลังจะไปช่วยเหลืออาซูหลัวและซุนเสวียนจีไม่ให้ทำลายค่ายกล

เสียงคานหักดัง ‘แกร่ก’ พร้อมกับเสียงอิฐที่แตกกระจายดัง ‘โครม’ เป็นสัญญาณบอกว่าในที่สุดเจดีย์ที่ถูกผนึกแห่งนี้ก็ไม่อาจรับได้ไหว และล่มสลายในที่สุด

ซุนเสวียนจีจึงมองเห็นภาพภายในเจดีย์ได้ชัดเจน

ตรงกลางชั้นที่หนึ่งมีฐานแปดเหลี่ยมที่ถูกหล่อด้วยทองคำ บนฐานนั้นมีแท่นดอกบัวที่หล่อด้วยทองคำอยู่หนึ่งแห่ง

ไม่ว่าจะเป็นตัวฐานหรือว่าดอกบัวก็ล้วนแต่มีอักขระพุทธคงอยู่แน่นขนัดซึ่งเป็นส่วนของค่ายกลผนึก แต่ตอนนี้สัญลักษณ์แห่งสำนักพุทธเหล่านั้นกำลังหม่นแสงและกลายเป็นลายสลักธรรมดาๆ ไร้ซึ่งมนตร์ขลังอีกต่อไป

บนแท่นดอกบัวมีขาที่สองข้างแข็งแกร่งเรียวยาววางอยู่ บนนั้นมีกล้ามเนื้อเป็นวงโค้งราบเรียบ

มันถูกผนึกอยู่ที่นี่มาห้าร้อยปี แต่กลับไม่มีร่องรอยว่าจะเหือดแห้งเหี่ยวเฉาแม้แต่นิด และยังคงสดใหม่เหมือนกับขาของคนที่ยังมีชีวิตอยู่

เจดีย์ที่ถูกผนึกนั้นมีทั้งหมดสามชั้น และทุกชั้นล้วนมีฉานซือกลุ่มหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่

เมื่อเจดีย์เริ่มล่มสลาย ฉานซือเหล่านี้ที่ยังคงอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิก็พากันร่วงหล่น แต่ถึงแม้จะร่วงตกมาจากที่สูงกัน พวกเขาก็ยังคงนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ไม่ฟื้นตื่น และไม่ต่อต้าน

ซุนเสวียนจีเปิดถุงออกแล้วเล็งไปยังขาคู่นั้น

ถุงหอมหมุนวนและดูดท่อนขาคู่นั้นเข้าไปอย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็ชำเลืองมองฉานซือกลุ่มนั้นที่เอนล้มซ้ายทีขวาทีราวกับรูปสลัก เขาลังเลพักหนึ่ง สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารฉานซือเหล่านี้ทิ้งไป

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีเจตนาเป็นศัตรูกัน ฉานซือเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ในสายตาของศิษย์พี่ซุน

เขาไม่อาจบอกให้ตนเองสังหารผู้บริสุทธิ์ได้

แม้ว่าอาจจะมีสักวันหนึ่งในอนาคตที่ฉานซือเหล่านี้จะกลายเป็นศัตรูของเขา แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต หากถึงเวลานั้นจริงๆ เมื่อเขาสังหารศัตรูก็ย่อมไม่ออมมือให้แน่

“เยี่ยม!”

ซุนเสวียนจีคำรามเสียงสั้นๆ จากนั้นที่ใต้เท้าก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาแล้วส่งตัวเขากลับไปยังป้อมปืนใหญ่

บนป้อมมีแสงสว่างไสวแล้วสลายหายไปกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด

เมื่อเห็นดังนั้น สวี่ชีอันก็ไม่ลังเลอีก เขาหยุดการประมือกับอาซูหลัวแล้วจดจ้องไปยังเจดีย์พุทธะที่พุ่งขึ้นมากลางอากาศแล้วตะโกนว่า

“ไท่ผิง!”

ดาบไท่ผิงกู่ร้องแล้วให้เจ้านายเหยียบลงไปบนนั้น หนึ่งคนหนึ่งดาบจึงทะลวงท้องฟ้าบินจากไป

ไม่ใช่ว่าสวี่ชีอันมีความเมตตายอมรามือ แม้กลิ่นอายของอาซูหลัวจะลดลงเมื่อโดนตะปูตอกวิญญาณหนึ่งตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าบุตรแห่งราชันอสูรผู้นี้จบสิ้นแล้ว เขายังคงอยู่ในระดับผู้อยู่เหนือสามัญ

และจอมยุทธ์ก็ขึ้นชื่อเรื่องตายยาก อวัยวะของเสินซูก็ชิงมาได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปอีก หากอยู่นานไปสถานการณ์อาจเปลี่ยนได้

วัดหนานฝ่าที่ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มีสภาพเละเทะยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งความเสียหายส่วนใหญ่กระจุกอยู่ทางตะวันตก พื้นที่แถบนั้น นอกจากดาบที่สวี่ชีอันฟันออกมาทะลวงวัดหนานฝ่าไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้สาหัสอะไรนัก

อาซูหลัวนั่งขัดสมาธิอยู่บนลานที่ยังคงสภาพดี ฉากหลังคือเจดีย์ที่ล่มสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

ผิวของเขาไม่ได้ดำสนิทอีกต่อไป แต่ก็ไม่ใช่สีทองหม่นในแบบเฉพาะของระดับเพชรเช่นกัน วงแหวนด้านหลังศีรษะดับแสงลง ตอนนี้เขามองดูแล้วเหมือนกับภิกษุธรรมดาๆ รูปหนึ่ง

อย่างมากก็คือพระอาจารย์หน้าตาขี้ริ้วคนหนึ่ง

ตะปูสีทองนอนอย่างนิ่งสงบอยู่ตรงหน้าเขา

อาซูหลัวผู้สูงส่ง ย่อมมีวิธีลับที่สามารถถอนตะปูตอกวิญญาณออกอย่างแน่นอน ทั้งยังมีพลังที่จะทำได้ด้วย

โชคดีที่มีตะปูตอกวิญญาณเพียงแค่หนึ่งดอก แม้ว่าจะทำให้พลังของเขาอ่อนลง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้เขาใช้การไม่ได้ เขายังคงเหลือพลังถอนมันออกให้กับตัวเอง

ถ้าหากว่ามีตะปูตอกวิญญาณเก้าดอกพร้อมใจกันเข้าสู่ร่างกาย เขาก็ทำได้เพียงกลับไปขอความช่วยเหลือจากเหล่าอรหันต์กับพระโพธิสัตว์ที่อรัญตาแล้ว

ภิกษุชราคนหนึ่งเดินนำลูกศิษย์สิบกว่าคนเข้ามาในแถบตะวันตก เหล่าลูกศิษย์หยุดอยู่กับที่ ส่วนภิกษุชราก้าวขึ้นไปประนมมือทั้งสิบ

“อาซูหลัวผู้สูงส่ง ชิ้นส่วนของภิกษุมารถูกชิงไปแล้ว ควรจะทำเช่นไรดีขอรับ”

ภิกษุชราผู้นี้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น ร่างกายผอมแห้งราวกับไม้ฟืน เขาคือไต้ซือผานเนี่ยนเจ้าอาวาสประจำวัดหนานฝ่า

อายุหนึ่งร้อยเก้าปี

สำนักพุทธในปัจจุบัน ในสายตาของศิษย์ทั่วไป ส่วนใหญ่ผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่เคารพนับถือล้วนแต่เป็นบุคคลในรุ่นตัวอักษร ‘ผาน’ ส่วนรุ่นก่อนหน้านี้เป็นตัวอักษร ‘ตู้’ ซึ่งภิกษุในรุ่นตัวอักษร ‘ตู้’ นั้น หากไม่ได้เป็นผู้อยู่เหนือสามัญ ก็ล้วนแต่กลายเป็นดินเหลืองไปนานแล้ว

ส่วนผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือสามัญ ก็ไม่อาจใช้คำว่ามีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่เคารพนับถือมาอธิบายได้แล้ว

“เราจะรายงานพระโพธิสัตว์กว่างเสียน”

อาซูหลัวนั่งขัดสมาธิอย่างเปี่ยมบารมี ไร้ซึ่งสุขหรือเศร้า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง