ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 664

สรุปบท บทที่ 664 สวี่หลิงอิน ‘พี่หญ่าย’: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 664 สวี่หลิงอิน ‘พี่หญ่าย’ – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 664 สวี่หลิงอิน ‘พี่หญ่าย’ ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 664 สวี่หลิงอิน ‘พี่หญ่าย’

ซ่งชิงโบกไม้โบกมือ

“เอาแต่คิดเรื่องที่ไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรม มีกำลังวังชาหลอมของเล่นให้คุณชายสวี่เช่นนี้ ไม่สู้หลอมเนื้อหนังมังสาให้สมุหราชเลขาธิการหวางจะดีกว่า”

นักเล่นแร่แปรธาตุที่แสดง ‘ความคิดโง่เขลา’ ในเมื่อครู่ถามขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้น สมุหราชเลขาธิการหวางจะตายแล้วหรือ”

ซ่งชิงส่ายหน้า

“ได้ยินคนที่อยู่ชั้นหนึ่งพูดว่า สมุหราชเลขาธิการหวางป่วยเป็นโรครักษายากมานาน หักโหมทำงานหนักเป็นเวลานานจนมีโรคติดตัว หากไม่รักษาดีๆ เกรงว่าคงมีเวลาไม่มากแล้ว”

ชั้นหนึ่งที่พูดถึงก็คือโหรที่อยู่ในห้องโอสถใหญ่เหล่านั้น ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ในกลุ่มของสำนักโหราจารย์ คนที่ซ่งชิงบัญชาคือนักเล่นแร่แปรธาตุ เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ

โหรที่หยางเชียนฮ่วนบัญชาอยู่ชั้นสาม ดูฮวงจุ้ยและเลือกสุสานให้กับขุนนางระดับสูงและประชาชนธรรมดาโดยเฉพาะ

โหรที่อยู่ในห้องโอสถใหญ่ตรงชั้นหนึ่งนั้นติดตามจงหลี

แต่ละฝ่ายของสำนักโหราจารย์ต่างก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตนเอง

“ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ หลอมไปก็ไม่มีประโยชน์ สมุหราชเลขาธิการหวางเป็นมนุษย์ธรรมดา พอวิญญาณออกจากร่างก็จะหลอมกลายเป็นภูต เข้าไปในเนื้อหนังมังสาที่พวกเราหลอมขึ้นมาไม่ได้”

โหรท่านหนึ่งพยักหน้า “เว่ยเยวียนตายแล้ว หากสมุหราชเลขาธิการหวางตายไปด้วยอีก จุ๊ๆ คงหมดยุคสมัยของหยวนจิ่งอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

จวนอ๋อง

สวนบุปผาที่อยู่ด้านหลัง

หวางซือมู่ที่สวมกระโปรงสีมรกตและสวมเสื้อตัวบนสีเดียวกับเสื้อคลุม กำลังเดินเคียงไหล่ไปกับหลินอันที่สวมกระโปรงแดงอยู่

“เหตุใดจู่ๆ สมุหราชเลขาธิการหวางถึงล้มป่วยไปได้”

หลินอันเม้มปากกล่าวเบาๆ “โหรในสำนักโหราจารย์ก็ไม่มีวิธีหรือ”

กระโปรงพลิ้วไหวตามจังหวะย่างก้าวที่ต่อเนื่อง รองเท้าหนังกวางคู่หนึ่งบางครั้งก็ปรากฏเด่นชัด บางครั้งก็ปรากฏรางๆ ศีรษะของนางประดับไปด้วยมงกุฎหงส์เล็กๆ ปิ่นทองระย้า ปิ่นมุกและเครื่องประดับอื่นๆ ใบหน้ารูปไข่สีขาวละเอียดอ่อนอิ่มเอิบและชุ่มชื่น ดวงตารูปดอกท้อแสดงอารมณ์ที่ดูซ่อนเร้น

นางสวยหยาดเยิ้มขึ้นทุกวัน

หวางซือมู่หันข้างไปมองหลินอันที่สนิทสนมเป็นการส่วนตัว และถอนหายใจกล่าว

“โหรสำนักโหราจารย์บอกว่า ท่านพ่อเป็นทุกข์จนเกิดโรค หักโหมทำงานหนักเป็นเวลานานจนมีโรคติดตัว ลาออกจากตำแหน่งขุนนางมาพักฟื้นอยู่บ้านก็พอแล้ว แต่หากดึงดันต่อไป จะเป็นการรนหาที่ตาย พวกเรามีวิธีการอะไรบ้าง”

หลินอันยิ้มออกมา “โหรกลุ่มนี้ยังคงมองคนไม่ขึ้นเช่นเคย”

หวางซือมู่กระชับเสื้อขนสัตว์สุนัขจิ้งจอกเพื่อป้องกันความหนาวด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่มกระสับกระส่าย

“ที่จริงร่างกายของท่านพ่อก็ป่วยมานานแล้ว เดิมทีควรจะพักฟื้นร่างกาย ราชสำนักภายในไม่สงบภายนอกถูกรุกราน จึงเป็นทุกข์จนเกิดโรคอย่างเลี่ยงไม่ได้ ร่างกายจึงมีสภาพอย่างที่เห็นในตอนนี้”

หลินอันขมวดคิ้วเล็กน้อย นางได้แต่ปลอบใจ

“ดีที่ว่าแม้ตอนนี้จะนอนป่วยอยู่บนเตียง แต่ก็อาศัยโอกาสนี้พักฟื้นร่างกายได้”

หวางซือมู่พยายามฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย

“โหรสำนักโหราจารย์บอกว่า นี่คือโรคทางใจ โรคทางใจต้องรักษาด้วยโอสถทางใจ ก่อนที่ท่านพ่อจะล้มป่วยเป็นกังวลอยู่สามเรื่อง เรื่องศึกที่ชิงโจว ประชาชนผู้หนีภัย และสำนักพุทธแดนประจิม ทั้งสามเรื่องนี้ แม้จัดการได้เพียงเรื่องเดียว ท่านพ่อก็สามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจแล้ว”

ประชาชนผู้หนีภัยมีความสัมพันธ์แบบเหตุและผลกับความว่างเปล่าของท้องพระคลัง ซึ่งถือเป็นเรื่องเดียวกัน

คิ้วสีดำละเอียดอ่อนทั้งสองเส้นของหลินอันขมวดขึ้นเบาๆ

หวางซือมู่มองดูสหายคนสนิทที่มีจิตใจบริสุทธิ์ทีหนึ่ง และส่ายหน้า

หลินอันเม้มริมฝีปากอยู่ หลังจากตอบ “อืม” ไปคำหนึ่งแล้ว ก็พินิจพิจารณาหวางซือมู่อย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนกล่าว

“ซือมู่ผ่ายผอมลงมาก ดูท่าคงจะคิดถึงสวี่ฉือจิ้วอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเป็นห่วงร่างกายของสมุหราชเลขาธิการหวางด้วย”

หวางซือมู่เผยสีหน้ากลัดกลุ้มเล็กน้อย “สถานการณ์ในชิงโจวนั้นอันตราย เขาเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ข้าย่อมเป็นกังวล เดิมทีอีกห้าวันข้ากับเขาก็จะหมั้นหมายกันแล้ว…”

“อย่ากลัวไป!”

พูดมาถึงหัวข้อสนทนานี้ คิ้วและดวงตาของหลินอันก็เบิกโพลงขึ้นอีกครั้ง ราวกับลูกนกกระจอกตัวหนึ่งที่มีชีวิตชีวา “มีสุนัขรับใช้อยู่นี่ ต่อให้ชิงโจวจะแตก สวี่ฉือจิ้วก็ไม่อาจเป็นอะไรไปได้”

ตอนพูดคุยเรื่องสมุหราชเลขาธิการหวางนอนป่วยอยู่นั้น นางไม่อาจแสดงออกอย่างไร้เมตตาธรรมได้ ทั้งยังเผยสีหน้าหนักอึ้งเหมือนกับสหายคนสนิทของนางด้วย

หวางซือมู่อึ้งไปพักหนึ่งแล้วถามกลับ “ใครบอกเจ้าว่าฆ้องเงินสวี่อยู่ที่ชิงโจว”

“หรือว่าไม่ใช่”

หลินอันพูดคุยกะหนุงกะหนิง “เขาอยู่ด้านนอก เช่นนั้นจะต้องไปทำศึกที่ชิงโจวอย่างแน่นอน”

แม้จะไม่เคยแสดงท่าทียอมรับออกมา แต่สุนัขรับใช้คือวีรบุรุษในใจนาง

“แต่ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า สถานการณ์ในชิงโจวตึงเครียดมาก ฆ้องเงินสวี่ไม่อยู่ในกองทัพ ไม่เคยร่วมศึก…”

มองเห็นความผิดหวังในแววตาของหลินอันที่ยากจะปกปิดได้ หวางซือมู่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เรื่องงานแต่งของเจ้ากับฆ้องเงินสวี่ ฝ่าบาทไม่ช่วยจัดการให้หรือ”

ดวงหน้ารูปไข่แดงก่ำในพริบตา หลินอันกล่าวอย่างช้าๆ

“เจ้า เจ้าพูดอะไรน่ะ ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับสุนัขรับใช้ ไอ้หยา ข่าวโคมลอยนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง”

หวางซือมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พวกเรารู้จักกันมาหลายปี ข้าจะไม่เข้าใจจิตใจของเจ้าเลยหรือ ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ทั้งยังเป็นวีรบุรุษในสายตาอาณาประชาราษฎร์ หญิงสาวที่เลื่อมใสศรัทธามีมากมายจนนับไม่ถ้วน สิ่งที่เจ้าต้องทำคือรีบกำหนดสถานะไว้ มีสถานะแล้วเจ้าก็เป็นภรรยาเอกของเขา หญิงสาวที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้น อย่างมากก็เป็นได้แค่นางบำเรอหรือนกยวนยางป่าที่เคยมีไมตรีจิตเท่านั้น หากกำหนดสถานะไม่ได้ องค์หญิง ใช่ว่าซือมู่จะดูถูกท่าน ท่านที่ไม่มีสถานะไม่อาจต่อสู้กับใครได้เลย”

หลินอันรู้สึกตนเองถูกดูหมิ่นเสียแล้ว นางทำแก้มป่องขึ้นมา

ฤดูหนาวที่หนาวเยือก ลมหนาวปะทะหน้าราวกับถูกกรีด สองกิ่งทองใบหยกที่มีเรือนร่างอรชรและสถานะสูงส่งเดินเล่นไม่นานมากนัก จากนั้นต่างก็พานางกำนัลและหญิงรับใช้ของตนเองเดินตามระเบียงทางเดินที่คดเคี้ยวกลับเข้าไปในเรือน

ระหว่างทาง ขันทีวัยกลางคนที่ดูอ่อนโยนและเคร่งขรึมก็พาขันทีน้อยสองคนออกมาจากในเรือน ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากันโดยบังเอิญ

“ถวายบังคมองค์หญิงหลินอัน”

ขันทีน้อยสองคนที่อยู่ด้านหลังขันทีวัยกลางคนโค้งตัวทำความเคารพ

“เจ้าคือขันทีที่รับใช้ตำหนักบรรทมของเสด็จพี่จักรพรรดิ… เจ้ามาที่นี่ทำไม”

หลินอันจำเขาได้ แต่นึกชื่อไม่ออก ขันทีที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิ นางจำได้แค่ขันทีคุมตราลัญจกรจ้าวเสวียนเจิ้นเท่านั้น

“ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทให้กระหม่อมมาบอกใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางว่า สำนักพุทธแดนประจิมถูกกากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจตรึงเอาไว้แล้ว ยากที่จะใช้อำนาจคุกคามต้าฟ่งเราได้ ให้สมุหราชเลขาธิการพักผ่อนร่างกายอย่างสบายใจพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีวัยกลางคนกล่าว

‘คิดไม่ถึงว่ามีเรื่องดีเช่นนี้ด้วย…’ หวางซือมู่ดีใจไม่หยุด ใบหน้าเผยรอยยิ้มอย่างปิดไม่มิด “เช่นนั้นพ่อข้าว่าอย่างไรบ้าง”

ขันทีวัยกลางคนกล่าว “ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการหวางให้ข้านำคำพูดไปทูลฝ่าบาท สามารถผลักดันราชสำนักได้แล้ว”

เหมียวโหย่วฟางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำ

“เช่นนั้นเหตุใดถึงไล่ข้าไป”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้าแล้ว ขั้นสี่คือช่วงวิถีหล่อหลอม ‘เจตนา’ เป็นช่วงวิถีที่จอมยุทธ์เดินออกจาก ‘วิถี’ ของตนเอง ให้เจ้าไปในตอนนี้กำลังดี ไปเถิดเหมียวโหย่วฟาง ข้าเฝ้ารอคอยที่จะได้ยินตำนานในยุทธภพของเจ้าในภายภาคหน้า ได้ยินคนพูดว่าเหมียวโหย่วฟางทำเพื่อบ้านเมืองและประชาชนอย่างกล้าหาญ การกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ไม่ใช่ความฝันของเจ้าหรอกหรือ”

ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เหมียวโย่วฟางที่คุ้นชินกับการทำหน้าทะเล้นกลับเผยสีหน้าเคร่มขรึมซึ่งพบเจอได้น้อยมาก

“เช่นนั้น ต่อไปข้าท่องไปในยุทธภพ สามารถแสดงตัวเป็นศิษย์ของเจ้าได้หรือไม่”

สวี่ชีอันหัวเราะเยาะ

“ข้าไม่มีศิษย์ที่ไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า เดินบนเส้นทางของเจ้าเอง อย่ามาลากข้าไปพัวพันด้วย ไปเถอะ ไปเถอะ”

เหมียวโหย่วฟางทำเสียง ‘ชิ’

“จะมีอะไรร้ายแรงกัน ภายหน้าข้าต้องกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ที่มีชื่อดังก้องไปทั่วหล้า พอถึงเวลานั้นเจ้าอย่ามาขอร้องให้ข้าเรียกเจ้าว่า…”

คำว่าอาจารย์สองพยางค์นี้เขาไม่ได้พูดออกมา

เหมียวโหย่วฟางพุ่งไปมาท่ามกลางป่าดงดิบจนออกห่างไปเรื่อยๆ โดยไม่อาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งออกไปได้สิบกว่าลี้ เขาชะงักฝีเท้าในฉับพลัน และยืนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน

สามวันต่อมา ทางตอนเหนือของซินเจียงตอนใต้

สวี่ชีอันรออยู่ตรงจุดนัดพบที่มีชื่อว่าน้ำตกสามชั้น ในที่สุดลี่น่าและสวี่หลิงอินที่เลยเวลานัดมาสองวันก็มาถึง

มองจากที่ไกลๆ มองเห็นขอทานใหญ่คนหนึ่งแบกขอทานน้อยคนหนึ่งกระโดดไปมาท่ามกลางโขดหินอย่างอ่อนช้อย

พวกนางผมยุ่งเป็นกระเซิง หน้าตาสกปรกมอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่ย ร่างกายส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ราวกับผู้ลี้ภัยที่หนีภัยแล้ง

ตาดำแป๋วของลี่น่าเป็นประกาย ใบหน้ารูปไข่งดงามแปดเปื้อนสิ่งสกปรก ดวงตาทั้งคู่ของสวี่หลิงอินแข็งกระด้าง ท่าทีซื่อๆ ไม่ค่อยพูด มุมปากมีน้ำลายย้อยออกมา ราวกับเป็นลูกสาวโง่ๆ ของเจ้าของบ้าน

สวี่ชีอันตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น…”

ลี่น่าได้พบกับสวี่ชีอันก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก นางสะกิดสวี่หลิงอินที่อยู่บนหลังแล้วกล่าว

“เอาล่ะ ไม่ต้องแสดงแล้ว พวกเราปลอดภัยแล้ว”

ดวงตากลมโตทั้งคู่ของสวี่หลิงอินฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาในทันที และตะโกนด้วยความดีใจ

“พี่หญ่าย”

นางกระโดดลงจากหลังของอาจารย์ และเหาะพุ่งเข้าหาสวี่ชีอัน

ฟังดูลำบากน่าดูเลยนี่ เกี่ยวกับที่มาช้าไปสองวันด้วยหรือ สวี่ชีอันคว้าต้นคอของนางไว้และสะบัดมือเขวี้ยงออกไป

‘ตูม!’

สวี่หลิงอินกระแทกลงไปในสระน้ำ

………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง