ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 663

บทที่ 663 ระหว่างทาง

ไกลออกไปจากเขตแดนภูเขาสือว่าน เริ่มมีที่ราบและทะเลสาบมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบเป็นทิวทัศน์ที่มีความอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยสีสัน

ใน ‘บันทึกภูมิศาสตร์จิ่วโจว’ ซินเจียงตอนใต้สามารถแบ่งออกเป็นสองภูมิภาคกว้างๆ ได้แก่ ‘ภูเขาสือว่าน’ และ ‘จี๋เยวียน’ ซึ่งทั้งสองชื่อนี้แสดงถึงสองกองกำลังใหญ่ที่มีความโดดเด่นในซินเจียงตอนใต้

นั่นคืออาณาจักรหมื่นปีศาจและเผ่าพันธุ์กู่

“ทำไมใน ‘บันทึกภูมิศาสตร์จิ่วโจว’ ไม่มีการเขียนถึงอาหารรสเลิศของซินเจียงตอนใต้เลยเล่า?”

มู่หนานจือนั่งขัดสมาธิอยู่บนโขดหินริมลำธาร ถือสมุดปกสีน้ำเงินพลางอ่านอย่างตั้งใจ

เหมียวโหย่วฟางและผู้พิทักษ์หงอิงรับผิดชอบในการดูแลเรื่องอาหาร โดยมีไป๋จีกำลังนอนรอกินอยู่ข้างๆ

“เช่นนั้นเจ้าคงต้องถามปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์แล้ว”

สวี่ชีอันนั่งลงข้างนางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “บางทีปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่ชอบกินกระมัง”

‘บันทึกภูมิศาสตร์จิ่วโจว’ เป็นหนังสือที่เขียนโดยปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมาจากประสบการณ์การเดินทางไปทั่วจิ่วโจวในระยะเวลาสามปีของเขา มันเป็นบันทึกลักษณะของภูเขาและแม่น้ำ การกระจายตัวของลำน้ำและประเพณีพื้นบ้านที่ค่อนข้างเรียบง่าย

ส่วนบันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่งในเวลาต่อมานั้น ถูกเขียนขึ้นโดยคนลัทธิขงจื๊อรุ่นหลังที่เลียนแบบมาจากปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

มู่หนานจือเชื่อด้วยใจจริงและกล่าวว่า “แต่ลักษณะภูเขาแม่น้ำและชนเผ่าที่กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งต่างก็ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด”

นางมองอย่างครุ่นคิด ทันใดนั้นมุมปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย “นี่มันพวกป่าเถื่อนประเภทไหนกันนะ?”

ในซินเจียงตอนใต้มีชนเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วน ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันคน กระจายไปทั่วซินเจียงตอนใต้ราวกับดาวที่อยู่บนท้องฟ้า

ประเพณีของพวกเขาแปลกมาก ในมุมมองของมู่หนานจือ พวกเขาเป็นเพียงคนป่าเถื่อนที่ไร้อารยธรรม

สวี่ชีอันหยิบ ‘บันทึกภูมิศาสตร์จิ่วโจว’ มาอ่านอย่างใจจดใจจ่อ ในนั้นเขียนว่ามีชนเผ่าหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างจากทางซินเจียงตอนใต้ไปทางตะวันตกสามร้อยยี่สิบลี้ เรียกว่า ‘เทพเจ้าสุนัข’ ชนเผ่านั้นมีประเพณีว่า เมื่อชายหญิงเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ จะต้องแต่งงานกับสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า ‘เจี้ยวเฉวี่ยน’ และกลายเป็นคู่ชีวิตกัน

ตั้งแต่นั้นก็จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ออกล่าด้วยกัน และพึ่งพาอาศัยกัน

สวี่ชีอันอ่านอีกครั้งและค้นพบว่าสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า ‘เจี้ยวเฉวี่ยน’ มีลักษณะพิเศษคืออยู่กันเป็นฝูง เข้าใจอารมณ์และความคิดของผู้คนผ่านการแสดงออกและการเคลื่อนไหวเท่านั้น อีกทั้งยังมีนิสัยดุร้ายและก้าวร้าวอีกด้วย

พวกมันอาศัยอยู่พื้นที่โดยรอบของเผ่า ‘เทพเจ้าสุนัข’

“นี่เป็นเรื่องปกติมาก”

สวี่ชีอันลุกขึ้นยืน มือหนึ่งถือม้วนสมุด มือหนึ่งแนบไว้ที่ด้านหลัง วางมาดราวกับเป็นท่านอาจารย์สอนเกร็ดความรู้ทั่วไปให้กับมู่หนานจือ “การกำเนิดของประเพณีและวัฒนธรรมใดๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ อาจกล่าวได้ว่า สิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น การทำไร่ในที่ราบลุ่มกลางของพวกเราและการเลี้ยงสัตว์ของเผ่าปีศาจในแดนเหนือ ก็ถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อม”

มู่หนานจือฟังด้วยความรู้ที่มีอย่างงูๆ ปลาๆ พลางขมวดคิ้วกล่าวราวกับเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ “เช่นนั้น เช่นนั้นการแต่งงานของพวกเขาและเจี้ยวเฉวี่ยนก็เกิดจากสิ่งแวดล้อมด้วยรึ?”

“ในหนังสือกล่าวว่าสัตว์ประหลาดอย่าง ‘เจี้ยวเฉวี่ยน’ มีความก้าวร้าวโดยธรรมชาติ ทั้งยังเข้าใจอารมณ์และความคิดของผู้คนผ่านการแสดงออกและการเคลื่อนไหวเท่านั้น พวกมันย่อมเป็นพันธมิตรกันอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าคงเข้าใจไปว่าเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างคู่ครองกระมัง”

“เช่นนั้นพวกเขาสืบพันธุ์อย่างไร?”

มู่หนานจือกระพริบตาช้าๆ แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาราวกับไม่รู้เรื่องอะไร

หัวข้อนี้ทำให้บรรยากาศมีสีสันขึ้นโดยไม่รู้ตัว…สวี่ชีอันหัวเราะเฮอะๆ และกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากรู้อยากเห็นเรื่องนี้ที่สุด”

มู่หนานจือถูกมองออกในพริบตา นางอุทาน ‘เชอะ’ และไม่เสแสร้งอีกต่อไป

“ข้าคิดว่านี่เหมือนเป็นการฝึกให้ความเคารพมากกว่า เจี้ยวเฉวี่ยนก้าวร้าวและตัดสินผู้คนผ่านการแสดงออกและการเคลื่อนไหว มีสติปัญญาหลักแหลม ซึ่งจะนำไปเทียบกับสุนัขทั่วไปไม่ได้ ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีทางเชื่องได้ แต่หลังจากใกล้ชิดกับที่ราบลุ่มกลางของพวกเรา เผ่าเทพเจ้าสุนัขก็พบว่า ‘การแต่งงาน’ เป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่พอสมควร ดังนั้นจึงเลียนแบบพิธีเช่นนี้เพื่อแสดงความเคารพต่อเจี้ยวเฉวี่ยน และเจี้ยวเฉวี่ยนก็ยอมรับพิธีนี้เช่นกัน” สวี่ชีอันแสดงการตัดสินชี้ขาดของตนเอง การแต่งงานที่นี่อาจแตกต่างจากงานแต่งงานที่ชาวที่ราบลุ่มกลางเข้าใจ

“เช่นนั้นเจ้าเปิดไปอีกสามหน้าสิ” มู่หนานจือกล่าว

สวี่ชีอันพลิกกระดาษไปอีกสามหน้าตามที่นางบอก บนหน้านั้นมีบันทึกของเผ่า ‘ผาน’ เมื่อหนุ่มสาวแต่งงานกัน หัวหน้าเผ่ามีอำนาจในการช่วงชิงหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานในคืนแรกไป

“คงไม่ถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมเสมอไปกระมัง” นางเท้าสะเอว

มู่หนานจือส่ายศีรษะ

“สิงโตตัวผู้หนึ่งตัวจะปกครองสิงโตตัวเมียหนึ่งฝูง เมื่อสิงโตตัวผู้ครองฝูงครั้งแรก มันจะกัดลูกสิงโตรุ่นก่อนตายทั้งหมด สำหรับคืนแรกนี้ อันที่จริงก็มีเหตุผลไม่ต่างกัน” สวี่ชีอันอธิบายเหตุผลอย่างชอบธรรม

“เจ้าคิดดูสิ ถ้ามีหนึ่งในเจ้าสาวเหล่านั้นให้กำเนิดบุตรของหัวหน้าเผ่า เช่นนั้นสายเลือดของเขาก็จะถูกสืบทอดต่อไป สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม แต่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตในการสืบพันธุ์และแพร่ขยายเผ่าพันธุ์”

คำพูดของเขาไม่ใช่คำพูดไร้สาระ เดิมทีประเพณีของสิ่งมีชีวิตล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและสัญชาตญาณ มิเช่นนั้นจะมีคำพูดที่ว่า ลักษณะพิเศษของสภาพแวดล้อมและผู้คนที่ต่างกันย่อมก่อเกิดและหล่อเลี้ยงไว้ซึ่งวัฒนธรรมที่ต่างกันจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างไร

ในคำพูดที่เรียบง่ายนั้นประกอบด้วยความจริงที่เป็นแก่นแท้ของวิวัฒนาการทางชีววิทยา

มู่หนานจือครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ยอมรับอย่างไม่เต็มใจนักและกล่าวอีกว่า “เจ้าเปิดย้อนกลับไปอีกแปดหน้าสิ”

สวี่ชีอันพลิกย้อนกลับไปอีกแปดหน้า เผ่าที่บันทึกอยู่บนหน้านั้นมีประเพณีที่ลูกชายต้องท้าทายบิดาของตนเมื่ออายุครบสิบแปดปี ถ้าแพ้จะต้องถูกไล่ออกจากบ้าน ถ้าชนะก็จะได้สืบทอดทุกอย่างของบิดา รวมทั้งน้องชายและน้องสาวของตนเองด้วย

ข้าไม่มีอะไรให้พูดแล้ว ข้าไม่เคยติดต่อหรือใกล้ชิดกับเผ่าเหล่านี้เลย แล้วข้าจะรู้ที่มาที่ไปและประเพณีของพวกเขาได้อย่างไร…สวี่ชีอันบ่นอย่างบ้าคลั่งในใจ

“ช้าก่อน ทำไมเผ่าที่เจ้าจำได้ถึงมีแต่เผ่าที่แปลกประหลาดเช่นนี้เล่า?”

สวี่ชีอันมองนางด้วยความสงสัย

มู่หนานจือรู้สึกราวกับตนเองถูกขัดขาในขณะที่กำลังได้เปรียบ ริมฝีปากบางพึมพำครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปอย่างร้อนตัวและแสร้งมองทิวทัศน์ที่อื่น “ก็ ก็เพราะว่าแปลกไง ข้าเลยจำได้ขึ้นใจเลย…”

ไม่ เจ้าทำให้ข้านึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินมาในชาติก่อน ‘เทพธิดาก็ชอบดูหนังรักโรแมนติกเช่นกัน’…สวี่ชีอันโยน ‘บันทึกภูมิศาสตร์จิ่วโจว’ ไปด้านข้าง ก่อนจะหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา

หมายเลขสาม ‘ลี่น่า เจ้ากับหลิงอินยังอยู่บนเรือใช่หรือไม่? แล้วจะถึงชิงโจวเมื่อใด’

เขาขี่ผู้พิทักษ์หงอิงไม่ถึงห้าวันก็สามารถไปถึงเผ่าพันธุ์กู่ได้ เมื่อพิจารณาว่าเผ่ากู่ก็เป็นชาวหมานอี๋เช่นกัน ย่อมไม่ต้อนรับแขกความจริงใจแน่นอน การพาคนในพื้นที่ไปด้วยจะช่วยลดความขัดแย้งได้

หมายเลขห้า ‘ข้าอยู่ที่อวี่โจว เมื่อวานก็อยู่ที่อวี่โจวแล้ว’

ลี่น่าตอบกลับ

เร็วเช่นนั้นเลยรึ? สวี่ชีอันตกตะลึง

หมายเลขสาม ‘ใครเป็นคนพาเจ้าไปที่อวี่โจว’

การลำเลียงทางน้ำไม่มีทางรวดเร็วเช่นนี้ ลี่น่ายังเป็นกองกำลังเผ่ากู่ที่บุ่มบ่ามยิ่งกว่าจอมยุทธ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมกระบี่บิน

หมายเลขห้า ‘พวกเราพบท่านอาจารย์ของศิษย์พี่เอ้อร์หลางบนเรือก็เลยตามพวกเขาไปที่ชิงโจวด้วยกัน วันมะรืนก่อน ศิษย์พี่เอ้อร์หลางขับไล่ข้าและหลิงอินออกจากชิงโจว’

เจ้าทั้งสองขโมยของเขากินใช่หรือไม่…สวี่ชีอันส่งข้อความโต้ตอบว่า ‘เจ้ารู้ทางรึ?’

หมายเลขห้า ‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว เอ้อร์หลางเคยกำชับสูตรว่า ขึ้นเหนือลงใต้ไปทางซ้ายของตะวันตก ทางขวาของตะวันออกแล้วพุ่งไปทางใต้’

ยอดเยี่ยม ช่างคล้องจองกันจริงๆ! สวี่ชีอันเห็นหลี่เมี่ยวเจินกระโดดออกมาส่งข้อความ หมายเลขสอง ‘หลงทางก็ถามคนที่สัญจรผ่านไปมา ทางใต้ของอวี่โจวก็คือซินเจียงตอนใต้ ตอนเจ้าขึ้นทางเหนือมาที่เมืองหลวงต้องผ่านอวี่โจวก่อน คงไม่ลืมกระมัง’

หมายเลขห้า ‘น่าจะไม่นะ’

ลี่น่ากล่าว

สมาชิกพรรคฟ้าดินซักถามข้อสงสัยครู่หนึ่ง

หมายเลขสาม ‘เจ้าใช้เวลาเดินทางจากอวี่โจวไปซินเจียงตอนใต้นานเท่าใด?’

หมายเลขห้า ‘หากไม่หลงทาง ไม่ถูกคนหลอก แบกหลิงอินวิ่งไปก็คงใช้เวลาประมาณเจ็ดวันเจ็ดคืนก็น่าจะถึง’

‘ฟู่’…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหใดหนทางและส่งข้อความไปอีกว่า ‘อย่าสนใจคนแปลกหน้า มีปัญหาให้ติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ แล้วหลิงอินเป็นอย่างไรบ้าง?’

หมายเลขห้า ‘กินได้ ดื่มได้ หลับได้ ไม่มีปัญหาอะไร’

อืม ก่อนหน้านี้นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยบอกว่าชีวิตของหลิงอินลำบากมาก…สวี่ชีอันกำลังจะเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จู่ๆ ก็เห็นหลี่หลิงซู่ส่งข้อความมาว่า ‘ทุกคน จะควบคุมและสั่งการกองกำลังสามร้อยคนได้อย่างไร?’

ทันทีที่สวี่ชีอันเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องขึ้น เขาส่งข้อความไปถามว่า ‘เจ้าทำอะไรลงไป’

หมายเลขเจ็ด ‘ข้าไม่ได้ทำอะไร ก็แค่ห้ามพวกเขาปล้นคนจน ห้ามพวกเขาข่มขืนผู้หญิง ห้ามปล้นขบวนพ่อค้า ห้ามปรามไม่ให้ทำเรื่องชั่วร้ายทั้งปวง ข้ายังห้ามพวกเขาออกจากหมู่บ้าน แต่ยังแจกจ่ายข้าวสารให้พวกเขาอย่างสม่ำเสมอ’

หลังจากที่หลี่หลิงซู่รวบรวมผู้ลี้ภัยแล้วก็ตั้งรกรากอยู่ในหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง

หมายเลขเจ็ด ‘ตอนแรกพวกเขาก็ยังดีอยู่ แต่ภายในไม่กี่วันก็คิดจะฆ่าข้าแล้ว’

หมายเลขสอง ‘เจ้าโง่ เจ้ากำลังกักขังพวกเขา ปกติแล้วเจ้าจัดการคนพวกนี้อย่างไร’

หมายเลขเจ็ด ‘ไม่ได้จัดการ…’

หมายเลขสอง ‘เจ้าโง่ เจ้าต้องฝึกฝนพวกเขา ไม่ได้จัดการอีกทั้งยังกักขังอิสรภาพของพวกเขา ไม่ลอบสังหารเจ้าแล้วจะลอบสังหารใคร ช่างเถอะ เจ้าค่อยส่งข้อความส่วนตัวมาหาข้าภายหลัง ข้าจะสอนวิธีปกครองกองกำลังให้เจ้าเอง’

มังกรหนุ่มแห่งนิกายสวรรค์กล่าวจบแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นก็กล่าวว่า ‘ทางด้านนี้ข้ารวบรวมผู้ลี้ภัยได้หนึ่งพันคน การฝึกฝนก็บรรลุผลขั้นต้นแล้ว ในอีกไม่กี่วัน ข้าวางแผนจะพาพวกเขาไปเข้าร่วมสงครามที่ชิงโจว ยังมีอีกเรื่อง ตามที่กลุ่มผู้ลี้ภัยที่หลบหนีจากเจียงโจวซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของข้ารายงาน ทางด้านนั้นก็มีชาวยุทธจักรที่กำลังรวบรวมผู้ลี้ภัย ปล้นพ่อค้าและคหบดีในชนบท’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง