บทที่ 662 จิตใจบริสุทธิ์
หลังเดินออกจากโถงด้านใน สวี่เอ้อร์หลางมองไปรอบๆ ก็ไม่พบสาวใช้
แม้หลังที่ว่าการจะเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของสมุหเทศาภิบาล ทว่าก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของที่ทำการสมุหเทศาภิบาล บริเวณที่ว่าการย่อมมิอาจมีนางบำเรอมากไป สวี่เอ้อร์หลางเข้าใจได้
เดินไปได้อีกครู่หนึ่ง เขาก็เห็นสองศิษย์อาจารย์นั่งผึ่งพุงอาบแดดอย่างเกียจคร้านอยู่ที่โต๊ะหินในลานเล็กๆ ด้านตะวันตก
สวี่เอ้อร์หลางกระตุกมุมปากเบาๆ ก่อนปั้นหน้าเอ่ยว่า
“พวกเจ้าสองคนไม่ได้ต้องไปซินเจียงตอนใต้หรือ พรุ่งนี้ก็เดินทางแล้วสินะ”
สวี่หลิงอินตกตะลึง นางอ้าปากค้างและลากเสียง ‘อา’ ยาว พลางมองลี่น่าแล้วเอ่ยว่า
“อาจารย์ ที่นี่ไม่ใช่ซินเจียงตอนใต้หรือ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ที่นี่ห่างจากบ้านเกิดข้าไกลนัก อืม ก็ไม่ถึงกับไกลมาก ข้าแบกเจ้าและวิ่งไปเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ถึงซินเจียงตอนใต้แล้วล่ะ”
ลี่น่าเอ่ยพลางตบหน้าอก
สวี่หลิงอินคลานขึ้นบนตัวนางอย่างมีความสุข ก้นเล็กๆ นั่งลงตรงหน้านาง
ลี่น่า ‘ตบ’ จนนางปลิวไปราวกับตบแมลงวัน “ไม่ได้บอกว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้รึ หลิงอินเจ้านี่โง่อยู่เรื่อย”
เจ้าก็ไม่ได้ฉลาดกว่านางนักหรอก…สวี่เอ้อร์หลางกระแอมทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า
“เหตุใดพวกเจ้าไม่เหลือข้าวไว้ให้ข้า”
ลี่น่ารีบโยนกลอง “ก็หลิงอินบอกว่าพี่เอ้อร์หลางไม่หิว”
สวี่หลิงอินเบิกตาโตพลางพยักหน้าอย่างจริงจัง “พี่รองไม่หิวหรอก”
ลี่น่าเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็จนปัญญาแล้ว”
…สวี่เอ้อร์หลางพูดไม่ออก ก่อนจากไปด้วยความกระฟัดกระเฟียด
เมื่อครู่เขามีความคิดจะแงะสมองของน้องสาวและลี่น่ามาดูว่าปกติแล้วพวกนางคิดอะไรกัน
เหตุใดจึงเอ่ยคำพูดที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีนั่นออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและเป็นการเป็นงานเช่นนี้
เวลานั้นเอง เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินมาจากด้านนอกประตูลานโค้ง มีปากเป็นจะงอยน่าเกลียด ซึ่งก็คือผู้ติดตามของซุนเสวียนจี เผ่าปีศาจที่พากลับมาจากซินเจียงตอนใต้
ส่วนจะชื่ออะไรนั้น สวี่ซินเหนียนไม่ได้ถาม
“พี่ชายท่านนี้ ข้ามีนามว่าสวี่ซินเหนียน”
สวี่เอ้อร์หลางเข้าไปเอ่ยพลางประสานมือคำนับ
ผู้พิทักษ์วานรขาวเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เขาประสานมือคำนับคืนอย่างไม่ได้มาตรฐานนัก
“พี่ชายมีนามว่าอะไรหรือ”
“ผู้พิทักษ์หยวน!”
ชื่อแปลกเสียจริง…สวี่เอ้อร์หลางถามว่า “สวี่ชีอันเป็นพี่ใหญ่ของข้า ผู้พิทักษ์หยวนบอกสถานการณ์ของเขาที่ซินเจียงตอนใต้ได้หรือไม่”
ผู้พิทักษ์หยวนได้ฟังก็ตาเป็นประกายเล็กน้อย ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว
“ใต้เท้าสวี่เกรงใจแล้ว ข้าจะเล่าทุกอย่างที่รู้”
ทั้งสองยืนอยู่ในลานบ้าน หลังจากพูดคุยเจาะลึกแล้วสวี่ซินเหนียนจึงเข้าใจผู้พิทักษ์หยวนผู้นี้อย่างลึกซึ้ง
เขามาจากซินเจียงตอนใต้ เป็นผู้พิทักษ์แห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจ บำเพ็ญตบะขั้นสี่
พลังเหนือธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิดคือการมองทะลุจิตใจผู้คนและได้บำเพ็ญถึงแก่นของสำนักพุทธ ด้วยความสามารถนี้เองทำให้ต้องตาซุนเสวียนจี และรับเขาเข้าเป็นศิษย์
เกรงจะไม่ใช่การรับเป็นศิษย์ แต่เป็นเครื่องส่งเสียงมากกว่ากระมัง…สวี่ซินเหนียนซึ่งรู้ดีเกี่ยวกับความวิบัติทางภาษาของซุนเสวียนจีพึมพำในใจ
ผู้พิทักษ์หยวนเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้าว่า
“ท่านเดาถูกต้องแล้ว ข้าเป็นแค่ลิงที่เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
ให้ตายสิ ลืมไปว่าเขาอ่านความคิดของข้าได้ คุยกับคนประเภทนี้นี่เหนื่อยจริงๆ…สวี่เอ้อร์หลางสีหน้าแข็งค้าง ก่อนรีบอธิบายว่า
“ผู้พิทักษ์หยวนเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เจตนาจะตำหนิท่าน ศิษย์พี่ซุนมองเห็นความสามารถของท่านจึงเกิดความสนใจก็เท่านั้น”
ผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยเงียบๆ ว่า “คุยกับคนเช่นข้านี่เหนื่อยจริงๆ ใต้เท้าสวี่ไม่ต้องฝืนหรอก”
“…”
สวี่ซินเหนียนสงบสติอารมณ์แล้วท่องคัมภีร์นักปราชญ์ในใจเงียบๆ ถึงได้ยังยั้งความคิดฟุ้งซ่านของตนได้
ผู้พิทักษ์หยวนมองเขาด้วยดวงตาสีฟ้าใสอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเบนสายตาไปอย่างไร้ความสนใจ
“แล้วผู้อาวุโสเย่จีเป็นปีศาจอะไรรึ”
จากการสนทนาเมื่อครู่ สวี่เอ้อร์หลางรู้แล้วว่าพี่ใหญ่จะไม่ปล่อยกระทั่งปีศาจผู้หญิง
“ผู้อาวุโสเย่จีเป็นเผ่าจิ้งจอก!”
ผู้พิทักษ์หยวนตอบทุกคำถาม
เผ่าจิ้งจอกสินะ เช่นนั้นจะต้องมีเสน่ห์หยาดเยิ้ม ท่าทีสุขุมเยือกเย็นจนต้องตาพี่ใหญ่ได้ หากมีโอกาสก็อยากเปิดหูเปิดตาบ้าง หยุดนะ หยุดสิ จะคิดต่อไม่ได้ การทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรือ การทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรือ…สวี่ซินเหนียนควบคุมความคิด ครั้นเมื่อเห็นลี่น่าและหลี่หลิงอินอยู่ไม่ไกล หัวใจก็พลันกระตุก
“ผู้พิทักษ์หยวนอ่านความคิดน้องสาวสองคนของข้าได้หรือไม่”
เขามักงุนงงว่าเหตุใดหลิงอินถึงโง่เขลานัก
เมื่อเห็นความสามารถในการอ่านใจอันน่าสะพรึงกลัวของผู้พิทักษ์หยวน สวี่เอ้อร์หลางจึงรู้สึกว่าอาจถึงเวลาคลี่คลายสาเหตุที่หลิงอินไม่เปิดปัญญาแล้ว หากเข้าใจได้ว่าวันทั้งวันหลิงอินคิดอะไร จากนั้นก็ให้ยาที่เหมาะสม บางทีอาจชักนำนางในทางที่ถูกได้
เช่นนี้ยังสามารถลบโรคทางใจของท่านแม่ได้อีกด้วย
ผู้พิทักษ์วานรขาวพยักหน้าแล้วขยับเข้าใกล้สวี่ซินเหนียน
ดวงตาคู่สีฟ้าใสอบอุ่นของเขาจับจ้องที่ลี่น่าและสวี่หลิงอิน
สวี่หลิงอินและลี่น่าก็สังเกตเห็นผู้พิทักษ์หยวนผู้ขี้ริ้วขี้เหร่เช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่าสวี่เอ้อร์หลางอยู่ข้างกายจึงไม่ได้ใส่ใจ สองศิษย์อาจารย์ซุบซิบเรื่องจิปาถะไปพลาง พร้อมกับอาบแดดรออาหารย่อย
ผู้พิทักษ์วานรขาวมองพลางเผยสีหน้าเคร่งขรึมขีดสุด
นี่…หัวใจของสวี่เอ้อร์หลางก็บีบรัดไปด้วย เขากลั้นหายใจและรอเงียบๆ
รอแล้ว รอเล่า กระทั่งสองเค่อต่อมา ผู้พิทักษ์วานรขาวจึงหันหลังจากไปอย่างเงียบๆ
“ผู้พิทักษ์หยวน!”
เมื่อสวี่เอ้อร์หลางไล่ตามไปก็พบกับผู้พิทักษ์ขั้นสี่ที่มาจากซินเจียงตอนใต้ผู้นี้เผยความนับถือสุดซึ้งอยู่ในดวงตาสีฟ้าใส
“ท่านเห็นอะไรกันแน่”
สวี่เอ้อร์หลางถามจบก็กลั้นหายใจ
ผู้พิทักษ์หยวนอึกอัก
สวี่เอ้อร์หลางสีหน้าเคร่งขรึมทันใด “ผู้พิทักษ์หยวนว่ามาเถอะ”
ผู้พิทักษ์หยวนจึงพยักหน้าพลางว่า
“เรื่องที่แม่นางซึ่งมาจากซินเจียงตอนใต้ผู้นั้นคิดเมื่อครู่ก็คือ มื้อเย็นจะกินอะไร พรุ่งนี้จะกินอะไรดี”
? เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏวาบขึ้นในหัวของสวี่เอ้อร์หลาง เวลาสองเค่อเต็มๆ นั้น ในใจของลี่น่าคิดแต่เรื่องแค่นี้หรือ
“ส่วนเด็กคนนั้น ข้าผู้พิทักษ์ก็ได้พบกับดาวชงเข้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะมีหัวใจที่ใสบริสุทธิ์เช่นนี้”
ผู้พิทักษ์หยวนสีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยช้าๆ ว่า “หัวใจประหนึ่งกระจกเงา ที่ว่างเปล่าไม่เคยมีอะไรอยู่เลย!”
หัวใจประหนึ่งกระจกเงา ว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ จิตใจอันใสบริสุทธิ์…สวี่เอ้อร์หลางตะลึงงัน คิดไม่ถึงเลยว่าหลิงอินจะมีพรสวรรค์เฉพาะตัวเช่นนี้
แต่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เขาก็ตระหนักได้อย่างฉับพลันว่า ในเวลาสองเค่อเต็มๆ ในสมองของสวี่หลิงอินซึ่งกินดื่มอย่างอิ่มหนำนั้นว่างเปล่า ไม่ได้คิดอะไรเลย?!
ผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยเสียงเข้มว่า
“กรณีเช่นนี้ ข้าเคยพบเพียงในพระเถระผู้มีธรรมะลึกซึ้งและจิตใจสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น”
พูดถึงตรงนี้ ผู้พิทักษ์วานรขาวก็แสดงออกถึงความนับถือและชื่นชม
“สมแล้วที่เป็นน้องสาวของฆ้องเงินสวี่ อายุยังน้อยก็ได้ระดับบรรลุธรรม หลุดพ้นจากกิเลสหยาบแล้ว”
ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้พิทักษ์หยวน ท่านน่าจะเข้าใจผิดแล้ว…สวี่ซินเหนียนอ้าปาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เอ่ยคำอธิบายไม่ออก
…
ณ หุบเขาที่แฝงตัวลึกลับ สวี่ชีอันยืนอยู่ในหุบเขาอันร้างไร้ผู้คน ด้านหน้าคือขาทั้งสองข้างของเสินซูซึ่งควรค่าแก่การกล่าวขวัญ ขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ตอนนั้นที่เสินซูถูกแยกชิ้นส่วน ขาทั้งสองข้างได้ถูกตัดจนกุด
หลังจากผ่านการ ‘รวบรวม’ เลือดและปราณอยู่สองสามวัน พละกำลังของขาคู่นี้ก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างมาก
ชิ้นส่วนวิญญาณที่อาศัยอยู่ในขามีนิสัยก้าวร้าวรักการต่อสู้แต่ไม่ปลิ้นปล้อนสับปลับ ตรงกันข้าม ด้วยความหยิ่งทระนงเหลือเกินนั้นทำให้เขาดูน่ารักอยู่บ้าง
ตัวอย่างเช่น สวี่ชีอันทำข้อตกลงกับเขาว่าจะดึงตะปูตอกวิญญาณสองตัวออกก่อนค่อยสู้กับเขา เขาก็รักษาสัญญามาตลอด โดยให้เหตุผลว่า การเอาชนะสวี่ชีอันอย่างตรงไปตรงมาและสู้ยิบตากับคู่ปรับที่แข็งแกร่งจึงจะเป็นความสุขในชีวิต
“เตรียมพร้อมหรือยัง”
ชิ้นส่วนวิญญาณในขาทั้งสองข้างส่งผ่านความคิดออกมา “กำจัดตะปูตอกวิญญาณสองตัวนี้ แล้วความแข็งแกร่งของเจ้าจะเข้าใกล้ระดับบรรลุสมบูรณ์ขั้นสาม เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราก็จะสู้กันได้อย่างสบายใจ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “หลังจากที่ข้าปลดตะปูตอกวิญญาณแล้ว เรามาต่อสู้กันอย่างตรงไปตรงมา ซินเจียงตอนใต้ทั้งหมดจะเป็นสนามรบของพวกเรา”
การกำจัดตะปูตอกวิญญาณนั้นทำลายเสินซูอย่างมหันต์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง