บทที่ 661 ล้อมเวยช่วยจ้าว
ซุนเสวียนจีหรือ
ศิษย์ของท่านโหราจารย์น่ะรึ
เหล่าขุนนางพินิจมองซุนเสวียนจีด้วยความฉงนระคนประหลาดใจ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักศิษย์พี่ซุนผู้ต่ำต้อย คนที่นั่งอยู่นอกจากสวี่ซินเหนียนรวมถึงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่งสำนักอวิ๋นลู่แล้ว พวกขุนนางต่างก็ไม่รู้จักซุนเสวียนจีผู้นี้เลย
ด้วยเหตุนี้ ‘คำอธิบาย’ ของผู้พิทักษ์หยวนจึงมีความสำคัญยิ่ง
เหตุใดคนผู้นี้จึงล่วงรู้ความในใจของข้าได้…สวี่ซินเหนียนออกแรง ‘กระแอม’ ทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปหาซุนเสวียนจีพลางว่า
“ท่านผู้นี้คือศิษย์พี่รองแห่งสำนักโหราจารย์ ศิษย์คนที่สองของท่านโหราจารย์ ซุนเสวียนจี”
“เป็นศิษย์ของท่านโหราจารย์จริงด้วย แขกมาถึงเรือนชานมิได้ออกหน้าต้อนรับ!” เหล่าขุนนางแสดงท่าทางพยักหน้า
สวี่ซินเหนียนกล่าวเสริมว่า “โหรขั้นสาม”
ครืน…เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ขุนนางบุ๋นนำโดยหยางกง และแม่ทัพซึ่งนำโดยโจวมี่ลุกขึ้นอย่างรีบร้อน
“ศิษย์พี่ซุน เลื่อมใสมานานแล้ว!”
“ศิษย์พี่ซุนจะมาชิงโจวของเราก็น่าจะบอกกล่าวล่วงหน้า พวกข้าจะได้จัดงานเลี้ยงใหญ่”
“ตอนที่ข้าอยู่ชิงโจว เคยได้ยินว่าศิษย์พี่ซุนเป็นอัจฉริยบุคคลแห่งสำนักโหราจารย์ในยุคนี้ จึงเลื่อมใสมานานแล้ว แต่ไม่ได้พบสักที วันนี้ได้สมปรารถนา แม้ตายก็ไม่เสียดายแล้วละ”
บรรยากาศในตำหนักเสนาบดีอบอุ่นขึ้นทันใด ใบหน้าของเหล่าขุนนางและแม่ทัพอาบด้วยรอยยิ้มแห่งความฮึกเหิม
เมื่อหยางกงกดมือ ในตำหนักจึงเงียบลง ฆราวาสจื่อหยางลูบเคราพลางยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า
“พี่ซุนมาเพื่อสนับสนุนชิงโจวหรือ”
แม้ซุนเสวียนจีจะเป็นโหรขั้นสาม ทว่าอายุน้อยกว่าหยางกงมากนัก ในฐานะปัญญาชนผู้มีคุณธรรมแห่งลัทธิขงจื๊อ เขามิอาจเอ่ยปากเรียก ‘ศิษย์พี่ซุน’ ออกมาได้
เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าแห่งความปีติของเหล่าขุนนางในตำหนักก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อครู่เพิ่งถกกันเรื่องปัญหาด้านกำลังทหารอยู่ทีเดียว เนื่องจากหวั่นใจในความแข็งแกร่งของสำนักพุทธ
ชั่วพริบตาก็มีโหรผู้อยู่ระดับเหนือมนุษย์มาอยู่ฝั่งตน
แม้ขุนนางที่นั่งอยู่จะมิใช่ผู้บำเพ็ญตน แต่กลับคุ้นเคยกับโหรเป็นอย่างดี โหรผู้เชี่ยวชาญการหลอมปราณและค่ายกล พลังทำลายล้างระดับสูงซึ่งระเบิดในสนามรบนั้นมิอาจเทียบได้กับทหารกเฬวราก
หยางกงสั่งให้คนย้ายเก้าอี้มาทันที และให้ซุนเสวียนจีนั่งข้างตน ด้านผู้พิทักษ์หยวนก็ยืนอยู่ข้างศิษย์พี่ซุนอย่างรู้หน้าที่
เมื่อทุกคนนั่งลงอีกครั้ง หยางกงจึงถามว่า
“ทางด้านท่านโหราจารย์เป็นอย่างไรบ้าง”
ซุนเสวียนจีเหลือบมองผู้พิทักษ์หยวน ผู้พิทักษ์หยวนรู้ใจกันดี หลังจากดวงตาสีฟ้าใสพินิจอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยภาษาราชการของต้าฟ่งอย่างพอถูไถว่า
“อาจารย์จะตรึงพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และศิษย์พี่ใหญ่ไว้ พวกท่านเพียงรักษาชิงโจวก็พอ”
ทุกคนจึงไม่ถามมากอีก พวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ระดับนั้นได้ รู้เพียงว่าท่านโหราจารย์จะรั้งยอดฝีมือเหนือมนุษย์จากทัพกบฏได้ก็พอแล้ว
ซุนเสวียนจีผู้นี้อาจจะโอหังไปหน่อย…กลับกัน เป็นท่าทีของซุนเสวียนจีนี่ละที่จะดึงดูดให้พวกระดับสูงของชิงโจวตำหนิ
จางเซิ่นกลับขมวดคิ้วมุ่น
“ท่านโหราจารย์จะรั้งพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ไว้ได้ แต่มิอาจรั้งพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์อื่นๆ ของอรัญตาได้ เมื่อทัพใหญ่แดนประจิมมาถึง สถานการณ์จะน่าเป็นห่วงนะขอรับ”
เหล่าขุนนางบุ๋นและแม่ทัพต่างเผยสีหน้ากลัดกลุ้ม กระทั่งรอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปแล้ว
แท้จริงแล้วพวกเขาหาได้กลัวศึกสงคราม สิ่งที่กลัวคือการมองไม่เห็นความหวังหรือมองเห็นจุดจบของสงครามแล้วต่างหาก
ซุนเสวียนจีได้ฟังก็มองไปยังผู้พิทักษ์หยวนทันที
อีกฝ่ายก็กำลังมองเขา หลังจับเสียงในใจของเขาแล้วจึงเอ่ยว่า
“ไม่ต้องสนใจสำนักพุทธ พวกเขาไม่มีกำลังจะดูแลผู้อื่นหรอก แม้จะส่งทหารไปโจมตีต้าฟ่งแต่ก็เป็นจำนวนไม่มากนัก ยิ่งมิอาจส่งผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์มาได้”
จางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
เหล่าขุนนางระดับสูงที่โต๊ะต่างมองหน้ากัน มิอาจเข้าใจความหมายของผู้พิทักษ์หยวนได้ชั่วขณะ
ไม่กี่อึดใจต่อมา ข้าหลวงชิงโจวจึงเอ่ยหยั่งเชิงว่า
“เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าไม่ต้องสนใจสำนักพุทธหรือ”
ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้า
ผู้บัญชาการโจวมี่เอ่ยเสริมว่า
“ไม่มีกำลังจะดูแลผู้อื่นรึ”
ผู้พิทักษ์หยวนพยักหน้าอีกครั้ง
ภายในตำหนักเสนาบดีเงียบกริบ ไม่มีใครเอ่ยวาจาอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าของเหล่าขุนนางเผยให้เห็นอารมณ์แปลกๆ และซับซ้อนชนิดที่อยากจี้ถามต่อจนรอไม่ไหว ทั้งกลัวด้วยว่าตนจะหุนหันเกินไปทำให้ตกใจในคำตอบ
ข้าหลวงชิงโจวกดเสียงต่ำอย่างมิอาจควบคุมแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเล็กน้อยว่า
“หมายความว่าอย่างไร”
ทันใดนั้นจางเซิ่นก็เอ่ยว่า
“จะว่าไป เหตุใดจึงมีเผ่าปีศาจอยู่ข้างกายพี่ซุนได้เล่า”
ผู้พิทักษ์หยวนหันไปเหลือบมองซุนเสวียนจีอีกครั้ง ก่อนจับเสียงในใจเขาแล้วเอ่ยว่า
“ข้าเพิ่งกลับจากซินเจียงตอนใต้ และได้ร่วมมือกับสวี่ชีอันเพื่อคลายผนึกศัตรูฉกาจของสำนักพุทธ ปีศาจทักษิณจึงใช้โอกาสนี้ยกพลโจมตีภูเขาสือว่านและยึดดินแดนกลับคืน หากสำนักพุทธส่งกองทัพใหญ่กรีธามาทางบูรพาก็จะตกอยู่ในอ้อมแขนของปีศาจทักษิณ”
เพิ่งกลับมาจากซินเจียงตอนใต้…
ร่วมมือกับฆ้องเงินสวี่คลายผนึกศัตรูฉกาจของสำนักพุทธ…
ปีศาจทักษิณกำลังจะฟื้นฟูอาณาจักร ยึดดินแดนเก่ากลับคืน สำนักพุทธยุ่งเกินกว่าจะดูแลผู้อื่น…
เหล่าขุนนางในตำหนักตกตะลึงกับข่าวดีที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้านี้ ต่างมีสีหน้างงงัน เหม่อลอยไปพักใหญ่
“เช่นนี้นี่เอง!”
ทันใดนั้นหยางกงซึ่งพลันได้สติก็เอ่ยอย่างโล่งใจว่า
“ข้าก็ว่าทำไมสวี่หนิงเยี่ยนถึงไม่มาป้องกันชิงโจว ที่แท้เขาวางแผนไว้แต่แรกแล้ว และแอบดอดไปซินเจียงตอนใต้เพื่อเผาสวนดอกไม้หลังสำนักพุทธ ร่วมมือกับอาณาจักรหมื่นปีศาจตรึงกำลังสำนักพุทธ ประเสริฐ ประเสริฐแท้!”
จางเซิ่นส่ายหน้าเล็กน้อย “หนิงเยี่ยนสมควรเป็นปรมาจารย์ด้านตำราพิชัยสงคราม เขาเชี่ยวชาญกลยุทธ์ลึกซึ้ง น่าเลื่อมใสอย่างแท้จริง เช่นนี้ก็คลี่คลายวิกฤตครั้งใหญ่ของต้าฟ่งไปได้แล้ว”
หลี่มู่ไป๋อุทานว่า “เว่ยเยวียนมีผู้สืบทอดแล้ว”
ยามนี้ขุนนางระดับสูงของชิงโจวถึงค่อยตั้งสติกลับมาอย่างสมบูรณ์ แม่ทัพตบโต๊ะด้วยความฮึกเหิม ใบหน้าของขุนนางบุ๋นอาบด้วยรอยยิ้ม ไหล่ของทุกคนรู้สึกเบาสบายราวกับได้พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ไม่ทันไรพี่ใหญ่ก็ทำเรื่องใหญ่โดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว…สวี่ซินเหนียนรีบถามว่า
“พี่ใหญ่ของข้าบาดเจ็บหรือ เหตุใดเขาไม่มากับท่านด้วย”
ผู้พิทักษ์หยวนเอ่ยแทนซุนเสวียนจีว่า
“เขายังอยู่ซินเจียงตอนใต้ และจะไม่มาชิงโจวในเวลาอันสั้นนี้”
ฆ้องเงินสวี่ต้องแน่ใจว่าปีศาจทักษิณจะดำเนินการได้อย่างราบรื่น…เหล่าขุนนางพยักหน้า
เมื่อผู้พิทักษ์หยวนพูดจบจึงเอ่ยว่า “เหตุใดพวกท่านจึงเอ่ยถึงแต่สวี่ชีอัน ไม่เอ่ยถึง…”
จู่ๆ เขาก็พูดไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำ หายใจไม่ออก ลำคออุดกลั้น ท่าทางประหนึ่งจะขาดอากาศหายใจตาย
ผู้พิทักษ์วานรขาวส่ายหัวอย่างแรงให้ซุนเสวียนจี สื่อว่าตนจะไม่พูดพล่อยๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง