บทที่ 660 หารือ
เขตไป๋ซา เมืองเวิ่ง
ชีก่วงป๋อในชุดเครื่องแบบทหาร สวมผ้าคลุมสีแดง ยืนหน้าแผนที่ชิงโจวบนขาตั้ง ตั้งใจพินิจพิจารณา
ข้างหลังเขาคือพวกแม่ทัพค่ายทหารอวิ๋นโจว จีเสวียนสวมเสื้อเกราะ ข้างเอวสะพายดาบสงคราม นั่งตำแหน่งแรกซ้ายสุด
พวกแม่ทัพมีสีหน้าผ่อนคลาย แม้ยังนิ่งเงียบ แต่หน้าตาเปี่ยมด้วยความสุข
เวลาสามวันสั้นๆ ยึดเมืองอำเภอชายแดนชิงโจวเก้าแห่ง โจมตีแนวป้องกันแรกจนพ่ายแพ้ยับเยิน ทำให้กองทัพใหญ่มีแนวหลังที่มีเสถียรภาพ
ชีก่วงป๋อจ้องแผนที่ไม่วางตา พูดเสียงเรียบ “ทุกท่านอารมณ์ดีไม่น้อย ได้รับชัยชนะตั้งแต่เริ่มต้น คืนนี้ไม่สู้ร่ำสุราให้เมามาย”
แม่ทัพทุกท่านชะงัก จ้องมองกันและกันเงียบๆ ไม่มีคนพูดแทรก
ชีก่วงป๋อสั่งรองแม่ทัพข้างกายว่า
“เล่าสถานการณ์ในเมืองหน่อย”
รองแม่ทัพลุกขึ้น เหลียวมองแม่ทัพทุกท่านข้างโต๊ะ พูดเสียงขรึม
“ก่อนทหารอารักขาชิงโจวถอยทัพ เผาเสบียงอาหารในยุ้งฉางทุกแห่งของเมือง ในขณะเดียวกัน รวบรวมผ้าห่มและผ้าพับจำนวนมากมาเผาราบ นอกจากนี้ เศรษฐี พ่อค้า และคนร่ำรวยในเมืองย้ายออกก่อนแล้ว บัดนี้ในเขตไป๋ซา มีเพียงคนยากจนและผู้อพยพที่หิวจนไส้กิ่วไส้แขวน
“เมืองอำเภออีกเก้าแห่ง เป็นเช่นนี้ทั้งหมด”
“อะไรนะ”
แม่ทัพทุกท่านตกใจ
รองแม่ทัพพูดต่อ
“ก่อนหน้านั้น สมุหเทศาภิบาลชิงโจว ออกคำสั่งซ่อนข้าวย้ายของ หมู่บ้านนอกเมือง สิบหลังว่างเปล่าเก้าหลัง ค้นไม่เจอเสบียงอาหารแม้แต่น้อย”
ชีก่วงป๋อที่หันหลังให้ทุกคนพูดอย่างหดหู่
แม่ทัพทุกท่านนิ่งเงียบ
พวกเขายึดแนวป้องกันชายแดนชิงโจวได้ มีแนวหลัง แต่มีเสถียรภาพหรือไม่ พูดยาก
จีเสวียนใคร่ครวญพูดว่า
“หยางกงไม่คิดจะปกป้องเมืองอำเภอชายแดนเก้าแห่งสุดชีวิตตั้งแต่แรก เขาอพยพเศรษฐีล่วงหน้า เหลือเพียงผู้อพยพและคนยากจน คิดจะมอบความวุ่นวายนี้ให้พวกเรา”
ชีก่วงป๋อชี้แผนที่ชิงโจว พยักหน้าพูดว่า
“ชิงโจวมีอาณาเขตหมื่นลี้ มีที่ว่างให้เขาขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เหตุใดต้องปกป้องชายแดนสุดชีวิต? บัดนี้กองหนุนราชสำนักยังมาไม่ถึง เขาเลือกก่อกวนพวกเรา แทนที่จะต่อสู้จนตัวตาย คือวิธีที่ถูกต้อง
“ลูกไม้หนามยอกเอาหนามบ่งนี้ ใช้งานได้ยอดเยี่ยม”
เมื่อล้อมตีเมือง แทบอยากให้สถานการณ์ของอีกฝ่ายยิ่งแย่ยิ่งดี ดีที่สุดขาดอาวุธขาดเสบียง ทุกที่มีแต่ผู้อพยพ
แต่เมื่อยึดเมืองได้ สิ่งที่ทัพกบฏต้องทำคือรักษาความมั่นคง ถ้าที่เหล่านี้เกิดความวุ่นวาย จะกลับกลายเป็นภาระ
แน่นอน ถ้าเพียงหวังปล้นสะดมเป็นหลัก มองข้ามเรื่องพวกนี้ได้ อย่างมากก็ฆ่าทิ้งให้หมด
สถานการณ์เช่นนี้ควรใช้เมื่อคนต่างเผ่ารุกราน แต่ทัพกบฏอวิ๋นโจวต้องการรวบรวมใจคน ครอบครองความชอบธรรม ย่อมทำเช่นนี้ได้ยาก
“เขาจะใช้คนยากจนและผู้อพยพถ่วงพวกเรา เฮอะ โชคดีที่ล้อมเมืองครั้งนี้ทหารชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายมากนัก พวกนี้ล้วนเป็นแหล่งทหารชั้นยอด”
แม่ทัพท่านหนึ่งพูด
ไม่ว่าแผนการอะไรก็ตามล้วนมีสองด้านเสมอ
จีเสวียนมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า
“หยางกงซ่อนข้าวย้ายของ เผาธัญญาหาร ไม่เหลือข้าวสักเม็ดให้พวกเรา แรงกดดันมหาศาลของฝ่ายเราจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นี่คือมีดทื่อแล่เนื้อ ค่อยๆ ลดทอนสายสนกลในของพวกเรา”
เป้าหมายของหยางกงชัดเจนยิ่งนัก ณ ชิงโจว จะบั่นทอนพละกำลังของทัพกบฏมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
จีเสวียนเผยยิ้มทันที “เพียงแต่ เขาดูถูกพวกเราแล้ว”
ชีก่วงป๋อพูดเสียงเรียบ “ราชครูเตรียมการหลายปี สายสนกลในลึกซึ้ง ชิงโจวเล็กๆ จะบั่นทอนจนสูญสิ้นได้อย่างไร ถือโอกาสเกณฑ์ทหารแจกโจ๊กทำทาน อาศัยสิ่งนี้เผยแพร่ชื่อเสียงกองทัพคุณธรรมของพวกเรา”
แม่ทัพทุกท่านยิ้มมองหน้ากัน
ชีก่วงป๋อพูดว่า “ถึงเวลาพระนักรบแดนประจิมออกโรง ข้าส่งคนไปขอคำแนะนำจากราชครูแล้ว”
…
ที่ทำการสมุหเทศาภิบาลชิงโจว
ลานด้านหลัง โต๊ะกลมในห้องโถงเต็มไปด้วยอาหารอร่อย ลี่น่ากับสวี่หลิงอินหมอบบนโต๊ะกินอย่างตะกละตะกลาม
อาจารย์กับศิษย์หน้าพองเป็นซาลาเปาเหมือนกัน
“วันๆ กินปลา กินเนื้อตากแห้ง ข้าเข้าห้องน้ำยังต้องนั่งยองอยู่นาน” ลี่น่าพูดคำหยาบคายอย่างไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย แม้นางหน้าตางดงามก็ตาม
บนเรือขาดผักผลไม้สด
“อาจารย์ ข้าอึได้สบาย” สวี่หลิงอินพูดอวดเสียงดัง แสดงออกว่าตนเองเก่งกว่าอาจารย์
“พวกเราต้องเหลือไว้ให้คุณชายรองหรือไม่”
ลี่น่าพูดเช่นนี้ แต่กลืนอาหารเร็วกว่าเดิม
ระหว่างนั่งเรือไปชิงโจว จางเซิ่นอาจารย์ผู้มีพระคุณของสวี่เอ้อร์หลาง อีกทั้งหลี่มู่ไป๋มาหาถึงที่นี่ พาศิษย์มาชิงโจวล่วงหน้า
แน่นอนว่าสวี่เอ้อร์หลางไม่ทิ้งลี่น่ากับหลิงอินอยู่บนเรือเด็ดขาด จึงเดินทางมาด้วยกัน
“พี่รอง พี่รองไม่หิว”
สวี่หลิงอินพูดตอบแทนสวี่เอ้อร์หลาง
“ไม่หิว งั้นก็ช่วยไม่ได้…”
ลี่น่าพูดอย่างจริงจัง
ห้องประชุมสมุหเทศาภิบาล
สวี่เอ้อร์หลางยกถ้วยชาลายครามขึ้นจิบน้ำชาร้อน นิ่งเงียบตั้งใจฟัง
หยางกงสมุหเทศาภิบาลชิงโจวในชุดขุนนางสีแดงเลือดนกนั่งอยู่ตำแหน่งหลักของโต๊ะยาวไม้พะยูงหอม ฆราวาสจื่อหยางศิษย์สำนักอวิ๋นลู่ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วที่ราบกลางท่านนี้ซูบผอมลงมาก
เขาไม่ได้นอนหลับมาห้าวันแล้ว หน้าตาซีดเซียวยากที่จะซ่อนความเหนื่อยล้า แต่สายตาของเขายังคงเฉียบคม จิตวิญญาณยังคงเต็มเปี่ยม ราวกับมีพละกำลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“…ยามนี้สถานการณ์ชิงโจวก็เป็นเช่นนี้ ไม่อาจปกป้องชายแดนไว้ได้”
หยางกงจบการอธิบายยืดยาว ยกถ้วยชาขึ้นจิบน้ำให้ชุ่มคอ หันหน้ามองจางเซิ่น
“จิ่นเหยียนคิดว่าอย่างไร”
ในหมู่สหายร่วมสำนักสองท่านที่เดินทางไกลมารับตำแหน่งนายทหารฝ่ายเสนาธิการ จางเซิ่นเชี่ยวชาญยุทธวิธีการรบ คือยอดฝีมือผู้ซึ่งหยางกงต้องการตัวด่วน
จางเซิ่นพยักหน้าพูดว่า
“ถ้าเป็นข้า จะไม่ให้พ่อค้าเศรษฐีและผู้ลากมากดีพวกนั้นออกไป ทัพกบฏย่อมต้องเลือกทำสงครามยืดเยื้อ ถึงเวลาเมืองแตก ก็ถึงเวลาพวกเขาบ้านแตกสาแหรกขาด
“ไม่อยากบ้านแตกสาแหรกขาด งั้นก็ช่วยปกป้องคูเมืองสุดชีวิต เช่นนี้ถึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะลดทอนกำลังทหารทัพกบฏ เพียงแต่ นี่คือภายใต้สถานการณ์ที่ราชสำนักมีผู้ช่วย จื่อเชียน วิธีพบกันครึ่งทางนี้ของเจ้า ทำได้ไม่เลว”
พูดไป เขามองศิษย์คนโปรดไป นึกอยากทดสอบ ยิ้มพูดว่า
“ฉือจิ้ว เจ้ามาวิเคราะห์สถานการณ์ชิงโจวให้ทุกท่านฟังหน่อย”
ข้าหลวงชิงโจว ผู้บัญชาการ ตุลาการความมั่นคง รวมทั้งขุนนางบู๊และบุ๋นใต้บัญชาพวกเขาทยอยเหลียวมอง
สวี่ซินเหนียนไม่ได้ประหม่า ยืดตัวตรง กวาดตามองทุกคนช้าๆ
“ข้าคิดว่า ปกป้องชิงโจวได้นานเท่าใด ก็ปกป้องนานเท่านั้น ก่อนอื่นใต้เท้าทุกท่านต้องเข้าใจสามข้อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง