ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 666

บทที่ 666 เผ่าลี่กู่

ลูกธนูที่ยิงในระยะประชิดนั้นรวดเร็วกว่ามาก แฝงไปด้วยพลังในการเจาะทะลุทองและหิน ยิงใส่หน้าอกของลี่น่า

‘ติ๊ง!’

ลี่น่าดีดลูกธนูกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย

นางหันไปมองศิษย์น้อยที่ไร้เดียงสา และสวี่ชีอันกับมู่หนานจือทีหนึ่ง นางอายสุดที่จะทนได้ จึงตะคอกด้วยความโมโห

“หาเรื่องโดนตี!”

พลังระเบิดของขาเรียวยาวทั้งสองน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง นางดีดตัวขึ้นมา และหมุนตัวเตะชายหนุ่มที่ยิงธนูจนกระเด็นออกไป

ก่อนที่ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมอีกคนจะดึงดาบกระดูกออกมา นางก็บิดเอวเหวี่ยงแขวน วาดแขนขวาเป็นรูปครึ่งวงกลม พอมีเสียงฝ่ามือดัง ‘ป้าบ!’ ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมก็หมุนอยู่กับที่สองรอบ และล้มลงพื้นท่ามกลางดวงดาวสีทองที่หมุนติ้วๆ

ชายหนุ่มเผ่าลี่กู่สองคนโดนตี แต่ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่นานก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มที่ยิงธนูจ้องมองลี่น่าอย่างระแวง

“เป็นลี่น่าจริงๆ ด้วย เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไป ขาวเหมือนกับบรรดาหญิงสาวในที่ราบกลาง”

พอได้แลกมือกัน ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่

เท้าที่รวดเร็วและรุนแรง ฝ่ามือที่ปราดเปรียว ไม่ผิดแน่

ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมกล่าวเสริม

“ทั้งยังอ้วนขึ้นด้วย”

สภาพอากาศซินเจียงตอนใต้ร้อนอบอ้าว พลังแสงอาทิตย์รุนแรง คนในพื้นที่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในซินเจียงตอนใต้มีผิวดำ กล้ามเนื้อและผิวหนังเป็นสีแทน

แต่ลี่น่าบำรุงอยู่ในจวนตระกูลสวี่มาครึ่งค่อนปี หลบเลี่ยงการทำลายผิวของพลังแสงอาทิตย์ ประกอบกับแอบกินโอสถชะลอวัยของอาหญิง ผิวหนังจึงขาวละเอียดอ่อน ซึ่งแตกต่างจากชายหนุ่มเผ่าพันธุ์กู่ทั้งสองอย่างสิ้นเชิง

“หรือพวกเจ้าจำใบหน้าของข้าไม่ได้” ลี่น่าเอามือเท้าเอว

“ไม่แน่อาจแปลงโฉมก็ได้!”

ชายที่ยิงธนูเถียงไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ทำเสียง “ฮึๆ” อย่างได้ใจ

“เมื่อครู่ข้ากำลังทดสอบความสามารถของเจ้า ลี่น่าตัวจริงจะต้องรับลูกธนูข้าได้”

ลี่น่าสำลักอยู่ครู่หนึ่ง นางไม่มีอะไรจะเถียงจึงหันไปกล่าวกับสวี่ชีอันและคนอื่นๆ

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คนเผ่าลี่กู่ของข้าระมัดระวังและฉลาดรอบคอบมาโดยตลอด เมื่อครู่พวกเขากำลังทดสอบข้า”

ไม่ใช่สิ คนที่ราบกลางสามารถเรียกชื่อพวกเขาออกมาได้หรือ จะว่าไปแล้วหากเป็นการแปลงโฉมจริง ใครจะสามารถแปลงโฉมคนซินเจียงตอนใต้ให้มีผิวขาวสวยงามได้ นี่ไม่ใช่การโอ้อวดอย่างแจ่มแจ้งหรือ…สวี่ชีอันแขวะอยู่ในใจ

สวี่หลิงอินใช้พลังส่งเสียง “อา” ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวในภายหลัง

“ยังดีที่อาจารย์ท่านเป็นคนซินเจียงตอนใต้อย่างแท้จริง”

พอชายหนุ่มที่ยิงธนูเห็นว่าเด็กสาวในที่ราบกลางมีสีหน้าหวาดกลัว เขาก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมา และกล่าวว่า

“ลี่น่า พวกเขาเป็นใคร”

“นางคือศิษย์ในที่ราบกลางของข้า นี่คือพี่ชายของศิษย์ข้า ตอนที่ข้าอยู่ในเมืองหลวงได้รับการดูแลจากพวกเขา”

ลี่น่าแนะนำสวี่ชีอันกับสวี่หลิงอินให้กับคนในเผ่าทั้งสอง และมองข้ามมู่หนานจือไปเพราะไม่สนิทกับนาง

จากการแนะนำของนาง สวี่ชีอันก็รู้ชื่อชายหนุ่มเผ่าพันธุ์กู่ทั้งสองคน

ชายหนุ่มที่ยิงธนูชื่อถู่หลง แขนทั้งสองเรียวยาว กล้ามเนื้อได้สัดส่วน แค่มองก็รู้ว่าเป็นมือธนูฟ้าประทาน

ชายใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมชื่อมู่โถว เนื่องจากตอนคลอดออกมามีใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ว่า ‘มู่โถว’

“ศิษย์หรือ”

มู่โถวตกใจมาก “เจ้าเป็นลูกสาวหัวหน้าเผ่า จะแอบรับศิษย์ด้วยตนเองได้อย่างไร ทั้งยังเป็นคนที่ราบกลางด้วย บรรดาผู้อาวุโสจะตีเจ้าได้”

ถู่หลงขมวดคิ้วมุ่น ถึงจะไม่คล้อยตามด้วย แต่มองออกว่าเขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

เคล็ดวิชาของเผ่าพันธุ์กู่ไม่ถ่ายทอดให้กับคนนอก แม้แต่ในเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ดด้วยกันเอง ก็หวงแหนเป็นอย่างมาก มีความยึดมั่นในฝักฝ่ายของตนเอง

นับประสาอะไรกับการรับเด็กสาวจากที่ราบกลางเป็นศิษย์ ประจักษ์ชัดว่าฝ่าฝืนกฎของเผ่า เป็นการกระทำต้องห้ามที่สำคัญของเผ่าพันธุ์กู่

“ข้าไม่กลัวพวกเขาหรอกนะ บรรดาผู้อาวุโสล้วนเป็นขั้นสี่ ข้าก็ขั้นสี่เช่นกัน ใครจะตีใครยังไม่สามารถพูดได้”

ลี่น่าทำเสียงขึ้นจมูก “ตาเฒ่าคนใดกล้าลงมือ ข้าจะตีให้ตายในหมัดเดียว”

“หัวหน้าเผ่าจะตีเจ้าเป็นคนแรก!”

มู่โถวน้ำเสียงเคร่งขรึม

ผ่านไปสักพัก ทั้งสองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองพร้อมกัน และกล่าวด้วยความตกใจ

“เจ้าเลื่อนขึ้นขั้นสี่แล้วหรือ”

ลี่น่าไม่ทันได้กระหยิ่มยิ้มย่องก็ตะโกนออกมา

“ศิษย์ที่ข้ารับมาผู้นี้ คือบุคคลผู้มีพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในผู้คนนับหมื่น เป็น เป็นพรสวรรค์ที่ไม่เคยปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์มาก่อน”

นางพยายามใช้คำศัพท์ที่มีไม่มากของตัวเองมาบรรยายสวี่หลิงอิน

มู่โถวกับถู่หลงชะงักฝีเท้าและมองดูเสี่ยวโต้วติงที่ดูซื่อๆ ทีหนึ่งก่อนถาม

“พรสวรรค์หรือ มื้อหนึ่งกินข้าวได้กี่ถ้วยล่ะ”

ลี่น่าทำเสียงขึ้นจมูก

“มื้อหนึ่งหลิงอินสามารถกินข้าวได้สิบถ้วย ไม่รวมกับข้าว”

มู่โถวกับถู่หลงสบตากันทีหนึ่งด้วยสีหน้าที่ดูซาบซึ้งเล็กน้อย

“เป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากจริงๆ แล้วอย่างไร กฎก็คือกฎ เจ้าก็เป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์ แต่เจ้ากล้าแอบถ่ายทอดเคล็ดวิชาเผ่าพันธุ์กู่ก็ต้องถูกลงโทษด้วยเช่นกัน”

สวี่ชีอันฟังพวกเขาใช้ภาษาซินเจียงตอนใต้พูดคุยกันราวกับเสียงนกเพรียกร้องแล้วก็ขมวดคิ้วถาม

“พวกเจ้าคุยอะไรกัน”

ลี่น่าพ่นลมหายใจออกมา และพูดอธิบาย

“พวกเขาบอกว่าข้าแอบรับคนที่ราบกลางเป็นศิษย์ จะถูกบรรดาผู้อาวุโสลงโทษอย่างเฉียบขาด”

“ข้าเคยได้ยินว่าวิชากู่ของเผ่าพันธุ์กู่ในซินเจียงตอนใต้ของพวกเจ้าจะไม่ถ่ายทอดให้คนนอก แต่กฎที่เป็นรูปธรรมนั้นเป็นเช่นใด”

สวี่ชีอันกล่าวจบก็มองหน้านางเพื่อรอคำอธิบาย

“กฎที่เป็นรูปธรรมน่ะหรือ…” ลี่น่านึกกฎของเผ่าอยู่ครู่หนึ่งและกึ่งพูดกึ่งท่องออกมา

“ถ่ายถอดวิชากู่ให้กับผู้ที่เป็นทาสโดยไม่ได้รับอนุญาต เฆี่ยนสามหมื่นหกพัน…อืม เผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน จำนวนการเฆี่ยนก็แตกต่างกัน เผ่าลี่กู่ของพวกเราเยอะสุด ถ่ายทอดวิชากู่ให้กับต่างเผ่าโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะคนที่ราบกลาง ลงโทษตาย! อาจารย์ต้องตาย ศิษย์ก็ต้องตายด้วย”

สวี่ชีอันมองดูนางเงียบๆ

“ทำไมเจ้าถึงไม่แจ้งให้ชัดเจนก่อนรับหลิงอินเป็นศิษย์ ในเมื่อเจ้ารู้กฎของเผ่าตนเอง ทำไมถึงยังพาหลิงอินกลับมาซินเจียงตอนใต้อีก”

หากลี่น่ากล้าพูดว่า ‘ลืมไป’ สวี่ชีอันสาบานว่าจะต้องทุบตีนางจนอุจจาระราดเลยทีเดียว

ผิดไปจากที่คาดไว้ ลี่น่าพูดมีเหตุมีผลอย่างฉะฉาน

“ในยุคบรรพกาล พลังของเทพเจ้ากู่แผ่ขยายเป็นวงกว้างออกไปนอกเหวลึก บรรพบุรุษของพวกเราผ่านความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานับหมื่นนับพัน แสวงหาเคล็ดวิชาที่ใช้พลังของเทพเจ้ากู่ นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็มีเผ่าพันธุ์กู่เจ็ดเผ่าพันธุ์ใหญ่ เคล็ดวิชาคือพื้นฐานในการตั้งตัวของเผ่าพันธุ์กู่เรา พลังของเทพเจ้ากู่แผ่ขยายออกจากกลางเหวลึก เปลี่ยนสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้นให้กลายเป็น ‘กู่’ ว่าตามหลักการแล้ว ใครก็สามารถใช้พลังนี้ได้ เพียงแค่เรียนรู้เคล็ดวิชาที่ประสานรับกัน ด้วยเหตุนี้เผ่าพันธุ์กู่ให้ความสำคัญกับเคล็ดวิชามาก แอบถ่ายทอดคือโทษตาย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง