บทที่ 667 ฆ้องเงินสวี่ที่ไม่มีชื่อเสียง
อานุภาพน่าหวาดกลัวพุ่งจากฟ้าปกคลุมศีรษะของฝูงชน แม้แต่ลี่น่าเองก็ยังต้องก้มศีรษะลงด้วยความสั่นเทา ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
จิ้งจอกขาวน้อยขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของมู่หนานจือ ร่างที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยสั่นระริก
มู่หนานจือขมวดคิ้วติดต่อกันหลายครั้ง นางรับรู้ถึงความไม่ปลอดภัยจึงเบี่ยงตัวมาแอบอยู่ด้านหลังสวี่ชีอัน
พลังกดขี่แข็งแกร่งมาก…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว หากจำไม่ผิดละก็ ลี่น่าเคยบอกว่าบิดาของนางเป็นบุคคลระดับสุดยอดขั้นสามในสงครามด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีก่อน
สวี่ชีอันที่ดึงตะปูตอกวิญญาณออกไปแปดตัว ตอนนี้อยู่ระดับบรรลุสมบูรณ์ขั้นสาม ในด้านของระดับแตกต่างจากบิดาของลี่น่าไม่มากนัก แต่หากต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ แผนการอันจะได้ชัยชนะของเขามีมากกว่า
“ซ่อนกลิ่นอายหรือ”
หลงถูพิจารณาสวี่ชีอันอยู่
เขาไม่อาจรับรู้ถึงคลื่นพลังปราณบนตัวชายหนุ่มผู้นี้ได้เลยแม้แต่น้อย ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าก็คือ บนตัวเด็กคนนี้ไม่มีเทวราชคุ้มกายาอย่างกระดูกเหล็กผิวทองแดงด้วย
ชายหนุ่มตรงหน้าดูๆ แล้วคล้ายกับเป็นคนธรรมดา แต่คนธรรมดาจะต้านทานอานุภาพของเขาได้อย่างไร
“คารวะหัวหน้าเผ่าหลงถู”
สวี่ชีอันฟังภาษาซินเจียงตอนใต้ไม่ออกเลย จนกระทั่งหลงถูมองเข้ามา เขาจึงกุมมือคารวะ
“ข้าคือพี่ใหญ่ของสวี่หลิงอิน หวังว่าหัวหน้าเผ่าจะยืดหยุ่นในเรื่องนี้สักหน่อย”
ที่เขาพูดคือภาษาราชการของต้าฟ่ง ไม่ต้องกังวลว่าหัวหน้าเผ่าที่กล้ามเนื้อแข็งแกร่งกว่าเทพอารักษ์ผู้นี้จะฟังไม่ออก เพราะแม้แต่ลี่น่ากับบุคคลอัจฉริยะ (คนลาดตระเวน) ในเผ่ายังพูดภาษาราชการของต้าฟ่งได้เลย ไม่มีเหตุผลที่หัวหน้าเผ่าจะพูดไม่ได้
หลงถูมองสวี่ชีอันอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง เขาเก็บอานุภาพอันน่าหวาดกลัวเข้าไป และกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่มีพลังเคร่งขรึม
“ลี่น่า เจ้าพานางกลับมาเพื่อให้ข้ากับบรรดาผู้อาวุโสยอมรับนาง เช่นนั้นก็ทำให้ถูกต้องตามหลักการ เรียกผู้อาวุโสมาอภิปรายงานเถอะ”
แม้ลี่น่าจะฉลาดตั้งแต่เด็ก แต่มีนิสัยเอาแต่ใจ คิดจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น น้อยมากที่จะคำนึงถึงผลที่ตามมา
สำหรับเรื่องที่นางรับเด็กน้อยที่ราบกลางคนหนึ่งเป็นศิษย์นั้น หลงถูโกรธก็โกรธอยู่หรอก แต่ไม่รู้สึกประหลาดใจและไม่รู้สึกว่ามันไร้สาระ
หลงถูมองสวี่หลิงอินทีหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินไปด้านนอก
“ท่านพ่อ ท่านไปด้วยตนเองหรือ” ลี่น่ากล่าวด้วยความดีใจ
หลงถูกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ และยังคงเดินไปด้านหน้าไม่หันกลับมา
“เย็นๆ ข้าจะไปที่เผ่าเทียนกู่สักรอบ แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่งสารมาบอกข้าแล้ว แต่ก่อนอื่นต้องจัดการปัญหาของเจ้าก่อน”
กล่าวจบเขาก็เดินออกจากลานพอดี
“ท่านพ่อ ข้าไปกับท่านด้วย” ลี่น่าตะโกนไปหนึ่งประโยค นางเรียกทาสหญิงคนหนึ่งมาดูแลสวี่ชีอันและคนอื่นๆ จากนั้นตนเองก็ไล่ตามไป
ตลอดทางที่เดินผ่านมา ชายหนุ่มและชายฉกรรจ์ของเผ่าลี่กู่ส่วนมากไม่อยู่ในค่าย คงจะไปล่าสัตว์ข้างนอก…แค่ส่งกองกำลังทหารส่วนหนึ่งไปสอดแนมบริเวณรอบๆ และจู่โจมที่นี่โดยตรงก็สามารถทำลายรังของเผ่าลี่กู่ได้ภายในเวลาสั้นๆ แล้ว…สวี่ชีอัน ‘วางแผนทางการทหาร’ อยู่ในใจอย่างเงียบๆ
แต่ไม่นานก็ค้นพบว่าตนเองคิดมากไป เพราะว่าทำเช่นนี้ไม่มีความหมายอะไร
พวกชายหนุ่มและชายฉกรรจ์ไม่อยู่ในค่าย เช่นนั้นต่อให้จะทำลายที่นี่ ก็ไม่สามารถโจมตีเผ่าลี่กู่ได้อย่างหนักหน่วง และจากที่ได้ยินได้เห็นบนพื้นที่ราบในเมื่อครู่ สมาชิกเผ่าลี่กู่ทั้งหมดเป็นทหาร แม้แต่หญิงชรายังเดินเร็วเป็นลมกรด เดินเหินอยู่บนหลังคาได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ใช่เป็นเด็กและสตรีอ่อนแอที่สามารถฆ่าแกงได้ตามใจ
อีกประเด็นหนึ่ง ดูเหมือนเผ่าลี่กู่จะยากจนมาก ไม่ต้องพูดถึงความยากจนข้นแค้น ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรมีค่าอยู่ดี ทำลายแล้วก็ทำลายไปเถอะ
ไม่นาน ใบหูของสวี่ชีอันก็กระดิก ได้ยินเสียงฝีเท้าดังกระชั้นชิด
เขาจิบชาเก่าแก่ที่เห็นได้ชัดว่าซื้อมาจากที่ราบกลาง จากนั้นก็วางถ้วยกระเบื้องลงพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลี่น่ากลับมาแล้ว”
พอเสียงสิ้นสุดลง ลี่น่าก็เดินเข้ามาด้วยความโมโห ราวกับเพิ่งผ่านการทะเลาะวิวาทมา
“อาจารย์ เสื้อผ้าของท่านขาดแล้ว”
สวี่หลิงอินชี้กระโปรงของนางราวกับมีการค้นพบอันยิ่งใหญ่
“เมื่อครู่ข้าทะเลาะกับบรรดาผู้อาวุโส”
นางพาสวี่ชีอันและคนอื่นออกจากลานขนาดใหญ่ เดินตามทางที่กว้างขวางและราบเรียบลงไปด้านล่าง จนมาถึงพื้นที่โล่งที่อยู่นอกสิ่งก่อสร้าง
สวี่ชีอันกวาดสายตามอง ค้นพบว่ามีคนมารวมตัวกันที่นี่เกือบร้อยคน
พวกเขาล้อมเป็นวงกลมหนึ่งวง ภายในวงกลมมีเก้าอี้หกตัว มีคนแก่หกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้
หลงถูไม่ได้นั่ง เขายืนอยู่ในวงกลม มือทั้งสองกอดอก ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอย่างทระนงองอาจ
สวี่ชีอันใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าคนแก่ทั้งหกคนนี้คือผู้อาวุโสของเผ่าลี่กู่ สิ่งนี้ค่อนข้างแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้ เดิมทีในความคิดของสวี่ชีอัน รูปลักษณ์ของผู้อาวุโสควรจะถือไม้เท้ายันพื้น เส้นผมเป็นสีขาวดอกเลา
พวกเขาเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว พลังชีวิตเสื่อมถอย แต่มีบารมีสูงมากในกลุ่มเผ่าพันธุ์ของตนเอง
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เป็นคำแทนของความคิดคร่ำครึและดื้อรั้น
แต่วันนี้ผู้อาวุโสเผ่าลี่กู่ทำลายภาพลักษณ์แต่เดิมของ ‘ผู้อาวุโส’ ที่อยู่ในหัวของสวี่ชีอันไปหมดสิ้น
พวกเขามีผมขาวเต็มศีรษะก็จริง แต่ไม่ได้แก่หง่อม มีกล้ามเนื้อที่พอจะเทียบกับนักเพาะกายได้ พลังชีวิตไม่ด้อยไปกว่าคนหนุ่มสาวเลย
เห็นลี่น่าพาคนต่างพื้นที่เข้ามา ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็กล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน
“เจ้าจะหนีทำไม เมื่อครู่ข้ายังไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดเลย โจมตีแค่นี้เจ้าก็ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว”
คิ้วของลี่น่าตั้งตรงทันที
“ชิ ข้าเห็นว่ากระดูกแก่ๆ ของท่านใกล้จะหักแล้ว ถึงยั้งมือให้”
ผู้อาวุโสที่มีผมสีขาวดอกเลา มีกล้ามเนื้อแน่นหนา ขยับกล้ามหน้าอกและทำเสียงแค่นจมูกกล่าว
“กล้ามเนื้อบนตัวข้าไม่ได้กินเจ”
ผู้อาวุโสอีกห้าคนก็เริ่มถอดเสื้อคลุม และโยนไม้เท้าพร้อมที่จะต่อสู้กับลี่น่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ จัดการเรื่องที่ลี่น่าแอบถ่ายทอดเคล็ดวิชาก่อนเถอะ”
หญิงสาวใบหน้าสวยสดงดงามที่มีผิวพรรณดำเกรียมตะโกนออกมา
“ยังคงเป็นอาจื่อที่ฉลาด”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า ไม่ติดใจเรื่องการต่อสู้ที่ชี้ขาดอีก
ประโยคนี้ทำให้คนเผ่าลี่กู่ที่อยู่บริเวณรอบๆ และบรรดาผู้อาวุโสเบนความสนใจมาที่ประเด็นหลัก
ฝูงชนมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขามองดูลี่น่าและคนต่างพื้นที่ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ มู่หนานจือกับไป๋จีรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย เผ่าลี่กู่ที่ ‘ซื่อๆ’ กลุ่มนี้ จู่ๆ ก็ดูเย็นเยือกและเฉยเมยขึ้นมา
แม้แต่ตอนที่มองลี่น่าซึ่งเป็นคนเผ่าเดียวกัน สายตาของพวกเขาก็เย็นชามาก สิ่งนี้ทำให้มู่หนานจือรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวในกฎของเผ่าลี่กู่มากขึ้นกว่าเดิม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง