สรุปเนื้อหา บทที่ 669 การประชุมลับ – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet
บท บทที่ 669 การประชุมลับ ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
บทที่ 669 การประชุมลับ
แม่ย่าแห่งเทียนกู่เงยหน้าขึ้นมองในทิศทางเดียวกันและละสายตาไปอย่างเงียบงัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่หลายคนก็รู้ว่าหลงถูมาแน่
เคล็ดวิชาเพ่งปราณของโหรสามารถมองเห็นสถานการณ์ของศัตรูได้ไกลหลายสิบลี้หรือแม้แต่หลายร้อยลี้ นอกจากอั้นกู่กับเทียนกู่แล้วก็ไม่มีวิธีใดที่จะยับยั้งเคล็ดวิชาเพ่งปราณจากชายแดนตอนใต้ได้เลย
โฉมงามผู้มีงูสีแดงตัวเล็กสองตัวที่ติ่งหูและดวงตางามดั่งลูกกวางกลอกตาไปมาเล็กน้อย
เพียงชั่วเวลาจิบชาหนึ่งชาม ทุกคนในลานก็รู้สึกว่าพื้นสั่นสะเทือน ความถี่ในการสั่นสะเทือนยังคงเดิม ทว่าแรงกระแทกนั้นกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
‘แม้เผ่าลี่กู่จะมีชื่อเสียงด้านพลังที่แปลกประหลาด แต่ถ้าหัวหน้าเผ่าลี่กู่ควบคุมพลังความแข็งแกร่งของตัวเองไม่ได้ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไปแล้ว’…เก่อเหวินซวนจ้องเขม็งและคาดเดาอย่างกล้าหาญในใจ
เมื่อยี่สิบปีก่อนหลงถูอยู่ที่จุดสูงสุดขั้นสามและตลอดยี่สิบปีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาช่างรวดเร็วนัก แม้ระดับของเขาจะไม่เพิ่มขึ้น แต่รากฐานของเขาก็ควรจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
บางทีเขาอาจอยู่ในสถานะสะสมพลังไปเรื่อยๆ และสภาพแผ่นดินไหวสะเทือนทุกครั้งที่ก้าวเดินย่อมแสดงให้เห็นว่าเขาควบคุมตัวเองได้ลำบากยากเย็นเพียงใดเมื่อเขาเข้าใกล้ระดับขั้นสองมากขึ้น
พื้นดินสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งแสงที่สาดส่องจากประตูทางเข้ายังถูกปิดกั้นด้วยอะไรบางอย่าง
ทุกคนมองไปทางด้านข้างและเห็นยักษ์สูงเก้าฉื่อเดินค้อมหลังเข้ามาทั้งยังก้มหัวไปด้วย
พอถึงใต้ชานบ้านเขาก็ยืดตัวตรง ศีรษะเกือบถึงชายคาบ้าน
เมื่อเห็นร่างกายอันอุดมไปด้วยพลังปราณและโลหิตแล้ว หลวนอวี้สตรีร่างสูงสวมชุดผ้าโปร่งบางเบาดึงดูดใจก็แลบลิ้นสีชมพูของนางออกมาเลียริมฝีปากสีแดงของตัวเอง
นางมิได้ซ่อนแรงปรารถนาในดวงตานางเลย
สำหรับชนเผ่าชาวฉิงกู่นั้นย่อมถือเผ่าพันธุ์ลี่กู่เป็นเตาหลอมที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทหารจากที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่ในขณะที่ทหารจากที่ราบลุ่มภาคกลางอยู่ห่างออกไปไกลหลายหมื่นลี้ เผ่าพันธุ์ลี่กู่กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อม
และทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในเผ่าพันธุ์กู่ด้วยกัน เผ่าฉิงกู่ย่อมไม่มีทางโจมตีเผ่าลี่กู่ แต่เผ่าลี่กู่กลับมีกฎในเผ่าพันธุ์ที่เพ่งเล็งไปยังเผ่าฉิงกู่โดยเฉพาะ
ใครก็ตามที่มีสัมพันธ์กับสมาชิกเผ่าพันธุ์ฉิงกู่จะถูกฆ่าตายอย่างไร้ปรานี
“แม่ย่า!”
หลงถูส่งเสียงเรียกด้วยความเคารพ
เขาไม่สนใจหัวหน้าเผ่าคนอื่น
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่งเสียง “อืม”
“ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ครั้งนี้เพราะถ้าบอกทางจดหมายก็คงไม่ชัดเจน ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องที่ราบลุ่มภาคกลางแล้ว”
น้ำเสียงแม่ย่าอ่อนโยนใจดีตรงไปตรงมาดั่งคนที่ผจญเรื่องราวมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน
หลงถูและคนอื่นๆ ค้อมหัวให้เล็กน้อย
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พูดว่า “ท่านอาจารย์ของเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์ฉันมิตรสหายกับสามีที่ล่วงลับไปแล้วของข้า เขามาหาข้าพร้อมจดหมายจากท่านอาจารย์และคาดหวังให้ข้าเป็นผู้นำเรียกทุกคนมาประชุมเพื่อพูดคุยกัน”
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปยังโหรในชุดขาว
เก่อเหวินซวนมองไปที่หลงถูและแนะนำตัวเอง
“ข้าชื่อ เก่อเหวินซวน เป็นชาวเมืองอวิ๋นโจว”
เขาพูดแบบเดียวกันนี้กับหัวหน้าเผ่าหลายคนก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาพูดกับหลงถูเพียงผู้เดียว
หลงถูชำเลืองมองเขาโดยไม่แสดงความรู้สึกและแอบเอื้อมมืออีกข้างไปที่อ่างไม้ตรงหน้าแม่ย่าแห่งเทียนกู่แล้วคว้าตัวอ่อนไหมมาหนึ่งกำมือ
เพียะ!
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ตบออกไปหนึ่งฉาด
หลงถูยิ้มและเกาหัวตัวเอง
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ส่ายหัวช่วยไม่ได้แล้วผลักอ่างออกไป
หลงถูตาเป็นประกาย เขาคว้าอ่างไม้อย่างมีความสุข หยิบตัวอ่อนที่ดิ้นไปมาหนึ่งกำมือ ยัดเข้าไปในปากแล้วเคี้ยว เขาหลับตาลงและทำท่าครึกครื้น
เก่อเหวินซวนกลืนน้ำลายสกัดกั้นกระแสคลื่นเหียนแล้วหายใจเข้าลึกๆ และยิ้ม
“อาจารย์มอบหมายให้ข้ามาชักชวนท่าน ให้ท่านส่งกองกำลังไปโจมตีราชวงศ์ต้าฟ่ง”
หัวหน้าเผ่าพันธุ์ต่างๆ มีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่แปลกใจและไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทว่ามีเสียงแหบแห้งเฉยเมยดังมาจากใต้กระโปรงศพเดินได้ในเสื้อคลุม
“แล้วพวกเราได้ประโยชน์ใด?”
เก่อเหวินซวนพูดไปยิ้มไป
“ผลประโยชน์ที่ได้จากชัยชนะในสงครามย่อมเป็นสิ่งเกินจินตนาการ”
“ในยุทธการด่านซานไห่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว สำนักพุทธกับราชวงศ์ต้าฟ่งเป็นฝ่ายชนะ เรื่องราวในอดีตก็เหมือนตั้งไฟแรงปรุงอาหารในน้ำมันร้อน อันเป็นรากฐานที่เกี่ยวร้อยเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น
“แม้ว่าราชวงศ์ต้าฟ่งจะสูญเสียชะตาบ้านเมืองไปครึ่งหนึ่ง แต่ข้ากับอาจารย์ข้าคำนวณแล้วว่า ถ้าเรารวมเว่ยหยวนที่ตายไปในสนามรบ กับจักรพรรดิเจิ้นเต๋อที่ล้มลงก่อนเวลาอันควรเข้าไปด้วย ราชวงศ์ต้าฟ่งก็จะมียอดฝีมือเหนือมนุษย์อยู่ถึงแปดคนทีเดียว
“ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ของข้า กับตาเฒ่าเทียนกู่ขโมยชะตาบ้านเมืองของราชวงศ์ต้าฟ่งไปครึ่งหนึ่งแล้วละก็ ผู้เดียวในคิวชูที่สามารถยืนหยัดต่อต้านสำนักพุทธได้ในตอนนี้ก็ต้องเป็นราชวงศ์ต้าฟ่ง”
โฉมงามผู้มีแมงป่องอยู่ในฝ่ามือ และมีตุ้มหูเป็นงูตัวเล็กพูดเสียงแผ่ว “แม่ย่า พูดอะไรกัน เอียนเอ๋อไม่เข้าใจ”
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ถอนหายใจ
“เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เพื่อที่จะขโมยชะตาบ้านเมืองของราชวงศ์ต้าฟ่ง และซ่อมแซมรูปปั้นนักบุญขงจื๊อ ตาเฒ่าที่ตายไปแล้วจึงสมคบคิดกับศิษย์เอกของท่านโหราจารย์ เพื่อสนับสนุนยุทธการด่านซานไห่”
นางบอกหัวหน้าเผ่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปีนั้นโดยละเอียด
ใต้ลานมีแต่ความเงียบงัน
ในยุทธการด่านซานไห่ ยอดฝีมือเผ่าพันธุ์กู่หลายคนกลายเป็นคนตาย หลายคนกลายเป็นพวกเหนือมนุษย์
โฉมงามเล่นตุ้มหูและหรี่ดวงตากลมโตดั่งตากวาง
“การผนึกเทพกู่เป็นเป้าหมายของเผ่าพันธุ์กู่มาตลอดหลายพันปี พวกเราจะเข้าใจพฤติกรรมของตาเฒ่าเทียนกู่หรือจะเพิกเฉยก็ทำได้ แต่แล้วชะตาบ้านเมืองอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
เก่อเหวินซวนส่ายหัวและถอนหายใจ
“ชะตาบ้านเมืองยังคงอยู่กับราชวงศ์ต้าฟ่ง แต่ไม่ใช่ที่ราชวงศ์ต้าฟ่ง ตอนนี้มันอยู่ในร่างกายของสวี่ชีอัน”
คิ้วของหลงถูกระตุกอย่างรุนแรง
“สวี่ชีอันคือใคร?”
หลวนอวี้ถาม
หัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่หลายคนขมวดคิ้ว พวกเขาไม่คุ้นเคยกับบุคคลผู้นี้
หลงถูเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า
“เขาคือทหารอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าฟ่งในตอนนี้
‘ทหารอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าฟ่ง’…หลวนอวี้ตาเป็นประกายราวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เห็นตุ๊กตาตัวโปรดของนาง
เก่อเหวินซวนพูดต่อ “คนผู้นี้เป็นบุตรคนโตของอาจารย์ข้า เดิมทีจะใช้เป็นภาชนะบรรจุชะตาบ้านเมือง เมื่อนำชะตาบ้านเมืองออกไปแล้ว ภาชนะก็จะตาย ดังนั้นเขาจึงอยู่ในฐานะบุตรที่ถูกทอดทิ้ง
“แต่เมื่อภรรยาของอาจารย์ข้าตั้งครรภ์ จู่ๆ นางก็เปลี่ยนใจ แอบหนีไปจากเมืองอวิ๋นโจวและให้กำเนิดเขาที่เมืองหลวง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้ามาอยู่ในสายตาของท่านโหราจารย์และอาจารย์ก็ระมัดระวังมาก ห้ามปรามไม่ให้เข้าไปแทรกแซงเป็นเวลายี่สิบปี”
เก่อเหวินซวนไม่ได้พูดต่อไป ตราบใดที่หัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่รู้เรื่องคับข้องใจระหว่างสวี่ชีอันกับอาจารย์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียด
หัวหน้าหลายคนย่อมเข้าใจ
เก่อเหวินซวนพูดต่อ
“ทุกคนคงเคยได้ยินมาบ้าง ไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ในราชวงศ์ต้าฟ่ง ผู้พลัดถิ่นประสบภัยพิบัติ คลังหลวงว่างเปล่า ดังนั้นการบรรเทาภัยพิบัติจึงเป็นเรื่องยาก ทางตอนใต้ กองทัพเมืองอวิ๋นโจวก็เริ่มเดินทางขึ้นเหนือ ทางตะวันตกก็มีกองทัพจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันตกมารวมตัวกัน”
“สำนักพุทธก็เข้ามาแทรกแซงด้วยงั้นรึ?”
คนเผ่าพันธุ์กู่คุ้นเคยกับเรื่องนี้มานานแล้ว เผ่าอั้นกู่เป็นเหมือนเมืองที่ตายแล้ว ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน คนเผ่าพันธุ์นี้เก่งนักเรื่องซ่อนตัว
แต่คนอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง บางครั้งท่านอาจหาคนเผ่าอั้นกู่จากเงาดำด้านล่างได้โดยการพลิกก้อนหิน หรือถ้าท่านบังเอิญตกลงไปในหลุมลึก พวกเผ่าพันธุ์อั้นกู่ในนั้นจะทักทายท่านและพูดว่า ‘ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ เจ้าก็ลงมาด้วย!’
หลวนอวี้ยิ้มและพูดว่า
“หลงถู กองกำลังเผ่าลี่กู่ของพวกท่านอยู่ที่ไหนล่ะ?”
หุ่นเชิดศพเดินได้พูดเบาๆ
“เขาจะปฏิเสธอะไรได้ เผ่าลี่กู่ทำได้ทุกอย่างเพื่อการกิน”
ทุกคนมองไปที่หลงถู
ใบหน้ายักษ์หยาบกร้านนั้นไร้ความรู้สึก เขาชำเลืองมองเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ จากนั้นมองไปที่เก่อเหวินซวนแล้วพูดเบาๆ ว่า
“ไม่ว่าจะเป็นการผนึกเทพกู่หรือการปันส่วนที่สามารถตอบสนองความต้องการของเผ่าพันธุ์ลี่กู่ได้ ล้วนเป็นเงื่อนไขที่น่าตื่นเต้นยิ่ง”
ไม่อาจหยุดยั้งรอยยิ้มที่แพร่กระจายอยู่บนหน้าเก่อเหวินซวนได้
“แต่ข้าปฏิเสธ!”
หลงถูพูดเบาๆ
จู่ๆ ใบหน้าของเก่อเหวินซวนก็แข็งทื่อ เขาเงยหน้าขึ้นมองหลงถูด้วยอาการไม่อยากจะเชื่อ
…
ในพื้นที่ภาคกลางของชายแดนตอนใต้มีเหวลึกอยู่แห่งหนึ่ง เป็นรอยแยกบนพื้นดินที่ทอดยาวหลายร้อยลี้และไม่มีที่สิ้นสุด
รอบรอยแยกนี้เป็นป่าดึกดำบรรพ์ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ที่นี่มีแมลงและสัตว์มีพิษอาศัยอยู่นับไม่ถ้วน
โดยทั่วไปแล้ว สามารถแบ่งธรรมชาติของกู่ได้เป็นเจ็ดประเภทตามความสามารถของพวกมัน ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถเจ็ดเทพกู่
บนพื้นที่รกร้างตามเขตชายป่าดึกดำบรรพ์ เหล่าผู้อาวุโสเผ่าลี่กู่มาถึงเหวลึกพร้อมๆ กับสวี่หลิงอินผู้ที่ทำสัญญาเป็นศิษย์ของพวกเขา
“พลังที่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณนี้สอดคล้องกับความเป็นลี่กู่ ยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เอาที่นี่แหละ”
ผู้อาวุโสใหญ่แตะศีรษะลูกศิษย์ที่รักของเขาและพูดอย่างอ่อนโยน “เจ้าจำวิธีลับที่ข้าสอนเจ้าเมื่อครู่นี้ได้หรือไม่”
สวี่หลิงอินส่ายหัว “ข้าลืมมันไปหมดแล้ว”
“ดี!”
ผู้อาวุโสใหญ่ยกย่อง Wจิตใจของเด็กย่อมบริสุทธิ์และสะอาด เขาย่อมเป็นอัจฉริยะที่เหมาะสมในการฝึกฝนพลังลี่กู่”
ผู้อาวุโสผมหงอกรูปกายแข็งแกร่งอีกห้าคนก็แสดงสีหน้าพึงพอใจเช่นกัน…มู่หนานจือกับสวี่ชีอันที่อยู่ข้างๆ พวกเขากลับมีสีหน้าว่างเปล่า
ไป๋จียังรู้สึกว่าบุรุษจากชายแดนตอนใต้ผู้นี้ค่อนข้างผิดปกติ แต่เนื่องมาจากความรู้เพียงน้อยนิดและนางเยาว์วัยเกินไปจึงไม่อาจประเมินได้อย่างแม่นยำ
เมื่อไม่นานมานี้เอง ผู้อาวุโสกับหัวหน้าเผ่าลี่กู่รวมถึงลี่น่าเด็กสาวผู้น่าชังก็เกือบจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสวี่หลิงอิน
เหล่าผู้อาวุโสถลกแขนเสื้อขึ้น ขว้างไม้พลองออกมาและกำลังจะต่อสู้กับหัวหน้าเผ่าอย่างสิ้นหวัง
เหล่าสมาชิกในเผ่าพันธุ์ต่างปรบมือกันยกใหญ่ รอดูหัวหน้าเผ่าทุบตีผู้อาวุโสจนตาย หรือผู้อาวุโสทุบตีหัวหน้าเผ่าจนตาย
สวี่ชีอันคิดแผนการอันชาญฉลาดให้พวกเขา หัวหน้าเผ่าหลงถูยอมรับสวี่หลิงอินเป็นศิษย์ ผู้อาวุโสทั้งหกทำสัญญารับนางเป็นศิษย์ ส่วนลี่น่า นางจะสอนทักษะพิเศษของนางให้ในนามของบิดานาง
สวี่ชีอันได้รับการยกย่องจากทุกคนในเผ่าลี่กู่ว่าฉลาดเฉลียว และเขายังได้รับการจัดอันดับว่ามีพรสวรรค์ “ฉลาดพอๆ กับแม่นางอาซี”
“อย่าลืมล่ะว่าห้ามกลัว ข้าจะเป็นอาจารย์คอยชี้แนะให้เจ้าดูดซับพลังลี่กู่เอง”
ใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่เป็นมิตร ยิ่งเขามองใบหน้าเล็กๆ ที่ไร้เดียงสานี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิดกับนางมากขึ้น นางเหมือนกับลูกของเขาในเผ่าลี่กู่
ในเวลานี้ ลำคอของสวี่ชีอันร้อนผ่าว เขารู้สึกว่าเจ็ดยอดกู่ที่หลับใหลอยู่ได้ตื่นขึ้นแล้ว และเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสูดรับพลังในพื้นที่แห่งนี้
……………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...