ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 670

สรุปบท บทที่ 670 พลังของเทพเจ้ากู่: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 670 พลังของเทพเจ้ากู่ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 670 พลังของเทพเจ้ากู่ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 670 พลังของเทพเจ้ากู่

“หัวหน้าเผ่าหลงถู ท่านพูดอะไรนะขอรับ”

เก่อเหวินซวนเกือบจะแคะหูดูว่าตนเองมีปัญหาทางการได้ยินหรือไม่

เมื่อเขามาถึงซินเจียงตอนใต้ในฐานะผู้เจรจา อาจารย์ได้ให้ข้อมูลโดยละเอียดกับเขามาฉบับหนึ่ง ประกอบด้วยสถานการณ์ภายในเผ่าพันธุ์กู่ทั้งเจ็ด จุดอ่อนและความชอบของเหล่าผู้นำเผ่าแต่ละเผ่า

ปัญหาใหญ่ที่สุดของลี่กู่คืออาหาร

คนในชนเผ่านี้กินจุ สมาชิกเผ่าแต่ละคนต้องกินอาหารในปริมาณถึงสิบเท่าของผู้ชายโตเต็มวัย หรือมากกว่านั้น

ทรัพยากรอาหารที่ขาดแคลน จำกัดทั้งประชากรเผ่าและการพัฒนาด้านอื่นๆ ในขณะที่เผ่าอื่นๆ อีกหกเผ่าอาศัยอยู่ในบ้านอิฐกันหมดแล้ว เผ่าลี่กู่ยังอาศัยอยู่ในบ้านดินเหลืองมุงจาก

ในขณะที่เผ่าอื่นสร้างถนน เทียมรถม้า ตีชุดเกราะ ทำเครื่องเหล็กกันนั้น เผ่าลี่กู่ยังมัวแต่คิดว่าจะขโมยม้าของคนในเผ่ากลับไปกินที่บ้านได้อย่างไร

เผ่าอื่นๆ สวมชุดผ้าไหม เผ่าลี่กู่ยังนุ่งห่มอาภรณ์ตัดเย็บจากหนังสัตว์ ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้จักวิธีการเลี้ยงหม่อนไหม แต่นั่นเป็นการเสียเวลาเปล่า

ดังนั้น ในสายตาของเก่อเหวินซวน การโจมตีต้าฟ่ง ปกครองผู้คนในภาคกลาง แล้วให้พวกเขาส่งส่วยผลิตอาหารมาป้อนพวกตน เป็นกลยุทธ์ต่างแดนที่ยั่งยืนที่สุดของลี่กู่

เผ่าลี่กู่มีทั้งแรงจูงใจและความต้องการในการเริ่มสงคราม เป็นผลให้แม้แต่ตู๋กู่ที่ไม่สนใจดินแดนที่ราบลุ่มภาคกลางยังตอบรับข้อเสนอ แต่ลี่กู่กลับปฏิเสธงั้นหรือ

มิใช่เพียงเก่อเหวินซวนเท่านั้นที่สับสน แม้แต่ผู้นำเผ่าพันธุ์กู่ทั้งหลายก็ยังประหลาดใจ คิดว่าตนหูฝาดไปหรือไม่

ตู๋กู่เอ่ยพึมพำกับตนเอง

“หลงถู เจ้าเผลอไปกินอาหารในเผ่าของข้าจนหมดหรือไร”

มนุษย์ศพในเสื้อคลุมเงยหน้าขึ้นในที่สุด จ้องมองหลงถูด้วยม่านตาขาวน่ากลัวอย่างสงสัย

“ข้าคิดว่าเขาคงจะหิวจนสับสนไป ใจคอพวกเจ้าเผ่าลี่กู่จะอยู่อาศัยในเขาป๋ออันคับแคบ ปล่อยให้ลูกหลานอยู่ในกระท่อมมุงจากไปตลอดกาลเลยหรือไร”

หัวหน้าเผ่าหญิงสองคนจากเผ่าฉิงกู่และซินกู่ไม่เอ่ยปากว่ากระไร คนหนึ่งแลบลิ้นเลียริมฝีปากแดงระเรื่อของตนด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกคนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ส่วนหัวหน้าเผ่าอั้นกู่ที่ไม่รู้ว่าซ่อนตัวอยู่ที่ใดก็ไม่ปรากฏตัวและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาเช่นกัน

แม่ย่าแห่งเทียนกู่เช็ดมือสองข้างกับผ้ากันเปื้อน และถามคำถามแทนทุกคน

“เป็นอะไรไปเล่า”

หลงถูกล่าว “ลี่น่ากลับมาแล้ว”

ดวงตาของแม่ย่าแห่งเทียนกู่พลันสว่างวาววับขึ้นมาทันที

หลงถูกวาดตามองเหล่าหัวหน้าเผ่าทั้งหลาย “นางพาสหายมาด้วย หนึ่งในนั้นมีนามว่าสวี่ชีอัน”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลงถูก็เห็นชายในชุดขาวสีหน้าเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน

สวี่ชีอัน…เหล่าหัวหน้าเผ่าพันธุ์กู่เมื่อได้ยินชื่อนี้ก็มีปฏิกิริยาต่างกันออกไป

หัวหน้าเผ่าตู๋กู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังหวาดกลัวเล็กๆ

งูสองตัวเล็กๆ ที่เกี่ยวกระหวัดอยู่ที่ติ่งหูของหัวหน้าเผ่าซินกู่เหยียดตัวตรง ส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ใส่แม่ย่าแห่งเทียนกู่

นางสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นเล็กๆ ในใจของแม่ย่าแห่งเทียนกู่ แม้จะหายไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาหัวหน้าเผ่าซินกู่อย่างนางได้

‘จิตร่วม’ และ ‘ควบคุม’ เป็นความสามารถหลักของซินกู่

ดวงตาคู่งามของหลวนอวี้เป็นประกาย ในหัวของนางมีเพียงคำว่า ‘จอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง!’

หัวหน้าเผ่าซือกู่ ควบคุมมนุษย์ศพให้เอ่ยปากเสียงเย็นยะเยือก

“พวกเจ้าลองสังหารเขาดูสิ”

เก่อเหวินซวนดวงตาสว่างวาบขึ้นมา นี่เป็นโอกาสอันดีในการไล่ล่าสวี่ชีอัน

ต่ำกว่าขั้นหนึ่ง ไม่มีใครต้านทานการล้อมสังหารของยอดฝีมือเผ่าพันธุ์กู่ได้ ขั้นสองยังต้องเก็บกดความเคียดแค้นไว้

หากเขาสามารถชักจูงให้เผ่าพันธุ์กู่ซุ่มโจมตี และสังหารสวี่ชีอันได้ เขาอาจจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในซินเจียงตอนใต้ แบบที่อาจารย์ก็ไม่สามารถทำได้

หลงถูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น กวาดตามองผู้คนรอบข้างอย่างเย็นชา

“เจ็ดเผ่าพันธุ์กู่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน พวกเจ้าอยากจะโจมตีต้าฟ่ง เป็นเรื่องของพวกเจ้า”

“เพียงเพราะสวี่ชีอันเป็นสหายกับลูกสาวของเจ้าน่ะหรือ”

หัวหน้าเผ่าอั้นกู่ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเอ่ยถามด้วยสงสัย เสียงทุ้มต่ำดังก้องไปทั่วบริเวณลานบ้าน

“ไม่ใช่!” หลงถูคลี่ยิ้ม “ข้ารับศิษย์อัจฉริยะคนใหม่เข้ามา นางเป็นน้องสาวของสวี่ชีอัน”

“เพราะลูกศิษย์คนเดียวเนี่ยนะ?” หลวนอวี้เอ่ยถามด้วยเสียงกังวานใสน่าฟัง

คนทั้งกลุ่มจ้องมองหลงถูด้วยสายตาเหมือนจ้องมองคนโง่ คนของลี่กู่ไม่ค่อยฉลาดเฉลียวอยู่แล้ว แต่ไม่น่าจะโง่เง่าถึงขั้นนี้

การรับคนจากที่ราบลุ่มภาคกลางมาเป็นสาวกเดิมทีก็เป็นการกระทำที่ไร้สมองอยู่แล้ว ซ้ำยังผิดกฎข้อห้ามของเผ่าพันธุ์กู่อีกต่างหาก

แต่การละทิ้งแผนการพัฒนาเผ่าพันธุ์ เพื่อลูกศิษย์จากราบลุ่มภาคกลางนั้นเป็นเรื่องที่โง่เง่ายิ่งกว่า

หลงถูกล่าวเรียบๆ

“ในเมื่อพวกเจ้าฉลาดกันนัก เหตุใดไม่ลองไตร่ตรองดูเล่าว่าเหตุใดข้าถึงยอมฝ่าฝืนกฎ รับคนจากที่ราบลุ่มภาคกลางมาเป็นศิษย์ด้วย”

ใบหน้าหยาบกร้านเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน

“การพัฒนาเผ่าพันธุ์และการปลูกฝังผู้สืบทอดที่มีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานนั้นสำคัญพอกัน

“หากโจมตีต้าฟ่ง ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหลังจากโค่นล้มราชวงศ์ต้าฟ่งได้แล้ว จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายกันมากเพียงใด แล้วศิษย์เอกของท่านโหราจารย์นั่นจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้จริงหรือ แม้ว่าเขาทำได้ หลังจากพ่ายแพ้พวกเราก็ต้องคว้าน้ำเหลว สิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่เราต้องแบกรับ เช่นเดียวกับการล่าสัตว์ เหยื่อที่ดูเจ้าเล่ห์เกินไป เราไม่ต้องการ

“สู้เอาเวลาที่เสียไปกับการล่ามัน ไปล่าเหยื่อที่ไม่ค่อยฉลาดได้อีกมากโข

“ดังนั้นข้าจึงเลือกวิธีอย่างหลัง นี่เป็นวิธีที่พอจะเห็นผล และยังไม่สุ่มเสี่ยงเกินไป”

หากเผ่าลี่กู่โจมตีต้าฟ่ง สวี่ชีอันย่อมต้องแตกหักกับเผ่าลี่กู่อย่างแน่นอน สวี่หลิงอิน ศิษย์ใหม่ที่รับเข้ามาก็ต้องถูกพรากไปในพริบตา

หลังจากผ่านไปราวๆ สิบวินาที เหล่าหัวหน้าเผ่าก็เริ่มเข้าใจความหมายแฝงที่เข้าสื่อ หลวนอวี้เอ่ยถามด้วยท่าทียากจะเชื่อ

“เจ้าจะบอกว่าลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่คนนั้น ต่อไปจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่จะมาคานอำนาจได้งั้นหรือ”

หลงถูหัวเราะอย่างภูมิอกภูมิใจ

“พรสวรรค์ของนางดีกว่าข้า ดีกว่าลี่น่าเสียด้วยซ้ำ”

ลี่น่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งอยู่แล้ว นี่หมายความว่าในภายภาคหน้า เผ่าลี่กู่จะมีเหนือมนุษย์ถึงสองคน

หากเพิ่มตนเองเข้าไป ก็กลายเป็นสามคน

เมื่อหลงถูคิดถึงอนาคตเช่นนั้น เลือดก็สูบฉีดด้วยความตื่นเต้น

เขาจะฉีกภาพอนาคตที่สวยงามลงกับมือได้อย่างไร

“พวกเจ้าอยากจะโจมตีต้าฟ่งก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า จะล้อมสังหารสวี่ชีอันข้าก็จะไม่ห้าม”

หลงถูพูดจบ ก็หันไปพยักหน้าให้กับแม่ย่าแห่งเทียนกู่ ค้อมศีรษะเดินออกไปจากลานบ้านเสีย

ทุกคนเฝ้ามองดูเขาจากไปเงียบๆ

เก่อเหวินซวนส่งเสียงกระแอมไอหนึ่งครั้ง และพยายามเกลี้ยกล่อม

“ท่านหัวหน้าเผ่าทุกท่าน สวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของต้าฟ่ง ทั้งยังเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการทำลายต้าฟ่งอีกด้วย หากสามารถสังหารเขาที่นี่ได้ การทำลายต้าฟ่งก็เหมือนดั่งตอกตะปูลงบนไม้กระดาน

“หากทำการใหญ่สำเร็จ อนาคตก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมมิใช่หรือ”

คำพูดของเขามีความปลุกเร้าอย่างรุนแรง ไม่มีการปิดบัง

เก่อเหวินซวนเชื่อว่าเหล่าหัวหน้าเผ่าจะตัดสินใจเลือกทางที่ถูกต้อง คำพูดเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับกลุ่มที่เป็นกลางหรือเป็นพันธมิตร แต่เผ่าพันธุ์กู่และต้าฟ่งมีเรื่องบาดหมางกันอยู่

ตราบใดที่พวกเขายังชิงชังต้าฟ่ง ตราบใดที่พวกเขาตกลงว่าจะส่งกองกำลังให้ เวลานี้ก็เป็นโอกาสเหมาะที่จะล้อมสังหารสวี่ชีอัน

เขาเชื่อว่าเหล่าหัวหน้าเผ่าต้องเข้าใจเรื่องนี้

ทันทีที่พวกเขาสังหารสวี่ชีอัน พวกเขาก็จะต้องเข้ามาอยู่บนกระดานหมากโดยสมบูรณ์ ต้องลงเรือลำเดียวกับข้าเท่านั้น…เก่อเหวินซวนลอบคิดในใจ

“ท่านหัวหน้าเผ่าซือโหยว ข้าลืมบอกท่านไป สวี่ชีอันผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของเว่ยเยวียน เป็นลูกน้องที่เว่ยเยวียนไว้ใจมากที่สุด”

เก่อเหวินซวนมองไปทางหลวนอวี้ แล้วกล่าวยิ้มๆ

“สวี่ชีอันไม่เพียงแต่เป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง แต่ยังได้รับพลังเทพวชิระจากสำนักพุทธ มีสายเลือดพลังเทพวชิระ แม้ว่าจะยังเทียบกับเทพอารักษ์ไม่ได้ แต่ก็ห่างชั้นกันเพียงเล็กน้อย

เมื่อเห็นนางตอบสนองอย่างมีความสุขเช่นนี้ เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างมองหน้ากันอย่างเคร่งขรึม ไม่คลายความระแวง

ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกพวกเขาว่าคนของชนเผ่าลี่กู่ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องอาหารของวันนี้หรือพรุ่งนี้

สิ่งนี้ทำให้พลังของเทพเจ้ากู่ยุ่งเหยิง สร้างความเสียหายต่อร่างกายได้ ด้วยเหตุนี้ชาวเผ่าทั่วไปจึงต้องให้ผู้อาวุโสสะสางพลังของเทพเจ้ากู่อยู่ข้างกาย

“เริ่มกันเถิด!”

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าว

ผู้อาวุโสพยักหน้า นิ้วมือที่แตะต้นคอของสวี่หลิงอินพองตัวและหนาขึ้น

บนผิวหนังอ่อนนุ่มที่ต้นคอของสวี่หลิงอิน มีร่างของหนอนโผล่ออกมา มันคือลี่กู่หลอมรวมเข้ากับกระดูกสันหลังของนาง เป็นลูกหนอนกู่ที่เกิดจากแม่หนอนกู่ของลี่น่า

ลูกกู่ตัวนี้ถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังปราณโลหิตจากผู้อาวุโส มันเขมือบพลังภายนอกอย่างตะกละตะกลาม

เมื่อเห็นดังนั้น ผู้อาวุโสก็ถอนมือออก แต่กู่เจ้าชะตาที่ตื่นขึ้นมาแล้วตัวนี้ยังกัดกินไม่หยุด มันเริ่มเบนเป้าหมายไปกลืนกินพลังของคนรอบข้างแทน

อีกด้านหนึ่ง รูปม่านตาของสวี่ชีอันเปลี่ยนเป็นแนวตั้งสีเขียวเหมือนแมลง

เขาเห็นสิ่งที่เรียกว่าพลังของเทพเจ้ากู่ เป็นหิ่งห้อยสีแดงและสีดำบินวนอยู่รอบๆ บางเบาทว่าสะดุดตา

ที่แท้พลังจากเทพเจ้ากู่ที่เผ่าลี่กู่ดูดกลืน คือปราณโลหิตจากเทพเจ้ากู่นั่นเอง…สวี่ชีอันกระจ่างชัดขึ้นมาทันที

ปราณโลหิตของพลังเทพเจ้ากู่ไม่เหมือนกับของจอมยุทธ์ หากกลืนกินโดยไม่ระวังจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดได้ ไม่แปลกใจเลยที่สัตว์และพืชที่อาศัยอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปีถึงได้กลายเป็น ‘กู่’

สวี่ชีอันพยายามที่จะดูดซับ ‘หิ่งห้อย’ สีดำและสีแดงบางส่วนและได้ข้อสรุป

พวกมันไม่สามารถถูกจอมยุทธ์ดูดกลืนและนำไปใช้ได้โดยตรง จำต้องบีบให้มันกัดกินกันเอง จนกลายเป็นสัตว์ประหลาด หรือไม่ก็ต้องกำจัดพวกมันออกไป นอกเสียจากว่าภายในร่างกายจะมีลี่กู่อยู่

ลี่กู่เปรียบเสมือนตัวกรอง ‘สารพิษ’ จากเทพเจ้ากู่

หลังจากยืนยันแล้วว่าปราณโลหิตของเทพเจ้ากู่ไม่สามารถทำอันตรายต่อตัวเขาได้ สวี่ชีอันก็ปลีกตัวออกไปไกล ปลดปล่อยพลังของเจ็ดยอดกู่ที่ถูกผนึกไว้ ปล่อยให้กลืนกินปราณโลหิตของปราณโลหิตเทพเจ้ากู่โดยรอบ

นี่เป็นการหลีกเลี่ยงการแช่งยิงขุมพลังของเสี่ยวโต้วติง

เมื่อเวลาผ่านไป พลังของปราณโลหิตรอบด้านก็ถดถอยลง

“อัจฉริยะ!”

ผู้อาวุโสรู้สึกตะลึง เขาเห็นลี่กู่ที่อยู่บนต้นคอของสวี่หลิงอินกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ราบรื่น ไม่มีสัญญาณของความผิดปกติใดๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ดูแล้วท่าทางจะยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ

แต่พลังที่นางดูดกลืนเข้าไป มีปริมาณเกินกว่าที่ชาวเผ่าลี่กู่ทั่วไปต้องการแล้ว

แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของเด็กคนนี้มีมากกว่าที่พวกเขาคาดคิด

“นางเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวแก้

“นางตั้งจิตให้เป็นอิสระได้อย่างไร”

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจ เอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยความสับสน

จิตใจของเด็กๆ นั้นช่างเรียบง่าย ทว่าความคิดนั้นยุ่งเหยิงที่สุด ซับซ้อนเสียยิ่งกว่าผู้ใหญ่ เพราะพวกเด็กๆ ไม่สามารถควบคุมจินตนาการสุดบรรเจิดของตนได้

“ไม่รู้ เช่นนี้ก็หมายความว่าศิษย์ของข้าคนนี้ นางเป็นอัจฉริยะที่ยังไม่เคยถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์น่ะสิ” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นของตน

“วันข้างหน้าข้าจะให้หลานชายแต่งงานกับนาง” ผู้อาวุโสลั่นวาจาดังสนั่น

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทำสีหน้าหวาดระแวงและเป็นปฏิปักษ์ หลังจากสบสายตา พวกเขาก็ถอยห่างจากกัน แววตาแปรเปลี่ยนเป็นความระแวดระวังและพร้อมต่อสู้

ในตอนนี้เอง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็หันไปมองรอบๆ

“พลังเทพเจ้ากู่รอบๆ เบาบางลงงั้นหรือ”

…………………………………………………….

[1] 合纵连横 ประสานพันธมิตรน้อมสวามิภักดิ์ เป็นกลยุทธ์การทำศึกในสมัยยุครณรัฐ (战国 425-221 B.C.) คือการรวมตัวของรัฐที่อ่อนแอเพื่อป้องกันการรุนรานและผนวกเข้ากับรัฐที่แข็งแกร่งกว่า ในขณะเดียวกันก็น้อมสวามิภักดิ์กับรัฐที่แข็งแกร่งเพื่อให้อีกฝ่ายสนับสนุนการโจมตีรัฐอื่นๆ และขยายดินแดนต่อไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง