ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 672

บทที่ 672 กลยุทธ์รับมือ

คอเกิดอาการชาและปวดสาหัสไปชั่วขณะ ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่มนุษย์ปกติจะต้านได้…

สวี่ชีอันที่มีเคยมีประสบการณ์สองครั้งรู้ว่านี่เป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากเจ็ดยอดกู่ผสานเข้าสู่ร่างกายไปอีกขั้นยามที่มันเจริญเติบโตและสะเทือนไปถึงประสาทกระดูกสันหลัง

สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธินิ่งไม่ขยับ หลับตาจดต่อ อดทนต่อความเจ็บปวด

ไม่นานนักความเจ็บปวดก็ทุเลาลงและหายไปในเวลาต่อมา เจ็ดยอดกู่ผ่านช่วงวัยผู้ใหญ่ในขั้นที่สองไปอย่างราบรื่น แล้วเข้าสู่ ‘ช่วงวัยเด็ก’ ในขั้นที่สาม

สวี่ชีอันไม่ได้ลืมตาขึ้น สำรวจความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากเจ็ดยอดกู่ ความสามารถของเทียนกู่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็น ‘วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน’ กลายเป็นพื้นฐานของเจ็ดยอดกู่ พื้นฐานของเทียนกู่ได้พัฒนาไปถึงขีดสุด

สำหรับความสามารถสอดแนมชะตาของเทียนกู่ สวี่ชีอันสงสัยว่าเจ็ดยอดกู่ต้องเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์เป็นอย่างน้อย หรือถึงขั้นต้องการขั้นสองถึงจะได้

‘บ้าคลั่ง’ ของลี่กู่และ ‘ร่างพิษ’ ของตู๋กู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ฉิงกู่ได้เพิ่มความสามารถเข้ามาใหม่…ดูดซับพลังตัณหาของสิ่งมีชีวิตรอบข้าง

ความสามารถนี้ทำให้เขาไม่ต้องคิดถึงเทียนคุน ขอเพียงหล่อเลี้ยงฉิงกู่ผ่านการดูดซับตัณหาของสิ่งมีชีวิตรอบข้างก็จะเลื่อนระดับได้อย่างมั่นคง เหมือนกับจอมยุทธ์ฝึกลมหายใจและหลอมปราณ

นอกจากนี้พลังตัณหาเหล่านี้เก็บสำรองและปลดปล่อยยามเผชิญหน้ากับศัตรูได้

ตัณหาร้ายแรงกว่าสารพิษในบางครั้ง เพราะมันจะกระตุ้นการทำงานของร่างกาย พลังชีวิตอันแกร่งกล้าของจอมยุทธ์อาจจะไม่กลัวพิษ ทว่ามิอาจต้านทานฮอร์โมนที่หลั่งอย่างบ้าคลั่งได้

การหลั่งสารฮอร์โมนไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย กลไกป้องกันของร่างกายจะไม่ต่อต้าน

การเติบโตของซือกู่มีอยู่สองอย่าง

หนึ่ง ควบคุมการเพิ่มจำนวนและยกระดับของซากศพเดินได้ให้สูงขึ้นได้ สอง เจตจำนงของเจ้าของส่งมาถึงร่างของศพเดินได้ เฉกเช่นเดียวกับร่างอวตาร และควบคุมความสามารถของศพเดินได้

อั้นกู่ก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ขอบเขตความสามารถระดับนี้ของมันสมดุลมาก เงามืดกระโดดขยายตัวไปในวงกว้าง จนถึงระดับ ‘กระโดดไปได้เท่าที่สายตามองเห็น’

นอกจากนี้ยังพาคนตั้งแต่หนึ่งเพิ่มไปถึงสี่คนได้

เวลาที่กลายร่างเป็นเงามืดก็ขยายออกไปเช่นกัน ขอเพียงสวี่ชีอันยินยอม เขาจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดตลอดเวลาโดยไม่ปรากฏตัวเลยก็ได้ จนกว่าพลังกายจะหมด

ในด้านการโจมตี อั้นกู่ก็มีทักษะใหม่เรียกว่า ‘อำพราง’

สร้างเงามืดอำพรางประสาทสัมผัสทั้งห้าและทวารทั้งหกของศัตรู ทำให้เขา ‘ตาบอด’ ทว่ามิอาจควบคุมลางสังหรณ์อันตรายของจอมยุทธ์ได้

ด้านการป้องกัน อั้นกู่ก็มีทักษะเพิ่มขึ้นมาเรียกว่า ‘เงามืด’

อธิบายง่ายๆ ก็คือร่างกายจะกลายเป็นเงามืดที่ไร้ร่างและไร้สสาร ทำให้การโจมตีของศัตรูเป็นศูนย์

สุดท้ายก็คือซินกู่ เมื่อมาถึงระดับปัจจุบัน ในที่สุดสวี่ชีอันก็เข้าใจว่าเหตุใดซินกู่ถึงถูกเรียกว่ากู่สัตว์ร้าย

ซินกู่และหมูกู่ก็เป็นเหมือนหน่วยประมวลผลกลางที่ระดมกำลังและควบคุมกองทัพสัตว์ร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ อาจจะมีนายพลที่เข้าใจการเดินทัพและสู้รบกว่าเขาอยู่ในโลกก็ได้ ทว่าไม่มีกองทัพใดในโลกจะมีสมรรถภาพในการประสานงานเหนือปรมาจารย์ซินกู่เหนือมนุษย์ได้

นอกจากนี้ซินกู่ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตสติปัญญาต่ำ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงมนุษย์ สัตว์ร้าย และอาวุธศักดิ์สิทธิ์

ยิ่งสติปัญญาสูง ซินกู่ก็จะยิ่งควบคุมยาก หากในทางกลับกันจะยิ่งควบคุมง่าย

ทว่านี่ก็ไม่แน่นอน หากสิ่งมีชีวิตที่สติปัญญาสูงถูกซินกู่ควบคุมเป็นระยะยาวก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสติปัญญาต่ำ หลุดออกจากการควบคุมของปรมาจารย์ซินกู่ได้ยาก

นี่ทำให้สวี่ชีอันนึกถึงเขตป่าที่อบอวลด้วยพลังของซินกู่ สิ่งมีชีวิตด้านในไม่ว่าจะมีสติปัญญาสูงหรือต่ำต่างก็กลายเป็นหน่วยกล้าตายที่รู้จักเพียงเชื่อฟังคำสั่ง

ทว่าปรมาจารย์ซินกู่ก็มีจุดอ่อนร้ายแรงอย่างหนึ่ง พลังต่อสู้เดี่ยวต่ำเกินไป ไม่มีทักษะป้องกันตัวที่เพียงพอ

“มีเพียงพ่อมดเท่านั้นที่จะแข่งกับปรมาจารย์ซินกู่ในสนามรบได้ ไม่รู้ว่าเว่ยกงเอาชนะสงครามด่านซานไห่ในตอนนั้นได้อย่างไร อืม ข้านึกวิธีควบคุมวิชาบังคังศพของพ่อมดและปรมาจารย์ซินกู่ออกแล้ว มีเพียงปืนใหญ่เท่านั้น ความจริงอยู่ภายใต้ขอบเขต…”

สวี่ชีอันถอนใจอยู่ภายในใจพลางลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาพลันหดตัว กล้ามเนื้อสันหลังเกร็งตัวราวกับเสือชีตาห์ที่พร้อมจู่โจมทุกเมื่อ

วานรขนเหลืองตัวหนึ่งยืนอยู่ห่างออกไปสองจั้งพร้อมจ้องมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน

เพราะสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้าย สวี่ชีอันจึงข่มอารมณ์ไม่ให้โจมตีออกไป ทว่าก็ไม่ได้ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ เพราะเผ่าพันธุ์กู่ก็มีวิธีควบคุมลางสังหรณ์อันตรายของจอมยุทธ์อยู่พอดี

วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน!

“ข้าแวะมาดูเจ้าเสียหน่อย”

วานรขนเหลืองเอ่ยภาษามนุษย์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เป็นคุณยายสูงวัย

“เจ้าคือ…”

สวี่ชีอันใจเต้นแรง ชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว

“พวกเด็กน้อยต่างเรียกข้าว่าแม่ย่าเทียนกู่”

วานรขนเหลืองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เป็นนางจริงด้วย…สวี่ชีอันจำได้ว่าลี่น่าเคยบอกไว้ว่า คนที่ฝากฝังเจ็ดยอดกู่ให้นางในวันนั้นและให้นางนำไปตามหาผู้ถูกลิขิตที่เมืองหลวงก็คือแม่ย่าเทียนกู่ผู้นี้

ภรรยาของผู้เฒ่าเทียนกู่

“ต่างกล่าวกันว่าเทียนกู่มีพลังสอดส่องอนาคต ตอนนี้ก็นับเป็นขวัญตาแล้ว”

สวี่ชีอันไม่ได้คลายความระแวดระวัง แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “แม่ย่าหยั่งรู้อนาคต รู้ว่าข้าจะมาที่ซินเจียงตอนใต้และรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ได้”

วานรขนเหลืองหัวเราะขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนและราบเรียบ

“ไม่หรอก หลงถูบอกข้า ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่ซินเจียงตอนใต้หลังจากที่ลี่น่ากลับเผ่าแล้ว การหยั่งรู้อนาคตมีข้อจำกัดมากมาย ไม่ได้ใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา มิเช่นนั้นสงครามด่านซานไห่ในครั้งแรก ตาเฒ่าก็คงไม่พ่ายแพ้ อืม อาจเป็นไปได้ว่าท่านโหราจารย์ปิดกั้นความลับของสวรรค์ ทำให้เขามิอาจมองเห็นผลของสงครามได้ วิธีนี้ได้ผลกับพ่อมดเช่นเดียวกัน ต่างกล่าวกันว่าเว่ยเยวียนเป็นยอดขุนพลที่หาได้ยาก สิ่งนี้เป็นความจริง ทว่าท่านโหราจารย์ในประเทศของพวกเจ้าทำเรื่องลับหลัง แค่กลัวว่าจะมากกว่าเดิม”

สวี่ชีอันพยักหน้า “แม่ย่ามาหาข้าด้วยตนเองมีเรื่องอะไรหรือขอรับ”

วานรขนเหลืองเอ่ยอย่างช้าๆ

“เจ้าคงมีคำถามมากมายจะต้องถามข้า ข้าก็มีเรื่องจะพูดกับเจ้าพอดี ทว่าข้ามาที่นี่เพื่อเตือนเจ้าด้วยใจจริง เมื่อครู่ลูกศิษย์ของสวี่ผิงเฟิงมาพบข้า เขาตระเวนโน้มน้าวหัวหน้าของทุกเผ่าพันธุ์กู่ สร้างพันธมิตรกับกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว ร่วมมือกันโจมตีต้าฟ่ง แบ่งแยกประเทศ”

แม่งเอ๊ย…สวี่ชีอันสีหน้าเคร่งขรึม “หัวหน้าทุกเผ่าตอบรับแล้วหรือขอรับ”

วานรขนเหลืองพยักหน้า

“สงครามด่านซานไห่เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนเผ่าพันธุ์กู่พ่ายแพ้ ทุกเผ่าต่างไม่พอใจ ยังสูญเสียคนไปมากมายเช่นนั้นอีก ไฟนี้สุมมายี่สิบปีแล้ว ช้าเร็วก็ต้องลุกโชนในสักวัน”

สวี่ชีอันที่ศึกษาประวัติศาสตร์มาไม่น้อยในชาติก่อนพยักหน้าวางจุดยืน เป็นเรื่องปกติที่ประเทศที่แพ้จะเก็บความแค้นและพยายามแก้แค้น

“หลงถูไม่ได้ตอบรับ ทว่าหากสถานการณ์สงครามไม่ราบรื่น เผ่าพันธุ์กู่เผชิญกับวิกฤต เผ่าลี่กู่ก็มิอาจนั่งอยู่เฉยได้ เผ่าเทียนกู่ก็เช่นกัน”

“ข้าเข้าใจความลำบากของแม่ย่า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง