ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 673

บทที่ 673 หนึ่งต่อห้า

หลงถูงอเข่าลงเล็กน้อย เขาดีดตัวออกไปราวปืนใหญ่ขนาดยักษ์ และพุ่งตรงไปยังฟ้าครามเฉกเช่นแหลนที่ยื่นตรงท่ามกลางเสียง ‘ตูม’ ที่ดับลงบนพื้นดิน

ผู้อาวุโสหลายคนของเผ่าพันธุ์กู่งอเข่าลงและ ‘ดีดตัว’ ออกไปพร้อมกัน

“พวกเขากำลังพูดอะไรหรือ”

มู่หนานจือคว้าตัวลี่น่าที่เชื่องช้าเพราะกำลังก้มตัววางชามข้าว

“พวกเขาจะไปฆ่าสวี่ชีอัน” ลี่น่าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ผู้นำของแต่ละฝ่ายเก่งกาจมาก เป็นระดับบรรลุธรรมทั้งสิ้น”

พอกล่าวจบนางก็สลัดตัวจากมู่หนานจือ แล้วส่ายหัวเข่าก่อนดีดตัวออกไป

‘ระดับบรรลุธรรมทั้งสิ้นเลย’…มู่หนานจือรู้สึกวิตกในใจแม้จะเห็นเรื่องนี้กับตา ลูกตาดำกลอกไปมาอย่างรวดเร็วภายในเบ้าตา นางเอ่ยอย่างรีบร้อนด้วยความคิดหนึ่งขณะมองไป๋จีในอ้อมอกว่า

“ไป๋จี พรสวรรค์ของเจ้าคืออะไร”

ไป๋จีเงยหน้าเอ่ยด้วยดวงตาดำแป๋วที่เปล่งความไร้เดียงสาและทื่อทึมว่า

“คือความเร็วไงล่ะ”

มู่หนานจือวางลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเท่าฝ่ามือสองตัวลงบนพื้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย และขึ้นคร่อมบนตัวมันพร้อมเอ่ยว่า

“ไป ไปเร็ว”

ไป๋จีที่ถูกลูกท้อกลมกดทับจนล้มงุนงง

“รีบหน่อย”

มู่หนานจือเอ่ยตำหนิอย่างนุ่มนวลเพราะเป็นห่วงขวัญกำลังใจของสวี่ชีอัน

มันกล้ำกลืนน้ำตาที่คลอเต็มเบ้าตาลงไปอีกครั้ง จิ้งจอกขาวน้อยสะอื้นเล็กน้อย มันขบขากรรไกรแน่น และฝืนยกเท้าทั้งสี่ขึ้นพร้อมด้วยแสงสีแดงลุกโชนขึ้นในดวงตาที่เหมือนกระดุมสีดำ จากนั้นมันได้ระเบิดศักยภาพ และพามู่หนานจือแปลงเป็นเงาสีขาว

เหลือเพียงสวี่หลิงอินคนเดียวในที่เกิดเหตุ นางมองซ้ายมองขวา แล้วหยิบไม้ตะบองขึ้นมาจากข้างทาง หัวคิ้วบางๆ ของนางตั้งชัน ก่อนวิ่งตะบึงออกไปอย่างรุนแรง

นางไปช่วยพี่ใหญ่สู้

สุดเขตแดนที่ราบลุ่ม สวี่ชีอันมองยอดฝีมือฝ่ายลี่กู่ที่ดีดตัวมาราวกระสุนปืนใหญ่ ก่อนละสายตาก้มศีรษะมองเงาของตนเอง

เงามืดขยายอย่างบิดเบี้ยว พร้อมด้วยเงามนุษย์หลายเงาที่ทะลุออกมาพร้อมกัน ในขณะเดียวกันสวี่ชีอันก็สูญเสียประสาทสัมผัสการได้ยิน การมองเห็นและการรับกลิ่น…ประสาทสัมผัสทั้งห้าและการรับรู้ทั้งหกถูกปิดกั้น

เขาพลิกตัวตีลังกาไปทางขวาสิบกว่าจั้ง (1 จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร) อย่างไม่รีบไม่ร้อน เพื่อตีตัวออกห่างศัตรูที่เข้ามาใกล้

‘โครมๆๆ…’

เสียงดังจากของหนักหล่นกระทบดังขึ้นเป็นทอดๆ หลงถูรีบนำยอดฝีมือฝ่ายลี่กู่มาแทรกระหว่างทั้งสองฝ่าย

“หลงถู”

โหยวซือ ผู้นำฝ่ายซือกู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ปะปนด้วยความโกรธว่า

“เจ้าอยากขวางพวกข้าจริงๆ เหรอ เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์ของการขัดขืนเจตจำนงเผ่าพันธุ์กู่หรือไม่ ท่องไว้ขณะที่ยังเป็นเผ่าพันธุ์กู่เช่นเดียวกัน ข้าทนรอซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าเพิกเฉยความหวังดีจากผู้อื่น”

ฉุนเอียนเห็นความดุดันจากดวงตาทั้งคู่ของหลงถูกับตา หลงถูกำลังจะปล่อยคำพูดหักหาญใจ เขาจึงถอนหายใจ และชิงเอ่ยโน้มน้าวก่อนหลงถูจะทวีความขัดแย้งว่า

“หลงถู เผ่าพันธุ์กู่ตัดส่งใจส่งกองทัพแล้ว เช่นนั้นสวี่ชีอันก็จะเป็นอันตรายแฝงเร้น หากไม่กำจัดเขา ไม่รู้ว่าฝ่ายต่างๆ จะมีคนตายเท่าไรในอนาคต”

“ท้ายที่สุดแล้วเผ่าพันธุ์กู่สำคัญหรือสหายคนหนึ่งสำคัญกันแน่”

ประโยคเดียวทำหลงถูเจ็บใจจนหัวคิ้วขมวด

ฉุนเอียนไม่ได้เอ่ยโน้มน้าวต่อ และมองไปยังแม่ย่าแห่งเทียนกู่ผู้ที่ศีรษะเต็มไปด้วยไหมเงิน พร้อมเอ่ยว่า “แม่ย่า ท่านว่าอย่างไร”

หลงถูและอาวุโสทั้งหกอดไม่ได้ที่จะมองไปยังแม่ย่าแห่งเทียนกู่

ฝ่ายเทียนกู่จัดทำปฏิทินโหราศาสตร์ขึ้นเพื่อสำรวจการโคจรของดวงดาวตามโหราศาสตร์ การเพาะปลูกของแต่ละฝ่ายล้วนต้องพึ่งพาฝ่ายเทียนกู่ และความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการกินอยู่มักจะได้รับการยกย่อง

และผนวกกับการที่ฝ่ายเทียนกู่สามารถสอดส่องอนาคตและให้การชี้นำที่ถูกต้อง แม้ฝ่ายทั้งหกของเผ่าพันธุ์กู่จะกล่าวว่าไม่ถึงกับต้องปฏิบัติตามเทียนกู่ แต่บารมีของเทียนกู่ก็สูงยิ่ง หากแม่ย่าแห่งเทียนกู่เอ่ย ฝ่ายทั้งหกล้วนยินดีรับฟัง

ขณะที่ผู้คนมองนาง แม่ย่าแห่งเทียนกู่กลับมองไปยังสวี่ชีอัน และยิ้มเอ่ยว่า

“หลงถู เหตุใดจึงไม่ถามความเห็นของตัวเขาเองหรือ”

ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์โดยไม่รอให้หลงถูตอบว่า

“หากเขาบอกว่าไม่สู้ พวกเจ้าจะปล่อยเขาไปหรือ เหตุใดแม่ย่าจำต้องเอ่ยคำพูดประชดประชันที่นี่”

หลงถูเงียบเล็กน้อย ก่อนหันศีรษะไปเอ่ยกับสวี่ชีอันว่า

“ข้าเคยรับปากไว้ว่าจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับเจ้า นี่เป็นการช่วยเหลือสูงสุดที่ข้าสามารถมอบให้เจ้าได้ การที่เจ้าตายที่นี่ก็เป็นชะตากรรมของเจ้าในฐานะจอมยุทธ์

“หากเจ้าสามารถสังหารพวกเขาจนหมดสิ้น ข้าเองก็ไม่ห้ามเช่นกัน นี่ก็คือคำสัญญาของข้าที่มีต่อเจ้า”

ฝายลี่กู่ป่าเถื่อนและบ้าการต่อสู้ หากมีเรื่องขัดแย้งก็ต้องต่อยตี ธรรมเนียมของพวกเขาเป็นเช่นนี้

ผู้อาวุโสใหญ่ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างจนใจเมื่อได้ยิน ก่อนเอ่ยว่า

“อย่าเข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้น อย่าได้หยุดขณะต่อสู้ จดจ่อกับเงามืดใต้ฝ่าเท้า…หากสู้ไม่ได้จริงๆ ค่อยหนี”

นี่คือขีดสูงสุดที่เขาสามารถทำได้ ประโยคท่อนแรกเป็นการเตือนเขาถึงรายละเอียดที่ต้องระวังในการต่อสู้ ส่วนประโยคท่อนหลังแท้แล้วเป็นจุดสำคัญ

หนี

จอมยุทธ์ขั้นสามที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เอาแต่คิดจะหนี เป็นเรื่องยากมากหากคิดจะสกัดเขา แต่หากตกอยู่ในการต่อสู้อันทรหด ต่อให้คิดจะหนีเท่าไรก็ไม่สามารถหลบหนีได้เลยด้วยอุบายของเผ่าพันธุ์กู่

การหนีเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน แต่หากเป็นเช่นนี้ การผูกพันธมิตรระหว่างเผ่าพันธุ์กู่และอวิ๋นโจวเป็นอันบรรลุ ต้าฟ่งจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย…สวี่ชีอันกวาดมองผู้คนอย่างช้าๆ ความคิดผุดขึ้นมากมายในจิตใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง