บทที่ 674 ลี่กู่
หลงถูมองสวี่หลิงอินอย่างละเอียดถี่ถ้วนครู่หนึ่งด้วยใบหน้านิ่งสุขุม ก่อนเดินไปข้างหน้าและออกแรงนวดศีรษะของนาง
ฝ่ามือของเขาใหญ่กว่าโต้วเสี่ยวติง
“เจ้าในตอนนี้อ่อนแอเกินไป”
เสียงของหลงถูมีพลัง แต่น้ำเสียงกลับเรียบเฉย เขายกเสี่ยวโต้วติงขึ้นมาวางบนไหล่แล้วเอ่ยว่า
“อาจารย์จะพาเจ้าไปชมการต่อสู้ ให้เจ้าได้เห็นฉากทัศน์ของระดับบรรลุธรรมเสียหน่อย หากพี่ใหญ่เจ้าสิ้นชีพ เจ้าจงจดจำใบหน้าของพวกเขาไว้ แล้วทิ้งชีวิตไปบำเพ็ญพรต”
ผู้อาวุโสหลายคนพากันขมวดคิ้ว แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อวิธีการสั่งสอนลูกศิษย์เช่นนี้จากเขา
อีกฟากหนึ่ง สวี่ชีอันถอยออกไปสามสิบลี้ในพรวดเดียว และหยุดลงตรงที่ราบระหว่างภูเขาซึ่งรกร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง
โหยวซือพุ่งตัวเข้ามาเหมือนศรแหลมคมพร้อมด้วยผ้าคลุมที่กระพืออย่างรุนแรงขณะที่เขาเหมือนจะตั้งตัวได้
สวี่ชีอันแสยะปากเอ่ยขณะมองไปยังคนสวมผ้าคลุมผู้มีท่าทางโหดเหี้ยมและไร้ทางหยุดยั้งว่า
“ข้าให้เจ้าเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้นเอง ดูท่าจะทำให้เจ้าได้ใจไป คิดว่าสามารถตีเสมอข้าด้วยการพึ่งพาร่างศพของระดับบรรลุธรรมนี่จริงๆ หรือ”
เขาเข้าปะทะโหยวซือโดยการโจมตีตอบโต้อย่างไม่ละถอย และจับศีรษะของคนสวมผ้าคลุมไว้ พลังปราณกลางฝ่ามือพ่นออกมาเสมือนเครื่องดีดลูกศรไฟหลังจากวงแหวนเพลิงท้ายศีรษะระเบิดอย่างรุนแรง
โหยวซือหลังเอนลอยคว่ำออกไปพร้อมด้วยเสียงดังเปรี้ยง หนังหน้าผากเปิดเห็นเนื้อ แต่ไม่มีเลือดไหล
โหยวซือที่อยู่ในท่าหลังเอนเหยียบลงบนพื้นด้วยเท้าทั้งสองข้าง ‘ตึงๆๆ’ …เขาถอยไปหลายก้าวติดต่อกัน ทุกการถอยแต่ละก้าวพื้นดินจะตามด้วยการสั่นสะเทือนดัง ‘ปัง’
ขณะที่เขาเพิ่งจะตั้งตัวได้ สวี่ชีอันก็ปรากฏตัวที่ด้านหลัง และประกบฝ่ามือสับไปยังหลังคอของเขา
‘ฉึบ’
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นมาจากด้านข้าง เงาม่วงเงาหนึ่งจู่โจมใบหน้าของสวี่ชีอันด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าลูกศร
เขาเอนร่างไปข้างหลังเพื่อขยับศีรษะหลบเงาม่วงนี้ และให้มันเฉียดผ่านจมูกไป
ฉุบ เงาม่วงเขพุ่งลงบนพื้นดิน และกลายเป็นแอ่งเมือกพิษกัดกร่อนพื้นดินจนเป็นหลุมลึก
และปลายจมูกของสวี่ชีอันก็เปื้อนด้วยสีม่วงบางๆ ชั้นหนึ่ง
ป๋าจี้ที่อยู่ไกลออกไปกำลังเคาะแก้ม เมือกพิษคำที่สองเตรียมพร้อมปล่อย
ในขณะเดียวกัน โหยวซือตอบโต้โดยการโผตัวไปข้างหน้า และถีบสวี่ชีอันที่อยู่ข้างหลังด้วยลูกเตะกลับหลังอันรุนแรง
‘ตู้ม!’
ลูกเตะระเบิดคลื่นพลังปราณตรงท้องน้อย
ปิ้ว…ศรพิษลูกที่สองจู่โจมเข้ามา ขณะสวี่ชีอันอยู่ในตำแหน่งที่ถูกสั่นสะเทือนด้วยลูกเตะจนอ่อนกำลังพอดิบพอดี
ไร้ซึ่งทางหลบเลี่ยง
ขณะนี้เอง ข้อได้เปรียบของจอมยุทธ์สลายแรงก็แสดงออกมา ร่างกายของสวี่ชีอันบิดเป็นรูปตัวอักษร ‘凹’ ราวไม่มีกระดูก จึงทำให้ศรพิษพลาดเป้าอีกครั้ง
‘ปังๆๆ!’
โหยวซือถือโอกาสเข้าประชิดตัว และใช้ทั้งหมัดและเท้าเตะต่อยร่างกายของสวี่ชีอันจนเกิดเสียงดังราวเคาะระฆัง
ในขณะเดียวกัน ป๋าจี้พ่นศรพิษจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หลังเสียงเป่า ขณะสวี่ชีอันขัดขวางการรัวกระบวนท่าของโหยวซือด้วยพลัง ในที่สุดป๋าจี้ก็ทำสำเร็จ ศรพิษยิงเข้าที่หัวเข่าของสวี่ชีอัน
ขากางเกงถูกกัดกร่อนจนแทบไม่เหลือในทันที ผิวหนังสีทองมืดเปื้อนด้วยสีม่วงเข้ม
คราบสีทองเข้มถูกแสงทองคุ้มร่างสีทองมืดจัดกัดขอบเขตไว้ที่หัวเข่า ไม่สามารถลุกลามต่อได้ แต่แสงทองคุ้มร่างก็ไม่อาจขับสารพิษออกไปได้เช่นกัน
สารพิษเป็นกลวิธีที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายตู๋กู่ หากไม่สามารถสังหารยอดฝีมือระดับเดียวกันด้วยพิษ เช่นนั้นก็จะไร้ความหมาย
แน่นอนว่าจอมยุทธ์ขั้นสามคงจะไม่ถูกสังหารด้วยพิษง่ายๆ เป้าหมายของป๋าจี้ชัดเจนมากว่าเป็นการทำสงครามตัดกำลัง
ขณะนี้เอง เงามนุษย์หกเงาพุ่งออกมาจากภูเขา พวกเขาพาดผ้าคลุม สวมหมวกคลุมศีรษะ และถือดาบกระดูกกู่เจ็ดเล่มไว้ในมือ
“มาแล้วสินะ”
คนสวมผ้าคลุมทั้งหกถือดาบไว้โดยไม่ได้รีบร้อนเข้าสนาม แต่วิ่งไปทางป๋าจี้แทน
ชายสวมเสื้อคลุมเข้าแถวตรงหน้าป๋าจี้โดยวางดาบไว้บนพื้น
รูปแบบของดาบพวกนี้เรียบง่ายดูโบราณ สร้างโดยการฝนจากกระดูก พื้นผิวของดาบกระดูกกู่กระจายไปด้วยจุดด่างดำและคราบเหลืองเล็กๆ แสดงให้เห็นถึงร่องรอยตามกาลเวลา
ประวัติของดาบกระดูกกู่ยาวนานอย่างยิ่ง ประมาณหนึ่งพันสามร้อยปีก่อน อสูรกู่ระดับบรรลุธรรมออกมาจากสุดห้วงลึก มันเหมือนห้วงลึกที่ไม่มีวันเต็มอิ่ม ที่ใดที่เคยผ่าน ทุกชีวิตล้วนดับสูญ
ผู้นำฝ่ายต่างๆ ของเผ่าพันธุ์กู่ร่วมมือกันต่อสู้กับอสูรกู่ที่ทุ่งรกร้างทางเหนือของซินเจียงตอนใต้ การต่อสู้อันดุเดือดผ่านไปสิบวันจึงจะสังหารมันลงได้
เพราะอสูรตนนี้คืออสูรลี่กู่ กายหยาบแกร่งกล้า ความสามารถในการรักษาตนเองสูงถึงขั้นเหนือกว่าจอมยุทธ์ระดับเดียวกัน พลังกายไม่มีวันหมดสิ้น
ดาบกระดูกกู่หกเล่มทำจากการฝนกระดูกหกชิ้นที่แข็งที่สุดในร่างกายอสูรกู่ ซึ่งกินระยะเวลากว่าหกสิบปี ในที่สุดก็บรรลุผลสำเร็จ
คุณภาพวัสดุและระดับความคมของดาบกระดูกไม่ด้อยไปกว่าอาวุธวิเศษ
ป๋าจี้จับคมดาบของดาบกระดูกกู่เล่มหนึ่งไว้ แล้วกรีดเลือดเบาๆ ให้เปื้อนลงบนคมดาบ
เขาทำกับดาบกระดูกกู่ห้าเล่มที่เหลือด้วยวิธีเดียวกัน
“ไปเสีย” ป๋าจี้เอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น
“อืม วันนี้จะใช้เลือดของเขาเซ่นไหว้เทพหกดารา”
คนสวมผ้าคลุมเอ่ยออกมาเป็นเสียงของโหยวซือ
ดาบกระดูกกู่ทั้งหกลงสนามอย่างอุกอาจ
ชั่วพริบตานั้น สวี่ชีอันรู้สึกเพียงว่ารอบด้านเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่ลางล่วงรู้วิกฤตของจอมยุทธ์กลับไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
ปรมาจารย์ซินกู่ฉุนเอียนเอ่ยเบาๆ ว่า
“เจ็ดคนคือหนึ่งคน หนึ่งคนคือเจ็ดคน ทั้งยังมีอาวุธมีคมอย่าง ‘เทพหกดารา’ ติดตัว ต่อให้ไม่มีพวกเราช่วย พลังต่อสู้ของโหยวซือก็มากกว่าจอมยุทธ์ขั้นสามทั่วไป”
หลวนอวี้เลียริมฝีปากสีแดงของนาง และเอ่ยด้วยเสียงอ่อนช้อยว่า
“โหยวซือ เจ้าห้ามฆ่าเขา ข้าต้องการเพาะฉิงกู่ในร่างกายของเขา ทำให้เขาเป็นของข้าเท่านั้น”
คนที่พูดเป็นใครกัน…นางใคร่ที่มีรูปร่างสุดแสนเลิศเลอ หรือสตรีงามผู้มีตากลมโตที่ห้อยงูสองตัวไว้ที่ใบหู…สวี่ชีอันใบหูกระดิก
ฉับ!
คนสวมผ้าคลุมสองคนแวบผ่านจากด้านซ้ายและขวาของสวี่ชีอัน ดาบกระดูกกู่เฉือนลงเป็นรอยม่วงบางๆ สองคมที่เอวของเขา
รอยม่วงไม่อาจสลายหายไปเฉกเช่นบาดแผลที่เกิดในกระดูก
นี่มันดาบอะไรกัน ความแหลมคมด้อยกว่าดาบไท่ผิงเล็กน้อย แต่คงจะอยู่ในระดับอาวุธวิเศษ แม้จะทำลายพลังเทพวชิระของข้าไม่ได้ แต่ก็พอเจ็บอยู่บ้าง…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว รู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณบั้นเอวทั้งสองข้างจากคมดาบ จึงหมดอารมณ์จับตามองสาวงามลงทันใด
ความเจ็บปวดแรกสุดคือคมดาบที่เฉือนลง การแผดเผาต่อเนื่องที่ตามมาภายหลังมีสาเหตุจากสารพิษ
ชายเสื้อคลุมดำสองคนเพิ่งจะแวบผ่านเอวของเขาไป กลับมีอีกสองคนม้วนตัวเข้ามาสะบั้นดาบกระดูกกู่ไปที่หัวเขาจากที่เดิม
สวี่ชีอันปล่อยให้ศัตรูทางด้านซ้ายฟันหัวเข่า และยกขาขวาขึ้นย่ำศัตรูทางด้านขวาไว้ใต้เท้าอย่างเหี้ยมโหด ในขณะเดียวกันก็กระเพื่อมพลังปราณเพื่อกระแทกมนุษย์ศพทั้งสองให้แหลก
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ แม้ฝ่าเท้าของเขาจะจมเข้าไปในอกของอีกฝ่ายและย่ำกระดูกหน้าอกจนหัก แต่ก็ไม่สามารถกระแทกมนุษย์ศพตนนี้ให้แหลกได้
ชัดเจนว่าลมปราณของคนสวมผ้าคลุมคนอื่นๆ ไม่ถึงระดับบรรลุธรรม ยกเว้นมนุษย์ศพที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่าตนนั้น
สวี่ชีอันพลันนึกถึงสิ่งที่ได้ยินจากตระกูลไฉ นึกขึ้นได้ว่าไฉเสียนรวบรวมของเซ่นไหว้สำหรับหลอมมนุษย์ศพ และสะสมเลือด เขาต้องการหลอมหุ่นเชิดระดับบรรลุธรรมด้วยรูปแบบเคล็ดวิชาการเลี้ยงศพของฝ่ายซือกู่
เขารู้ตัวในทันทีว่ามนุษย์ศพทั้งหกที่เพิ่งจะเข้าร่วมการต่อสู้สร้างขึ้นโดยใช้ศาสตร์ลับประเภทนี้ แม้พลังต่อสู้จะไม่ถึงระดับบรรลุธรรม แต่ระดับความทนทานของกายหยาบอยู่เหนือขั้นสี่ไปแล้ว
“พี่ใหญ่ถูกฟันเข้าแล้ว!”
สวี่หลิงอินที่อยู่ไกลออกไปนั่งบนไหล่ของหลงถู และมองลงไปข้างล่างจากที่สูง จึงมองการต่อสู้ในที่ราบระหว่างภูเขาได้ชัดเจน
ที่ที่ไกลออกไปยิ่งกว่า มู่หนานจือกำลังชมการต่อสู้อยู่หลังต้นไม้อย่างระแวดระวัง นางขมวดคิ้วเกร็ง ส่วนใต้เท้าของนางคือไป๋จีผู้มีสีหน้าเฉื่อยชา
หลงถูลูบศีรษะของลูกศิษย์ตัวน้อย และมองไปยังผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆ พร้อมเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนักราวเปล่งเสียงจากในโอ่งว่า
“ค่ายกลเจ็ดศพของโหยวซือ แม้แต่ข้าก็ไม่อาจแก้ไขได้ภายในเวลาอันสั้น ยิ่งประสานกับพิษของป๋าจี้อีก มันเหมาะกับการแล่เนื้อด้วยดาบทื่อเพื่อขูดรีดเลือดของจอมยุทธ์เป็นที่สุด
“หรือว่านี่ป๋าจี้ยังไม่ได้ลงมือเต็มที่ เงาซ่อนอยู่ในที่ลับ หลวนอวี้เพียงยืนมองอยู่ข้างๆ และฉุนเอียนก็ไม่เคยขี่อสูรไปก่อกวน”
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยช้าๆ ว่า
“หนีตอนนี้ยังทัน…”
สีหน้าเขาเปลี่ยนในฉับพลัน “พวกเขาลงมือแล้ว”
จู่ๆ หลวนอวี้ที่มองอยู่ข้างๆ มาตลอดก็เดินออกไประยะหนึ่ง ก่อนเป่าเบาๆ ด้วยปากเรียวเล็กที่ยั่วยวนและแดงก่ำ
ราวว่ากำลังเป่าหูคนรัก
แต่ทั่วทั้งทุ่งราบระหว่างภูเขาถูกเติมเต็มไปด้วยปราณเสน่หาในชั่วพริบตา เสียงกรอกกรอกแกรกแกรกดังไม่ขาดหู แมลงที่ซ่อนอยู่ใต้ดินทยอยไต่ออกมาจากถ้ำ พร้อมส่งเสียงร้องระงมหาคู่
ฝูงนกบนกิ่งไม้ส่งเสียงสูงแหลมอย่างฮึกเหิม ดวงตาทั้งคู่ของสัตว์ขนาดใหญ่แดงก่ำ พวกมันหาคู่และเริ่มผสมพันธุ์กันอย่างบ้าคลั่ง โดยหนักถึงขั้นไม่แบ่งเผ่าพันธุ์และไม่สนเพศ ขอเพียงรูปร่างต่างกันไม่มากก็จะหมอบเข้าไปทันที และผสมพันธุ์กันตามสัญชาตญาณอย่างหิวโหย
“ข้าก็เอาด้วย”
ป๋าจี้ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า และออกแรงเป่าควันสีครามที่หนืดข้นเหมือนหมอกออกไปเฮือกหนึ่ง
มวลควันสีครามหนาแน่นกว่าอากาศ ลอยหมุนเป็นเกลียวกลางที่ราบระหว่างภูเขาเฉกเช่นผ้าไหมเนื้อบาง ปกคลุมหุ่นเชิดทั้งเจ็ดที่สวี่ชีอันและโหยวซือควบคุมไว้
พิษชนิดนี้ต่างกับศรพิษสีม่วงตรงที่มันมุ่งเป้าไปยังสิ่งมีชีวิตเท่านั้น หากมีผู้เผลอสูดดมเข้าไป อากาศพิษจะไหลไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายพร้อมกับเลือด และทำลายอวัยวะตันทั้งห้ากับอวัยวะกลวงทั้งหก[1]
ท่ามกลางทุ่งราบระหว่างภูเขา เสียงแมลงร้องหาคู่หายไปอย่างไม่รู้สึกตัว เพศผู้ที่กำลังผสมพันธุ์ล้มลงจากร่างกายของเพศเมีย และชักตายไปพร้อมกัน
สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ได้กลิ่นอากาศพิษ ไม่ว่าจะเป็นงู แมลง หนู มด สัตว์ปีกหรือสัตว์บก ล้วนสิ้นชีพทั้งสิ้น
หลวนอวี้และป๋าจี้ยิ้มมองซึ่งกันและกัน ก่อนอีกคนจะเอ่ยด้วยเสียงสูงว่า
“เงา เตรียมตัวให้ดี หากเจ้าหนุ่มนั่นหนีออกไป รีบบีบให้เขากลับมาทันที”
ตราบใดที่กล้าหายใจ เขาก็จะต้องเผชิญกับการทดสอบจากปราณเสน่หาและพิษ ยกเว้นว่าจะไม่หายใจ
ทั้งสองไม่สามารถสังหารจอมยุทธ์ระดับบรรลุธรรมได้ในเวลาอันสั้น แต่จะทำให้สภาพของสวี่ชีอันย่ำแย่ลงเพื่อตัดทอนพลังต่อสู้
และเดิมทีมนุษย์ศพก็เป็นคนตาย ไร้ซึ่งความใคร่และไม่กลัวพิษ
ขณะนี้ กระทั่งลี่น่าผู้ไร้หัวใจก็ไม่อาจทนไหว นางกระทืบเท้าอย่างรุนแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง