ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 675

บทที่ 675 ปิดเกม (1)

สายตาที่แหลมคมของหลงถูจ้องเขม็งบุตรสาวอย่างลุกวาว เขาชะงักไปในทันใด ก่อนส่ายศีรษะเอ่ยว่า

“ไม่จริง ตัวลี่น่ายังไม่ชำนาญศาสตร์ลับระดับบรรลุธรรม”

ผู้อาวุโสทั้งหกตอบสนอง เมื่อครู่โมโหจนไม่ได้สติ จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียอย่างนั้น

ต่อมาผู้อาวุโสใหญ่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาตบศีรษะตนเองไปครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยตะโกนว่า

“ที่แท้เป็นเขานี่เอง”

เมื่อพบว่าหลงถูและผู้อาวุโสหลายคนที่เหลือมองมา ผู้อาวุโสใหญ่จึงเอ่ยอธิบายว่า

“วันนี้ข้าพบว่าพลังเทพกู่บริเวณภายนอกเบาบางผิดปกติขณะข้าพาหลิงอินไปเลื่อนขั้นที่จี๋เยวียน ข้า อาวุโสสามและอาวุโสสี่จึงเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์อย่างละเอียด จึงพบว่าพลังเทพกู่บางแห่งในป่าเบาบางลงเช่นเดียวกัน

“ขณะนั้นข้าคิดว่ามีอสูรกู่ที่แข็งแกร่งปรากฏตัว…”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสใหญ่พูดไม่ออกอย่างกะทันหัน เพราะกังวลว่าเนื้อยังสดอยู่จึงรีบนำกลับบ้านไปปรุงให้พวกเขา เลยไม่ได้สนใจเรื่องสำคัญอย่างการสงสัยว่าอสูรกู่ปรากฏตัวบนโลก

ผู้อาวุโสสามเอ่ยเบาๆ ว่า

“เขาเริ่มบำเพ็ญลี่กู่ตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดจึงบำเพ็ญเกือบถึงระดับบรรลุธรรม ใครสอนการบำเพ็ญศาสตร์ลับให้เขากัน”

เขาถามสามครั้งติดต่อกัน ถามจนเหล่าผู้อาวุโสผันผวนปวดใจ อิจฉาริษยาจนถึงขีดสุด

แม้แต่หลงถูเองก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า

“ความสามารถบ้าคลั่ง…ห่างจากระดับบรรลุธรรมเพียงเส้นเดียวแล้ว”

ในที่นี้มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่ที่สามารถแสดงความสามารถบ้าคลั่งได้ชั่วขณะ แต่เวลาเกิดผลสั้นมาก

ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยพึมพำว่า “เขาบำเพ็ญมานานแค่ไหนแล้ว บำเพ็ญมานานเท่าใดกว่าจะถึงระดับนี้ คงจะไม่เหมือนกับหลิงอินใช่ไหม”

‘คงจะไม่เหมือนหลิงอินหรอกมั้ง’…ทุกคนมองไปยังผู้อาวุโสราวกับมองคนบ้า รวมถึงหัวหน้าเผ่าหลงถูด้วย

“เหมือนอย่างที่กล่าวในข่าวกรอง เขาใช้ไสยศาสตร์กู่เป็น แต่ต่างออกไป ขณะเขาประมือกับคุณชายจีเสวียนและคุณหนูหยวนซวงที่ยงโจว ไสยศาสตร์กู่เขาพื้นๆ ไม่เท่าขั้นสี่ด้วยซ้ำ…”

คิ้วที่สง่าผึ่งผายของเก่อเหวินซวนซึ่งกำลังถือกล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยวอยู่ขมวดเกร็งเมื่อเห็นฉากนี้

เขาแยกไม่ออกว่าสวี่ชีอันจงใจปกปิดการบำเพ็ญขณะอยู่ที่ยงโจวชั่วระยะหนึ่ง หรือเพิ่งบรรลุเมื่อเร็วๆ นี้

หากเป็นอย่างแรกก็หมายความว่าเด็กคนนี้แผนการล้ำลึกจนน่าหวาดหวั่น

หากเป็นอย่างหลังก็หมายความว่าเด็กคนนี้บำเพ็ญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนน่าสั่นกลัว

“หากข่าวกรองที่ยงโจวไม่ผิดพลาด เช่นนั้นการพัฒนาของเขาก็เร็วมากเลย หากเป็นเช่นนี้ ข่าวกรองก็คงไร้ความหมาย”

คิ้วของเก่อเหวินซวนแทบจะขมวดเป็นรูปตัวอักษร ‘川’

กับดักที่สมบูรณ์แบบอย่างหนึ่ง แผนการที่เหมาะสมอย่างหนึ่ง ต้องมีข่าวกรองที่แม่นยำเพื่อสนับสนุน

ไม่อาจวางแผนเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไปเช่นเดียวกับสวี่ชีอันได้เลย

เพราะอาจล้าหลังได้ตลอดเวลา

“การแบกชะตาบ้านเมืองไว้กับตัว น่ากลัวเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ”

เก่อเหวินซวนบำเพ็ญทั้งวรยุทธ์และศาสตร์ควบคู่ เป็นจอมยุทธ์ขั้นห้าและโหรขั้นหก เขาติดอยู่ที่ขั้นหกเพราะว่าขาดความเชื่อมั่นว่าจะผ่านเคราะห์ร้ายที่ ‘นักพยากรณ์’ จะต้องแบกรับ

ตัวเขาในฐานะโหรคุ้นเคยกับโชคชะตา แม้จะบอกว่าผู้ที่มีมหาโชคชะตาติดตัว มีพรและวาสนาหยั่งลึก แต่เมื่อถึงระดับบรรลุธรรม ผลของดวงชะตาติดตัวจะอ่อนแอลงอย่างไร้ขีดจำกัด

ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมผู้แข็งแกร่งขั้นสามขึ้นไปจึงมีสิทธิ์เพิกเฉยจักรพรรดิแห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง

สำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่ง ขั้นสองหรือขั้นสาม การสังหารจักรพรรดิแห่งที่ราบลุ่มภาคกลางจะได้รับผลสะท้อนจากโชคชะตา

ที่ไม่อยากยุแหย่จักรพรรดิ เป็นเพราะหวาดกลัวโชคชะตาสะท้อนกลับเท่านั้นเอง

สำหรับเก่อเหวินซวนแล้ว นี่เป็นสมดุลอย่างหนึ่ง

มิเช่นนั้น ผู้มีดวงชะตาติดตัวคงจะเที่ยวก่อการอุกอาจโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวได้เลยมิใช่หรือ

แต่เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของสวี่ชีอันเล็กน้อย

“ระบบโหรมีมาเพียงหกร้อยปี และในก่อนหน้านี้ ยังไม่เคยมีระบบใดเกี่ยวข้องกับโชคชะตาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ในหกร้อยปีมานี้ ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งและท่านโหราจารย์คนปัจจุบันล้วนไม่เคยหลอมชะตาบ้านเมือง และฝากไว้ในร่างกายคนใดคนหนึ่ง

“อาจารย์เป็นผู้ทำการทดลองเช่นนี้คนแรก ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เคยปรากฏตัวอย่างมาก่อน บางทีกระทั่งเขาเองก็คงไม่รู้ว่าชะตาบ้านเมืองติดตัวหมายความว่าอะไร แนวคิดนี้ของอาจารย์เป็นผลลัพธ์จากการไตร่ตรองอย่างลุ่มลึกของตนเอง หรือได้รับการชี้แนะจากผู้ใด”

ความคิดของเก่อเหวินซวนผุดระยิบ ระหว่างที่ความรู้สึกนึกคิดกำลังฟุ้งซ่าน ตัวเขาซึ่งกำลังชมการต่อสู้ผ่านกล้องส่องทางไกลกระบอกเดี่ยวเกิดความสั่นสะท้านในจิตใจ

สถานการณ์ในสนามรบเกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

สวี่ชีอันที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนตัวมนุษย์ศพขั้นสามและระบายความป่าเถื่อนตามอำเภอใจสูญเสียการมองเห็น การได้ยินและการได้กลิ่น…ประสาทสัมผัสทั้งห้าและการรับรู้ทั้งหกถูกปิดกั้นไปหมดทั้งสิ้น

ผู้นำฝ่ายอั้นกู่ที่ซุ่มอยู่บริเวณรอบๆ ร่ายกลวิธีระดับสูงของฝ่ายอั้นกู่ใส่สวี่ชีอัน ซึ่งก็คืออำพราง

‘ปัง!’

โหยวซือฉวยโอกาสนี้ควบคุมหุ่นเชิดโดยใช้ศีรษะเข้าปะทะศีรษะของอีกฝ่าย หน้าผากของทั้งสองกระแทกกันอย่างรุนแรง

ลางล่วงรู้วิกฤตของสวี่ชีอันไม่เกิดผลจากการร่ายมนตร์ด้วยวิชาดวงดาราผันเปลี่ยน ดังนั้นจึงไม่สามารถรับรู้การกระทำของอั้นกู่ล่วงหน้า รวมไปถึงการโจมตีของมนุษย์ศพจากด้านล่าง

กะโหลกหน้าผากของหุ่นเชิดมนุษย์ศพแตกร้าวตามเสียง ลูกตาดำของสวี่ชีอันกลวงเป็นรูในชั่วพริบตา เขาสูญเสียเจตจำนงชั่วขณะ หัวสมองว่างเปล่า

ทั้งร่างกายของเขาเอนไปข้างหลังอย่างรุนแรง ผิวหนังสีทองมืดบริเวณหน้าผากปรากฏรอยร้าวเป็นเส้นถี่ยิบ

โหยวซือไม่ได้มึนงง คนตายจะมึนงงได้เช่นไรกัน

“ตอนนี้แหละ”

เขาเอ่ยตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งอันเป็นเอกลักษณ์

พวกเขาประเมินศัตรูต่ำไป แม้เงาและฉุนเอียนจะไม่ลงมือก็ตาม แต่แผนการช่วยเหลือของหลวนอวี้และป๋าจี้เป็นการหยั่งเชิงระดับของเด็กคนนี้ก่อนเท่านั้น

แต่การประเมินศัตรูต่ำก็คือการประเมินศัตรูต่ำอยู่ดี เด็กคนนี้ไม่ใช่ขั้นสามทั่วไป เขาสามารถระเบิดพลังการต่อสู้อันสมบูรณ์แบบของขั้นสามได้ในชั่วพริบตา และโค่นล้มค่ายกลมนุษย์ศพที่ตนเองควบคุมได้โดยตรง

ผู้นำหลายคนรู้สึกถึงปัญหานี้เช่นเดียวกัน ต่างคนจึงต่างมือก่อนที่โหยวซือจะแผดเสียง

ปรากฏชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าซีดขาวราวกับไม่สัมผัสแสงแดดมาตลอดทั้งปีจากเงามืดด้านหลังสวี่ชีอัน เขาปีนป่ายแผ่นหลังของร่างกายเทพอารักษ์อย่างคล่องแคล่ว

เปลวไฟซึ่งเปี่ยมด้วยพลังหยางอันแรงกล้าแผดเผาร่างกายของเขา แต่ราวกับแผดเผาเพียงเงามายาเท่านั้น หาใช่สสารจริง

กลวิธีป้องกันขั้นสูงของฝ่ายอั้นกู่ ซึ่งก็คือเงามืด

‘เงา’ ลากกริชที่คดเคี้ยวเล็กน้อยซึ่งมีรูปร่างคล้ายตะขอออกมาจากแขนเสื้อ ตัวกริชดำขลับทั้งเล่ม หยกก็ไม่ใช่ เหล็กก็ไม่เชิง

นี่ก็คืออาวุธวิเศษที่สืบทอดจากผู้นำแต่ละรุ่นของฝ่ายอั้นกู่ ซึ่งก็คือตะขอแมงป่อง

ของสิ่งนี้ใช้สำหรับทะลวงกายหยาบของจอมยุทธ์โดยเฉพาะ ในยุทธการด่านซานไห่ ‘เงา’ เคยใช้อาวุธวิเศษเล่มนี้ผสานกับจุดเด่นของฝ่ายอั้นกู่ที่ชำนาญการลอบจู่โจมจนเกือบสังหารเทพอารักษ์สำนักพุทธตนหนึ่งลงได้

‘ฉึก!’

ตะขอแมงป่องเจาะลงที่หน้าผากของสวี่ชีอันจนเกิดประกายไฟจ้า จนทำให้รอยร้าวที่เป็นเส้นถี่ยิบเปิดกว้างขึ้น

ความเจ็บปวดทำให้ดวงตาของสวี่ชีอันปะทุแสงสว่างออกมา และบังคับให้เขาหลุดพ้นจากความมึนงง

ฉุนเอียนสาวงามดวงตากลมโตที่กำลังวิ่งตะบึงหยุดฝีเท้าลง และอ้าปากส่งเสียงกรีดร้องที่ไร้ซึ่งเสียงออกมา

สวี่ชีอันราวถูกโจมตีด้วยสายฟ้า ลูกตาดำที่ค่อยๆ ฟื้นฟูการจับภาพปรากฏรูกลวงและคลายการจับภาพอีกครั้ง

วิชาควบคุมของซินกู่ สั่นไหวจิตเดิม บังคับและควบคุม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง