“เจ้ามีเหตุผลอะไรถึงมีความมั่นใจเช่นนี้”
เหมียวโหย่วฟางไม่พอใจ เขาเอาดาบยันพื้นและเคี้ยวขนมวอวอโถว[1]
“ข้าชอบจู่โจมผู้อื่นยามค่ำคืน เพราะยามค่ำคืนต้องนอนหลับ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุด”
สวี่ซินเหนียนตบถังไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ข้างเท้าของเขา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“น้ำมันของข้าไม่เพียงแต่เผาข้าศึกให้ตายเท่านั้น ยามค่ำคืนยังใช้มันส่องสว่างได้ด้วย ใช้เครื่องยิงหินยิงพวกมันออกไป พอแสงเพลิงสว่าง บรรดาพลทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงเมือง ก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ด้านล่างได้อย่างชัดเจน และข้าศึกกลับมองเห็นลูกธนูที่ยิงมาจากกำแพงเมืองไม่ชัดเจน มาเท่าไรก็ตายหมด”
“แผนของเจ้าเหมาะสำหรับก่อนเปิดศึกเท่านั้น ลงมือจู่โจมก่อนได้เปรียบ”
แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็เตรียมพร้อมยุทธวิธีรุกรับไว้แล้ว
เหมียวโหย่วฟางรู้สึกว่าบัณฑิตผู้นี้พูดมีเหตุผล พอคิดๆ ดูแล้วตาของเขาก็เป็นประกาย
“เช่นนั้นหากฝ่ายตรงข้ามส่งยอดฝีมือมาล่ะ”
สวี่เอ้อร์หลางมองเขาอย่างเงียบๆ “ข้าออกคำสั่งให้ยอดฝีมือในค่ายทหารลาดตระเวนยามค่ำคืน สิ่งที่เตรียมป้องกันคืออะไร”
เหมียวโหย่วฟางยอมด้วยใจจริงแล้ว เขาชูนิ้วโป้งขึ้นมา
“สมกับเป็นน้องชายของฆ้องเงินสวี่ มีมาดของพี่ชายท่านจริงๆ”
สวี่เอ้อร์หลางกระตุกมุมปากเบาๆ ในใจพูดว่า ‘เจ้าก็เหมือนกับพี่ชายของข้า มีมาดของความหยาบคาย’
เขารู้ว่าเหมียวโหย่วฟางเป็นผู้ติดตามของพี่ใหญ่ ครั้งก่อนที่พี่ใหญ่กลับเมืองหลวง ทั้งสองได้มีวาสนาพบเจอกันสองสามครา ก่อนที่เขาจะรับคำสั่งไปตั้งมั่นรักษาการณ์ที่อำเภอซงซาน จู่ๆ เหมียวโหย่วฟางก็มาหาถึงที่ และอยากจะตามเขาไปทำสงครามด้วย
สวี่เอ้อร์หลางถามว่า ‘พี่ใหญ่ส่งมาใช่หรือไม่’
เหมียวโหย่วฟางส่ายหน้ากล่าว ‘พิทักษ์ชาติบ้านเมือง เป็นสิ่งที่ชายชาตรีพึงกระทำ’
จอมยุทธ์สลายแรงขั้นห้าคนหนึ่งเป็นฝ่ายบากหน้ามาพึ่งพาอาศัย อีกทั้งสถานะยังไม่มีปัญหาอะไร กองทัพย่อมยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเหมียวโหย่วฟางจึงตามเขามาที่อำเภอซงซาน
“แต่ว่ายอดฝีมือที่รักษาอยู่ในค่ายทหารมีน้อยเกินไป ไม่คิดเลยว่าจะมีขั้นสี่แค่คนเดียว” เหมียวโหย่วฟางส่ายหน้า
“ยอดฝีมือขั้นสี่ล้วนเป็นคนระดับสูง ย่อมมีจำนวนน้อยเป็นธรรมดา” สวี่เอ้อร์หลางตอบ
“น้อยมากหรือ ข้าติดตามฆ้องเงินสวี่ไปรบจากเหนือจรดใต้ ขั้นสี่มีมากมายราวกับฝูงปลา ไม่อยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ”
เหมียวโหย่วฟางกล่าววางมาดยโส
‘เจ้าก็รู้นี่นาว่านั่นติดตามพี่ใหญ่ข้า…’ มือทั้งสองของสวี่เอ้อร์หลางยันกำแพงปีกกาเอาไว้และกล่าวช้าๆ
“สำหรับข้าแล้ว บรรดาขุนนางในราชสำนักไม่ใช่ของหายาก มีเต็มท้องพระโรง แต่พี่เหมียวเคยเจอขุนนางขั้นสูงสุดกี่คนกัน”
ระดับขั้นที่พี่ใหญ่พัวพันในตอนนี้ คู่ต่อสู้ทั้งหมดที่เผชิญจะต้องเป็นขั้นสูงสุดของกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มอย่างแน่นอน และขั้นสูงของกลุ่มอิทธิพลใหญ่ย่อมเป็นกลุ่มคนที่โดดเด่นที่สุดในจิ่วโจวเหล่านั้น
แน่นอนว่าขั้นสี่ไม่ใช่ของหายากอีกแล้ว
แต่ในชิงโจว ในอำเภอซงซานเล็กๆ แห่งหนึ่ง ขั้นสี่ถือเป็นบุคคลระดับสูง
ทหารรักษาค่ายในอำเภอซงซานมีนายทหารผู้บัญชาการขั้นสี่แค่คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ระดับเดียวกับสวี่เอ้อร์หลาง
นายทหารผู้บังคับบัญชาการคนนั้นรับผิดชอบตั้งมั่นรักษาการอยู่ประตูเมืองทิศเหนือ
สวี่เอ้อร์หลางไม่คิดจะพัวพันกับหัวข้อนี้อีก หลังจากสูดหายใจเอาลมหนาวยามค่ำคืนเข้าไปทีหนึ่งแล้วก็กล่าวออกมา
“ข้าจำได้ พี่ใหญ่เคยบอกว่า เป้าหมายของเจ้าคือกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่แห่งยุคที่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า แต่ในพื้นที่สงครามวุ่นวาย การรักษาความเป็นธรรมของเจ้ายากที่จะเผยแพร่ออกไป เพราะคนที่เจ้าช่วยในวันนี้ อาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ บรรดาประชาชนผู้ลี้ภัย หากไม่ถูกทหารต้าฟ่งช่วยเหลือ ก็ถูกทหารกบฏช่วยเหลือ ก็เหมือนกับสินค้าที่พลิกเปลี่ยนมือกันไปมา พวกเขาไม่คิดจะจดจำจอมยุทธ์บางคนที่เคยช่วยพวกเขามาก่อน อยากเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ ต้องไปสถานที่ที่สงบสุข แค่ปล้นคนรวยช่วยคนจนก็มีชื่อของเจ้าเลื่องลือในยุทธภพแล้ว”
สำหรับคำถามของสวี่ซินเหนียน เหมียวโหย่วฟางเกาหัวยิกๆ และคิดอยู่พักหนึ่ง
“จอมยุทธ์ ข้าย่อมอยากเป็น แต่แสงรุ่งโรจน์งดงามที่แท้จริงของจอมยุทธ์ใหญ่ ช้าเร็วไม่กี่ปีก็ไม่เป็นไร แต่ต้าฟ่งตกต่ำลงทุกวัน หากไม่ต่อชีวิตให้มัน คงต้องเปลี่ยนยุคเปลี่ยนราชวงศ์แล้วจริงๆ ที่จริงสำหรับข้าแล้วใครเป็นจักรพรรดิก็ไม่เกี่ยวกับข้า แต่สำหรับอาณาประชาราษฎร์แล้ว นี่คือภัยพิบัติครั้งหนึ่ง หากรักษาชิงโจวไว้ไม่ได้ ไฟสงครามจะลุกไหม้ไปถึงภาคเหนือจนลามไปถึงเมืองหลวง สายน้ำขุนเขานับหมื่นในระหว่างทางล้วนกลายเป็นดินแห้งเกรียม ดังนั้นข้าเลยคิดว่า สามารถควบคุมทหารกบฏไว้ในชิงโจวได้หรือไม่ ให้สงครามวุ่นวายหยุดอยู่ที่ชิงโจว”
สวี่ซินเหนียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่เหมียวทำให้ข้ามองด้วยสายตาที่ทึ่งจริงๆ ในยุทธภพมีจอมยุทธ์คุณธรรมที่รักบ้านเมืองและประชาชนเช่นท่านน้อยมาก”
เหมียวโหย่วฟางยักไหล่
“ไม่ ที่จริงข้าไม่ได้ประทับใจอะไรในราชสำนักต้าฟ่งเลย ก็แค่ตอนที่ข้าแยกทางกับฆ้องเงินสวี่นั้น เขาเคยพูดบางอย่างกับข้า ที่เขาบ่มเพาะข้า ชี้แนะการบำเพ็ญให้ข้า เพราะว่าปีนั้นมีคนให้โอกาสเขา ความปรารถนาทั้งหมดก็แค่หวังว่าเขาจะมีประโยชน์ต่อราชสำนักและประชาชนในภายภาคหน้า ฆ้องเงินสวี่ทำได้ และไม่ผิดต่อความคาดหวังของคนผู้นั้น ดังนั้นข้าเองก็ไม่อยากให้ฆ้องเงินสวี่ผิดหวัง”
‘พี่ใหญ่ไม่ได้ดูคนผิดนี่…’ สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้าเงียบๆ ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมา ก็ได้ยินเหมียวโหย่วฟางที่อยู่ด้านข้างตะโกนด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ทหารศัตรูเข็นปืนใหญ่มาแล้ว!”
สวี่ซินเหนียนใจเย็นสะท้าน เพ่งสายตามองออกไป ราตรีมืดมิดมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่เขารู้ว่าเหมียวโหย่วฟางเป็นจอมยุทธ์ขั้นห้า สายตาในการมองเห็นเหนือกว่าคนปกติมาก ดังนั้นจึงตะโกนอย่างไม่ลังเล
“ตีกลอง! ปืนใหญ่เตรียมพร้อม เครื่องยิงธนูเตรียมพร้อม”
พลทหารที่พิงกำแพงปีกกาพักผ่อนอยู่ และพลทหารสวมชุดเกราะอ่อนที่นอนหลับอยู่บนทางเดินพากันตื่นด้วยความตกใจ พวกเขาใส่กระสุนปืนใหญ่กับลูกธนูอย่างเป็นลำดับขั้นตอน
เหมียวโหย่วฟางผลักมือยิงปืนใหญ่คนหนึ่งออกไป เขาเล็งปากกระบอกปืนด้วยตนเอง และจุดสายนำไฟ
‘ตูมตาม!’
แสงไฟลูกหนึ่งขยายใหญ่ออกมา ส่องสว่างไปในระยะไกล ทำให้ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองมองเห็นกองทัพศัตรูที่เข้าใกล้ปืนใหญ่อย่างชัดเจน
แสงไฟที่ระเบิดยังไม่ดับลง เครื่องยิงธนูและปืนใหญ่บนกำแพงเมืองก็พุ่งยิงออกไปติดต่อกัน พลังเพลิงโหมกระหน่ำใส่ศัตรู
ความได้เปรียบของทหารรักษาเมืองแสดงออกมาอย่างชัดเจน ด้วยเหตุที่ลูกไฟบนกำแพงตกลงจากที่สูง ระยะการยิงจึงไกลกว่าของกองทัพศัตรูมาก
กองทัพศัตรูอยากจะระเบิดกำแพงเมือง ต้องผ่านพลังเพลิงล้างบาปของทหารรักษาการณ์นี้ให้ได้ก่อน
เหมียวโหย่วฟางคืนปืนใหญ่ให้กับมือยิงแล้วหันไปกล่าวกับสวี่ซินเนียนด้วยความโมโห
“เจ้าไม่ได้บอกว่ากองทัพศัตรูจะไม่โจมตีในเวลากลางคืนหรอกหรือ”
“หา เจ้าพูดอะไร” สวี่เอ้อร์หลางแคะขี้หูแล้วตะโกนออกมา
“เสียงระเบิดดังเกินไป ข้าไม่ได้ยิน”
เหมียวโหย่วฟางระเบิดคำพูดหยาบคายไปประโยคหนึ่ง ในใจกล่าวว่า ‘หนังหน้าของบัณฑิตไม่ด้อยไปกว่ากระดูกเหล็กผิวทองแดงของจอมยุทธ์เลยจริงๆ’
ขณะนี้ หลังจากกองทัพศัตรูสูญเสียปืนใหญ่ไปสามลำและเครื่องยิงธนูไปสองเครื่อง ในที่สุดก็บุกเข้ามาในระยะรัศมียิง เสียงลูกไฟระเบิดถึงขึ้นถี่ยิบ เสียงตูมตามดังขึ้นไม่ขาดสาย
แสงไฟแต่ละลูกระเบิดตัวตรงกำแพงและบนกำแพงอย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างนั้นมีเสียงดีดลูกธนูดังแผ่วโผยปะปนกัน
พลังทำลายล้างของเครื่องยิงธนูห่างชั้นจากปืนใหญ่มาก ไม่ว่าจะเป็นการทำลายกำแพงหรือสังหารพลทหารล้วนเทียบกับปืนใหญ่ไม่ติด
แต่ผลสะท้อนของรายการจำพวกรถยิงธนูและเครื่องยิงธนู ทำให้มันเคียงคู่กับปืนใหญ่ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่เคยถูกโละออก นั่นก็คือพลังสังหารของลูกธนูแบบตัวต่อตัว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง